xs
xsm
sm
md
lg

เป็ปซี่ปรับทัพเลิกขวดแก้ว ดึงDHLกระจายสินค้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป๊ปซี่ ยังปากกล้า มั่นใจรั้งบัลลังก์น้ำดำแม้ไร้เงา"เสริมสุข" เลิกทำตลาดคืนขวด ลุยขวดพีอีที กระป๋อง เต็มที่ เดินหน้าลงทุน 1.84 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่อง 3 ปี ชูแผนลงทุนโรงงาน จัดจำหน่าย แคมเปญการตลาด พร้อมควงกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง-ราคาใหม่ ดีเดย์วางสินค้าวันที่ 2 พย. นี้ ดึงดีเอชแอล-บริษัทจัดจำหน่ายท้องถิ่นกระจายสินค้า

นายจา–กรูท โคเตชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ แผนการลงทุน และกลยุทธ์การตลาดหลังจากหมดสัญญากับบริษัทเสริมสุขจำกัด (มหาชน) หรือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ว่า บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1.84 หมื่นล้านบาท หรือ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระหว่างปี 2555-2558

โดยเป็นการลงทุน 3 ส่วน ได้แก่ 1.การลงทุนซื้อโรงงาน 5,200 ล้านบาท จากซานมิเกล บนพื้นที่ 96 ไร่ หรือขนาด 153,600 ตร.ม.ที่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง และขยายโรงงานเพิ่มขึ้นในเฟสสอง คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปีหน้านี้ นับว่าเป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกของเป๊ปซี่โค 2.การลงทุนด้านการกระจายสินค้า 3.กิจกรรมการตลาดเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำดำครองส่วนแบ่ง 50%

ด้านการผลิตจากนี้ไป บริษัทจะไม่ทำบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วหรือแบบคืนขวด โดยจะผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดพีอีทีและกระป๋องเท่านั้น ภายใต้เครื่องจักรทั้งหมด 8 ไลน์ มีกำลังการผลิตโดยเฉลี่ย 600-800 ขวดต่อนาทีต่อไลน์ และบริษัทจะเดินหน้าผลิตอย่างเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายนปีหน้า (2556) ซึ่งพร้อมจะผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ วางจำหน่ายครอบคลุมทุกช่องทางวันที่ 2พ.ย.นี้

ทั้งนี้เหตุผลที่เลิกทำขวดคืน เพราะขวดพีอีทีเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและมีสัดส่วนใหญ่ที่สุด ส่วนกระป๋องเป็นอันดับสอง และขวดคืนตามลำดับ ซึ่งแนวโน้มขวดพีอีทีมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดน้ำอัดลมสหรัฐอเมริกาแนวโน้มใช้ขวดแก้วลดลงและพีอีทีเติบโตเพิ่มขึ้น โดยกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทจะวางราคาและบรรจุภัณฑ์หลากหลายขนาด ให้สอดคล้องกับโอกาสการดื่มที่หลากหลายในบ้าน นอกบ้าน ร้านอาหาร ฯลฯ

“เป๊ปซี่มั่นใจว่า แม้ว่าจะเลิกทำขวดแก้วหรือคืนขวด และมุ่งทำตลาดขวดพีอีทีและกระป๋อง ภายใต้การวางราคาที่สามารถทำให้เป๊ปซี่แข่งขันในช่องทางต่างๆได้นั้น จะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดน้ำดำ ซึ่งครองส่วนแบ่ง 50% ได้ แม้ว่าในช่วงแรกการจัดจำหน่ายอาจจะมีสะดุดลงบ้าง แต่สินค้าจะไม่ขาดตลาดอย่างที่เป็นข่าวแน่นอนและขณะเดียวกันบริษัทจะเร่งรีบดำเนินการด้านจัดจำหน่ายให้เร็วที่สุด”

นายจา –กรูท โคเตชา กล่าวต่อถึงการจัดจำหน่ายว่า บริษัทได้ให้ดีเอชแอลเป็นผู้กระจายสินค้า รวมทั้งผู้กระจายสินค้าท้องถิ่น โดยปัจจัยที่ใช้ดีเอชแอลกระจายสินค้า เพราะเป็นบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพและเป๊ปซี่ โค ในหลายประเทศก็ให้ดีเอชแอลเป็นผู้จัดจำหน่าย โดยจะวางจำหน่ายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทาง ได้แก่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าขนาดเล็ก ร้านขายของชำ ร้านอาหาร โรงหนัง และร้านค้าส่งทั่วประเทศ ภายใต้การมีศูนย์กระจายสินค้า 50จุด แบ่งพื้นที่ 5 ภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ฯลฯ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่า การจัดจำหน่ายของดีเอชแอลและผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่น จะมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากบริษัทเสริมสุข ขณะเดียวกันบริษัทยังส่งตู้เย็น 3 ขนาด ให้กับทางร้านค้า พร้อมกันนี้เตรียมทุ่มงบการตลาดตอกย้ำด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง และสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ในอีก 2-3สัปดาห์ข้างหน้านี้จะเปิดตัวแคมเปญหลังจากวางสินค้าครอบคลุมทุกช่องทาง

“เราได้ฝึกพนักงานอบรม กว่า 9,000 ชั่วโมง เพื่อเสริมสร้างทักษะและสร้างความเข้มแข็งให้แก่พนักงานในประเทศไทย เพื่อเตรียมพร้อมกับการเดินทางครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ตลาดจะแข่งรุนแรงจากการที่มีแบรนด์ใหม่หรือเอสเข้ามาทำตลาด ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ตลาดเติบโต และบริษัทมองว่าเป็นความท้าทาย

อย่างไรก็ตามด้วยกลยุทธ์การตลาด การลงทุน ระบบการจัดจำหน่าย จะช่วยให้เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็นแบรนด์ที่คนไทยชื่นชอบ ซึ่งจากการสำรวจเป๊ปซี่ คือแบรนด์ที่คนไทยรักถึง 73% และมั่นใจว่าเป๊ปซี่จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดน้ำดำได้”นายจา–กรูท โคเตชา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น