พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือกลุ่มคนไทยที่ถูกทางการพม่าควบคุมตัว หลังพบว่าเข้าไปทำการเกษตร รุกล้ำอาณาเขตว่า กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า เหตุใดการช่วยเหลือจึงล่าช้า โดยขณะนี้ระดับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ยังประสานงานกันไม่ได้ จึงต้องมีการประสานในระดับสูง
ทั้งนี้ พล.อ.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาทหารสูงสุด อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ที่ประเทศพม่า หากกลับมาในช่วงเย็น ตนจะสอบว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้างหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานว่า สื่อของพม่าระบุว่า จะมีการนำกลุ่มคนไทยที่บุกรุกเข้าสู่กระบวนการศาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า อย่าไปฟังหนังสือพิมพ์พม่า ให้ฟังผู้บริหารชั้นสูงของพม่า ซึ่งตนได้ฝาก พล.อ.อ.ธนะศักดิ์ ไปคุยแล้ว รวมไปถึงรองเจ้ากรมข่าวทหาร ในฐานะที่หน่วยข่าวทหารทั้งของพม่าและไทยมีความใกล้ชิดกันเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะพูดคุยว่าจะให้แนวทางแก้ไขในระดับล่างอย่างไร
เมื่อถามว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สถานทูตประสานหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าของเอกอัครราชทูตประสานแล้ว แต่ในขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 4 ระบุว่า หากมีการเจรจาในระดับท้องถิ่นได้ จะเป็นคุณประโยชน์ต่อคนไทยที่เข้าไปทำงาน ซึ่งดีกว่าจะไปเจรจาในระดับชั้นสูง เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า คนไทยที่ถูกควบคุมทั้ง 49 คน จะได้กลับเร็วเร็วนี้หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ทางพม่าจะเริ่มคัดเลือกว่า ใครที่ทำผิดกฎหมายในส่วนที่เป็นเจ้าของอาวุธ และคนที่เป็นเจ้าของไร่ยางพารา ทั้งนี้คนไทยที่เป็นนายทุน ยังสามารถประสานการลงทุนในอนาคตได้ก็อาจทำให้บรรยากาศดีขึ้น
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้มีคนไทยบางส่วนได้เดินทางกลับมาประเทศไทยแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในประเทศพม่าเพียงเล็กน้อย ซึ่งพล.อ.ยุทธศักดิ์ ระบุว่า ขณะนี้เหลือคนไทยที่ถูกควบคุมตัว 31 คน โดยทางพม่ากำลังแยกในกรณีการกระทำความผิด เรื่องยาเสพติด เพราะเป็นพื้นที่เขตของเขา หากเขาบอกว่าคนของเราผิด และมีหลักฐานชัดเจน ก็ต้องดูว่าพม่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะตนไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่ได้คุยกัน ซึ่งตรงนี้พม่าพยายามคัดแยกคนออกมา ส่วนคนที่เหลือก็ปล่อยกลับมา
ทั้งนี้ เราต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วย เพราะบางส่วนถูกหลอก และบางส่วนเดินทางไปเอง แต่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตของพม่าชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการแจ้งมาว่า เราต้องเสียค่าปรับในกรณีดังกล่าวหรือไม่ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยเฉพาะกิจกรมทหาราบที่ 25 ได้รายงานว่า ราษฎรไทยที่ถูกทหารพม่าจับกุม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา และถูกควบคุมตัวในวันนั้นมี จำนวน 49 คน เป็น ชาย 41 คน หญิง 8 คน ได้รับบาดเจ็บ 1 คน (ยังไม่ทราบชื่อ) และสามารถหลบหนีการจับกุมกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ จำนวน 48 คน เป็นชาย 43 คน หญิง 5 คน มีญาติมาแจ้งรายชื่อสูญหาย 60 คน ซึ่งพื้นที่ที่ราษฎรไทยเข้าไปบุกรุกแผ้วถางป่าในฝั่งประเทศพม่า ได้แก่ พื้นที่หมู่บ้านอินทนินขวาง อ.เขม่าจี จ.เกาะสอง ตรงข้าม บ้านในกรัง ต.จปร. อ.กระบุรี จ.ระนอง
นอกจากนี้ ทหารพม่ายังได้ยึดคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรกล จำนวน 4 คัน (รถแบคโฮ 2 คัน ,รถแทรกเตอร์ 2 คัน) , รถยนต์กระบะ 3 คัน, รถจักรยานยนต์ 13 คัน และอาวุธสงครามอีก 8 กระบอก พร้อมกระสุน 200 นัด โดยทหารพม่า ยืนยันว่าจะปล่อยคนไทย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงผู้ที่กระทำผิดเรื่องยาเสพติด และมีอาวุธ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศพม่า ซึ่งจากการควบคุมตัว นายเกรียงไกร ซื่อตรง ( ทราย ) และ ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบข้อมูล เจ้าตัวยอมรับว่า ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงราษฎรไทย ให้หลงเชื่อว่าพื้นที่ที่เข้าไปบุกรุก เป็นแผ่นดินไทย เพื่อหลอกขายที่ดินในฝั่งพม่า และพบว่ามีการปลูกกัญชา อยู่ในพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ โดยส่งไปขายในพื้นที่ ต.เกาะพยาม อ.เมืองฯ จ.ระนอง อ.เกาะสมุย, อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี จากการตรวจสอบราษฎรไทย จำนวน 49 คน ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ภายในกระท่อม จำนวน 8 หลัง ที่ราษฎรไทยบุกรุก ที่หมู่บ้านอินทนินขวาง อ.เขม่าจี จ. เกาะสอง
ทั้งนี้ พล.อ.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาทหารสูงสุด อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ที่ประเทศพม่า หากกลับมาในช่วงเย็น ตนจะสอบว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้างหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานว่า สื่อของพม่าระบุว่า จะมีการนำกลุ่มคนไทยที่บุกรุกเข้าสู่กระบวนการศาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า อย่าไปฟังหนังสือพิมพ์พม่า ให้ฟังผู้บริหารชั้นสูงของพม่า ซึ่งตนได้ฝาก พล.อ.อ.ธนะศักดิ์ ไปคุยแล้ว รวมไปถึงรองเจ้ากรมข่าวทหาร ในฐานะที่หน่วยข่าวทหารทั้งของพม่าและไทยมีความใกล้ชิดกันเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะพูดคุยว่าจะให้แนวทางแก้ไขในระดับล่างอย่างไร
เมื่อถามว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สถานทูตประสานหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าของเอกอัครราชทูตประสานแล้ว แต่ในขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 4 ระบุว่า หากมีการเจรจาในระดับท้องถิ่นได้ จะเป็นคุณประโยชน์ต่อคนไทยที่เข้าไปทำงาน ซึ่งดีกว่าจะไปเจรจาในระดับชั้นสูง เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า คนไทยที่ถูกควบคุมทั้ง 49 คน จะได้กลับเร็วเร็วนี้หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ทางพม่าจะเริ่มคัดเลือกว่า ใครที่ทำผิดกฎหมายในส่วนที่เป็นเจ้าของอาวุธ และคนที่เป็นเจ้าของไร่ยางพารา ทั้งนี้คนไทยที่เป็นนายทุน ยังสามารถประสานการลงทุนในอนาคตได้ก็อาจทำให้บรรยากาศดีขึ้น
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้มีคนไทยบางส่วนได้เดินทางกลับมาประเทศไทยแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในประเทศพม่าเพียงเล็กน้อย ซึ่งพล.อ.ยุทธศักดิ์ ระบุว่า ขณะนี้เหลือคนไทยที่ถูกควบคุมตัว 31 คน โดยทางพม่ากำลังแยกในกรณีการกระทำความผิด เรื่องยาเสพติด เพราะเป็นพื้นที่เขตของเขา หากเขาบอกว่าคนของเราผิด และมีหลักฐานชัดเจน ก็ต้องดูว่าพม่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะตนไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่ได้คุยกัน ซึ่งตรงนี้พม่าพยายามคัดแยกคนออกมา ส่วนคนที่เหลือก็ปล่อยกลับมา
ทั้งนี้ เราต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วย เพราะบางส่วนถูกหลอก และบางส่วนเดินทางไปเอง แต่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตของพม่าชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการแจ้งมาว่า เราต้องเสียค่าปรับในกรณีดังกล่าวหรือไม่ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยเฉพาะกิจกรมทหาราบที่ 25 ได้รายงานว่า ราษฎรไทยที่ถูกทหารพม่าจับกุม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา และถูกควบคุมตัวในวันนั้นมี จำนวน 49 คน เป็น ชาย 41 คน หญิง 8 คน ได้รับบาดเจ็บ 1 คน (ยังไม่ทราบชื่อ) และสามารถหลบหนีการจับกุมกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ จำนวน 48 คน เป็นชาย 43 คน หญิง 5 คน มีญาติมาแจ้งรายชื่อสูญหาย 60 คน ซึ่งพื้นที่ที่ราษฎรไทยเข้าไปบุกรุกแผ้วถางป่าในฝั่งประเทศพม่า ได้แก่ พื้นที่หมู่บ้านอินทนินขวาง อ.เขม่าจี จ.เกาะสอง ตรงข้าม บ้านในกรัง ต.จปร. อ.กระบุรี จ.ระนอง
นอกจากนี้ ทหารพม่ายังได้ยึดคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรกล จำนวน 4 คัน (รถแบคโฮ 2 คัน ,รถแทรกเตอร์ 2 คัน) , รถยนต์กระบะ 3 คัน, รถจักรยานยนต์ 13 คัน และอาวุธสงครามอีก 8 กระบอก พร้อมกระสุน 200 นัด โดยทหารพม่า ยืนยันว่าจะปล่อยคนไทย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงผู้ที่กระทำผิดเรื่องยาเสพติด และมีอาวุธ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศพม่า ซึ่งจากการควบคุมตัว นายเกรียงไกร ซื่อตรง ( ทราย ) และ ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบข้อมูล เจ้าตัวยอมรับว่า ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงราษฎรไทย ให้หลงเชื่อว่าพื้นที่ที่เข้าไปบุกรุก เป็นแผ่นดินไทย เพื่อหลอกขายที่ดินในฝั่งพม่า และพบว่ามีการปลูกกัญชา อยู่ในพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ โดยส่งไปขายในพื้นที่ ต.เกาะพยาม อ.เมืองฯ จ.ระนอง อ.เกาะสมุย, อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี จากการตรวจสอบราษฎรไทย จำนวน 49 คน ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ภายในกระท่อม จำนวน 8 หลัง ที่ราษฎรไทยบุกรุก ที่หมู่บ้านอินทนินขวาง อ.เขม่าจี จ. เกาะสอง