“พล.อ.ยุทธศักดิ์” เผยแม่ทัพภาคที่ 4 เจรจาเจ้าหน้าที่พม่าระดับพื้นที่ในเขตที่จับกุมชาวไทยข้อหาบุกรุก เชื่อใช้เวลารวดเร็วกว่าการเจรจาระดับสูง แจงเหตุล่าช้าอาจมียาเสพติด อาวุธสงครามมาเกี่ยวข้อง ลั่นพร้อมตรวจสอบ ระบุมีรายงานปล่อยไปแล้วกว่า 43 คน แต่กลับภูมิลำเนาไม่ได้มารายงานตัว ชี้เกิดการรุกล้ำตั้งแต่ปี 48 เพราะปาล์มในพื้นที่ราคาสูง แย้มอาจเจรจาขอเช่าดำเนินการตามกฏหมาย ขณะที่ศุกร์ที่ 13 จะบินไปพม่าถกเรื่องเจ้าภาพซีเกมส์ และคุยย้ำให้ปล่อยคนไทย มั่นใจสำเร็จเพราะความสัมพันธ์ที่ดี
วันนี้ (10 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีทหารพม่าจับกุมคนไทยจำนวนหลายร้อยคนที่บุกรุกเข้าไปทำการเกษตรในเขตจังหวัดเกาะสอง ประเทศพม่า ใกล้กับพรมแดนไทย-พม่า ด้าน จ.ระนอง ว่าล่าสุดได้รับรายงานจาก พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งลงไปดูในพื้นที่ ยืนยันว่าจะให้มีการเจรจาในระดับพื้นที่ก่อน เพราะมีคณะกรรมการประสานระดับชายแดนไทย-พม่าอยู่แล้ว ซึ่งจะเจรจากันและคงจะประสบความสำเร็จมากกว่าการเจรจาในระดับสูง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ก็ดำเนินการอยู่เพื่อให้คนไทยที่ถูกควบคุมคัวได้รับอิสระ ทั้งนี้ คาดว่าการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่จะใช้เวลาไม่นาน และหาทางออกร่วมกันได้
พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนคนไทยที่กลับมาแล้วนั้น ขณะนี้ได้มีการรายงานตัวเรียบร้อยและอาจจะมีกลับมามากกว่า 43 คน เพราะว่าหลายคนที่กลับบ้านไปเลย ไม่ได้มารายงานตัว ซึ่งคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในหลายจังหวัด ทั้ง จ.ระนอง จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช และ จ.กระบี่ ทั้งนี้ประเด็นของการรุกล้ำพื้นที่นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 48 อีกทั้งต้นปาล์มที่ปลูกในพื้นที่ดังกล่าวนั้นเมื่อเติบโตขึ้นก็มีมูลค่าสูง ดังนั้นคงจะต้องมีการเจรจาเกิดขึ้นอีก โดยจะมีการเจรจาขอเช่าพื้นที่ที่เราเข้าไปรุกล้ำแล้วในอนาคต ทั้งนี้ สาเหตุของการปล่อยตัวคนไทยที่เหลือช้า เพราะมีเรื่องของยาเสพติดและอาวุธสงครามที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องหาบุคคลว่าใครจะดำเนินการตรงนั้น เพราะมีคนไทยเข้าไปทำงานบริเวณชายแดนตรงนั้นกว่า 200 คน มีนายทุน 3 กลุ่มชักชวนเข้าไปทำงาน ดังนั้นจึงจะต้องมีการสอบสวนต่อไป
พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 13 ก.ค.นี้จะเดินทางไปพม่าเพื่อประชุมเรื่องการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่พม่าจะเป็นเจ้าภาพ โดยจะใช้โอกาสนี้เจรจาเรื่องการขอปล่อยตัวคนไทยด้วย ขณะเดียวกัน อาจจะขอเจรจาในการเช่าที่ดินในพม่าเพื่อให้คนไทยที่ได้เข้าไปปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมันไว้แล้วสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าพม่าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมายาวนาน และการเจรจาน่าจะประสบผลสำเร็จ
