ความขัดแย้งระหว่างเครือข่ายระบอบทักษิณกับฝ่ายที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องชาติที่มีมายาวนาน และทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มาตลอด ณ ห้วงเวลานี้ต้องจัดว่าได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จุดสุดยอดของความขัดแย้งเข้าไปทุกขณะ บางคนเห็นแล้วรู้สึกสะใจและมันในอารมณ์ แต่เชื่อว่าคนจำนวนมากมองเห็นบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงยิ่ง
ความขัดแย้งที่ทวีขึ้นแบบผิดหูผิดตาเพิ่งเกิดขึ้นช่วงไม่ถึงสัปดาห์ หลังศาลรัฐธรรมนูญเปิดไต่สวนพยานผู้ร้องและผู้ถูกร้องคดีล้มล้างรัฐธรรมนูญวันที่ 5-6 กรกฎาคม ปลายอาทิตย์ที่แล้ว ก่อนที่ศาลจะประกาศให้คู่ความฟังคำวินิจฉัยเวลา 14.00 น. วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 ที่จะถึงนี้
โดยไม่ตั้งใจศาลรัฐธรรมนูญเลือกที่จะอ่านคำตัดสิน “ศุกร์ 13” อันเป็นวันอัปมงคลตามความเชื่อของฝรั่ง แต่สำหรับสังคมไทยอาจจะเป็นอีกหนึ่งวันมงคลในหน้าประวัติศาสตร์ชาติก็เป็นได้
การอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญน่าจะทำให้ศุกร์ 13 เป็นวันหยุดโลกที่ผู้คนจะให้ความสนใจมากกว่ามวยหรือฟุตบอลคู่หยุดโลกเสียอีก รถราที่ติดเคยติดหนึบตามถนนหนทางน่าจะโล่ง การงาน ธุรกิจและอีกหลายกิจกรรมอาจจะชะงักบ้าง แต่สภากาแฟและร้านรวงที่ชุมนุมของคอการเมืองมีแต่จะคึกคักกว่าเก่า
บรรดาฟรีทีวีของรัฐที่ตกไปอยู่ในอุ้มมือระบบทุนนิยมยัดเยียด เห็นเกมโชว์และละครน้ำเน่าสำคัญกว่าการให้ความรู้ประชาชนในเรื่องการเมืองการปกครอง หรือบางช่องที่ไม่พึ่งเงินโฆษณา แต่หากินกับเงินภาษีอากรของประชาชน ชอบทำตัวเท่ๆ แต่กลับแสดงความเป็นกลางกลวงในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังขัดแย้งหนัก จึงละเลยถ่ายทอดการไต่สวนคดีในศาลรัฐธรรมนูญช่วง 2 วันก่อน แต่เมื่อเห็นสังคมตื่นตัวให้ความสนใจกับศุกร์ 13 จึงเชื่อว่าไม่น่าจะละเลยโอกาสสร้างเรตติ้งที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ตรงกันของหลายฝ่ายเห็นว่า ศุกร์ 13 สถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่น่าจะถูกลากจูงให้เข้าไปสู่การปะทะกันบนท้องถนน หรือการเสียเลือดเสียเนื้อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หลังจากนั้นต่างหากที่มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สถานการณ์จะเคลื่อนตัวไปสู่ภาวะรุนแรง
พูดถึงฟรีทีวีที่ว่ากันว่าสื่อคือกระจกสะท้อนภาพสังคม ละครน้ำเน่าที่ยังครอบงำสังคมไทยก็น่าจะสะท้อนภาพความเป็นไปในบ้านเมืองได้ดี หากจะกล่าวว่าสื่อเป็นอย่างไร ย่อมส่งอิทธิพลให้สังคมเป็นไปตามนั้น หรือเมื่อสังคมเป็นอย่างไร ย่อมทำให้สื่อต้องรับอิทธิพลตามไปด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามภาษิตที่ว่า ดูหนังดูละคร แล้วดูตัว
ตามโครงเรื่องหนังละครถ้าจะให้ตีใจคนดูจะต้องผูกเรื่องตั้งแต่เปิดฉากใหม่ๆ ไว้ด้วยความขัดแย้ง (conflict) แล้วก็เชื่อมร้อยผูกโยงจุดของความขัดแย้งแรกให้ส่งอิทธิพลไปสู่จุดของความขัดแย้งต่อๆ ไปแบบเป็นระลอกคลื่นให้เห็นพัฒนาการที่สัมพันธ์กันไปตลอด ขณะเดียวกันความขัดแย้งแต่ละจุดจะต้องถูกเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เร้าใจและชวนติดตาม แล้วในที่สุดก็จะต้องนำพาไปสู่จุดสุดยอดของความขัดแย้ง (Climax of the conflict) ให้ได้ ซึ่งจุดนี้เองถือว่าเป็นวิกฤตความขัดแย้งแบบสุดๆ เป็นจุดพลิกผันแล้วเกิดการหักเหจนนำไปสู่จุดจบ
ตามคติแบบไทยๆ แก่นของหนังละครมักจะสะท้อนเรื่องของธรรมย่อมชนะอธรรม ความดีชนะความชั่ว พระเอกนางเอกที่เป็นตัวแทนของฝ่ายดีที่ต้องปะทะกับเหล่าตัวร้ายมาตลอด อีกทั้งเรื่องราวก็ดูเหมือนว่าฝ่ายแรกตกเป็นเบี้ยล่างหรือเป็นรองเสมอมา เมื่อถึงจุดสุดยอดของความขัดแย้งนี่แหละที่จะทำให้เกิดการผลิกผันให้ฝ่ายพระเอกนางเอกกลายเป็นผู้ชนะฝ่ายผู้ร้ายขึ้นมาทันที
สำหรับในช่วงคลี่คลายท้ายเรื่องก็จะเห็นว่า บรรดาเหล่าผู้ร้ายถ้าไม่ตกตายไปตามกรรมที่ก่อไว้ ก็อาจจะกลับเนื้อกลับตัว หรือไม่ก็เกิดความเข้าอกเข้าใจของทุกฝ่ายแล้วเดินร่วมกันไปบนความถูกต้อง
ที่ร่ายยาวมาก็เพียงอยากจะบอกว่า เวลานี้สถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่มีการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กันไปมากมายก่ายกอง แต่เมื่อประมวลแล้วน่าจะได้ข้อสรุปว่า ศุกร์ 13 คืออีกจุดความขัดแย้งที่เคลื่อนตัวไปใกล้จุดสุดยอดของความขัดแย้ง อันจะนำพาสังคมไทยไปสู่จุดพลิกผันและเกิดความหักเหของสถานการณ์ไปในที่สุด
ส่วนจะเป็นจุดจบของนักโทษหนีคุกแล้วไปคุกคามไทยอยู่ดูไบ คือ ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงระบอบทักษิณด้วยหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
วิเคราะห์ด้วยทฤษฎีหนังละครก็ไม่แตกต่างไปจากทฤษฎีฝีกลัดหนองเลยใช่ไหม ที่ว่าสังคมไทยถูกทำให้เป็นแผลเหวอะหวะและอมหนองแทบจะทั้งเรือนร่าง ตอนนี้เลยช่วงที่จะเอาเข็มไปบ่งหนองออกแล้ว มีแต่จะต้องรอให้ถึงเวลาแตกเพื่อให้เกิดกระบวนการรักษาตัวเอง ซึ่งจุดจะทำให้ฝีแตกก็คือ จุดไคลแมกซ์นั่นแหละ
ผมเองเห็นด้วยทั้ง 2 ทฤษฎี ยิ่งเมื่อติดตามสถานการณ์ยิ่งได้เห็นสิ่งที่ทักษิณ ชินวัตร และบริวารในเครือข่ายระบอบทักษิณชักแถวออกมากระทำการต่างๆ นานา ไม่เฉพาะต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ยังรวมไปถึงประชาชนคนไทยด้วยจะพบว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยเคลื่อนตัวไปใกล้จุดวิกฤตของความรุนแรงทุกขณะ และความรุนแรงก็จะนำไปสู่ไคลแมกซ์อันเป็นจุดคลี่คลายความขัดแย้งไม่ทางใดก็ทางหนึ่งได้ในที่สุด
เวลานี้การกระทำของฝ่ายทักษิณเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า พวกเขาต้องการเร่งให้สังคมไทยเดินไปสู่หุบเหวแห่งความรุนแรงโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นฝีมือพลพรรคเพื่อไทยหรือบรรดาคนเสื้อแดง ขนาดอำมาตย์ ผู้ทรงเกียรติหรือท่านผู้นำอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ก่อแก้ว พิกุลทอง เจ๋ง ดอกจิก เหวง โตจิราการ ธิดา ถาวรเศรษฐ ฯลฯ ต่างดาหน้าถล่มตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและฟาดงวงฟาดงาใส่สังคมไทยกันอย่างเมามัน แถมมีแนวโน้มจะรวมพลแสดงพลังแบบพร้อมปะทะกับฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสังเกตว่า หลายๆ ครั้งที่สังคมไทยกำลังถูกทำให้เดินหน้าไปสู่ความรุนแรง ทักษิณ ชินวัตร มักจะไม่ค่อยเป็นที่ปรากฏต่อสังคม ที่เคยโฟนอินหรือเคยสไกป์เข้ามาหาเครือข่ายบ่อยๆ ในเวลานี้ไม่มีแม้เงา
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญศุกร์ 13 นี้จะออกมาในรูปไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโทษหรือเป็นคุณกับฝ่ายทักษิณ ผมเชื่อว่ามีโอกาสที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเพราะฝ่ายทักษิณก่อความขัดแย้งกับองคาพยพของสังคมไทยมานานจนผู้คนรู้สึกว่า ไม่ควรจะปล่อยให้ความขัดแย้งนี้คาราคาซังอีกต่อไป ขณะเดียวกันในฝ่ายทักษิณเองถ้ายังปล่อยให้ยืดยาวก็มีแต่จะทอนกำลังฝ่ายตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนงูกินหาง
เรากำลังรอ “ศุกร์ 13” ด้วยใจระทึก ผมอยากจะบอกว่าเราอย่าลืมจับตาตัวเร่งปฏิกิริยาอื่นๆ ด้วย นอกจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รับคำสั่งอำมาตย์มะกันไปซูฮกเขมรแล้ว วันสองวันนี้ยังจะมีเครือญาติใกล้ชิดชินวัตรคนใดอีกหรือไม่ที่จะหนีไปทัวร์ต่างประเทศ