หนึ่งดือนที่ผ่านมา คือตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของบุคคลต่างๆ ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ในส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ในกรณีที่มีผู้ทราบว่า มีบุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเอาไว้พิจารณาว่า จะเป็นไปตามที่มีบุคคล และคณะบุคคลต่างๆ ถึง 5 คณะร้องเอาไว้หรือไม่
เท่านั้นแหละครับ ศาลรัฐธรรมนูญก็ตกเป็นเป้าโจมตีข่มขู่ของพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาตลอดทั้งเดือนจนถึงทุกวันนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกด่าเสียๆ หายๆ ถูกข่มขู่คุกคาม โดยที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นเรื่องต่อศาลอาญา เพราะเห็นว่าบุคคลต่างๆ ที่ออกมาข่มขู่คุกคามศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีบ้างบางคนที่เป็นผู้ต้องหา และอยู่ระหว่างการประกันตัว โดยมีเงื่อนไขกับศาลอาญาว่า เมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะประพฤติปฏิบัติตัวเรียบๆ ร้อยๆ ไม่เกะกะระราน
ศาลอาญารับเรื่องสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา โดยจะเรียกบุคคลที่ว่านี้มาสอบถามดูว่าประพฤติปฏิบัติผิดเงื่อนไขการขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้
นี่ก็อีกแหละครับ บรรดานักกฎหมายของพรรคเพื่อไทย มีทั้งระดับด็อกเตอร์อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง และอีกหลายๆ คนออกมาด่าศาลรัฐธรรมนูญว่าใช้สิทธิอะไรไปร้องศาลอาญาให้ถอนประกัน การร้องถอนประกันมีแต่ต้องผ่านอัยการเท่านั้นจึงจะทำได้
ท่านทั้งหลายรวมทั้งนักกฎหมายในพรรคเพื่อไทย เป็นต้น พงษ์เทพ เทพกาญจนา ลองพิจารณาดูเถอะ ในสองกรณีนี้มีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญ 5 ราย ว่ามีคนล้มล้างการปกครองโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ซึ่งไม่ใช่การแก้ไข แต่เป็นการฉีกทิ้งแล้วร่างใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณากลับด่าศาลรัฐธรรมนูญที่รับเรื่องไว้พิจารณา
พอสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญร้องต่อศาลอาญาให้ถอนประกันผู้ต้องหาบางคนที่ทำผิดเงื่อนไขการขอประกัน ศาลอาญารับเรื่องไว้พิจารณา แทนที่จะด่าศาลอาญาที่รับเรื่องไว้พิจารณาเหมือนกรณีแรก กลับด่าคนร้อง ไม่ด่าเปล่าเดินไปข่มขู่ถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วยเพื่อที่จะถามว่า ใช้สิทธิอะไร
ข่มขู่ไปถึงศาลอาญาด้วย ถ้าหากถอนประกันจะเดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเข้าคุก แล้วจะอดข้าวประท้วงจนตาย
ด็อกเตอร์ทางกฎหมายอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง แสดงความโง่ออกมาอีกว่า การที่จะยื่นศาลให้ถอนประกันหรือไม่ เป็นเรื่องของอัยการ จึงอยากจะบอก เฉลิม อยู่บำรุง เป็นวิทยาทานเอาไว้สักหน่อยหนึ่งว่า คดีอุกฉกรรจ์นั้น ก่อนที่จะมีการประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจะถามอัยการก่อนว่า จะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ แล้วศาลจะพิจารณาเองว่า จะให้ประกันหรือไม่ให้ประกัน ไม่ว่าอัยการจะคัดค้านการประกัน หรือไม่คัดค้าน
ส่วนการถอนประกันนั้นใครก็ได้เห็นพฤติการณ์ของผู้ต้องหา ผิดเงื่อนไขการขอประกันตัวก็ร้องต่อศาลได้ หรือศาลเห็นพฤติการณ์ที่ผิดเงื่อนไขก็เรียกจำเลยมาพิจารณาได้ ไม่ต้องรออัยการหรอกครับ
ถ้ารอก็อาจจะเป็นชาตินี้ตอนบ่ายๆ ไม่เห็นหรือครับ คดีอดีตภริยาทักษิณที่ไม่ฎีกา ผู้คนเขาคลางแคลงใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง ใบหน้าของท่านก็ยังเข้มแข็ง สู้ลมสู้ฝนได้
ไอ้ที่บอกว่าจะเดินจากอนุสาวรีย์ไปเข้าคุกนั้น พูดโก้ๆ หรือขู่ศาลไปยังงั้นแหละครับ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเมื่อศาลอาญาเรียกไปฟังการพิจารณา ถ้าศาลเห็นว่าผิดเงื่อนไขจริง สมควรถอนประกัน ศาลก็ส่งขึ้นรถไปคุกเลย จะมาทำเท่เดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเข้าคุกไม่ได้หรอกครับ
ส่วนจะอดข้าวประท้วงเมื่อเข้าคุกนั่นก็เป็นเสรีภาพ เชิญตามสบายได้เลย
ไม่มียุคไหนสมัยไหนที่ศาลจะถูกย่ำยีเท่ายุคสมัยนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะศาลเองปล่อยปละละเลย โดยคิดว่า ไม่อยากเรื่องเอาราว เดี๋ยวจะถูกผู้คนคิดว่า ศาลเอาทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากจุดนี้เองก็เกิดความย่ามใจยกขบวนไปกดดันศาล ด่าศาล ชุมนุมหน้าศาล ตั้งโลงศพหน้าศาล และอีกด้านหนึ่ง แต่ละศาลนั้นแตกต่างกัน บางศาลละเมิดได้ บางศาลละเมิดไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาย่ามใจก็พยายามที่จะละเมิดหมดทุกศาลที่ตัดสินไม่ถูกใจ
ศาลจะถูกต้องดีงามก็แต่เฉพาะที่ตัดสินให้ทักษิณ และกลุ่มของพวกเขาชนะเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อทำผิดกฎหมาย หรือทำสิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ซึ่งที่ด็อกเตอร์งูๆปลาๆ ว่าเอาไว้ ศาลท่านก็ต้องลงโทษ
ความจริงเรื่องง่ายๆ อย่างนี้นักกฎหมายในพรรคเพื่อไทยก็รู้ แต่สมัครใจที่จะแกล้งโง่ หรือไม่ก็ตะแบงเพราะเมื่อได้ทอดตัวลงเป็นขี้ข้าม้าใช้ทักษิณเสียแล้ว อื่นๆ ล้วนไม่คำนึงถึง
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเอาไว้พิจารณาว่า จะเป็นไปตามที่มีบุคคล และคณะบุคคลต่างๆ ถึง 5 คณะร้องเอาไว้หรือไม่
เท่านั้นแหละครับ ศาลรัฐธรรมนูญก็ตกเป็นเป้าโจมตีข่มขู่ของพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาตลอดทั้งเดือนจนถึงทุกวันนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกด่าเสียๆ หายๆ ถูกข่มขู่คุกคาม โดยที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นเรื่องต่อศาลอาญา เพราะเห็นว่าบุคคลต่างๆ ที่ออกมาข่มขู่คุกคามศาลและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีบ้างบางคนที่เป็นผู้ต้องหา และอยู่ระหว่างการประกันตัว โดยมีเงื่อนไขกับศาลอาญาว่า เมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะประพฤติปฏิบัติตัวเรียบๆ ร้อยๆ ไม่เกะกะระราน
ศาลอาญารับเรื่องสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา โดยจะเรียกบุคคลที่ว่านี้มาสอบถามดูว่าประพฤติปฏิบัติผิดเงื่อนไขการขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้
นี่ก็อีกแหละครับ บรรดานักกฎหมายของพรรคเพื่อไทย มีทั้งระดับด็อกเตอร์อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง และอีกหลายๆ คนออกมาด่าศาลรัฐธรรมนูญว่าใช้สิทธิอะไรไปร้องศาลอาญาให้ถอนประกัน การร้องถอนประกันมีแต่ต้องผ่านอัยการเท่านั้นจึงจะทำได้
ท่านทั้งหลายรวมทั้งนักกฎหมายในพรรคเพื่อไทย เป็นต้น พงษ์เทพ เทพกาญจนา ลองพิจารณาดูเถอะ ในสองกรณีนี้มีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญ 5 ราย ว่ามีคนล้มล้างการปกครองโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ซึ่งไม่ใช่การแก้ไข แต่เป็นการฉีกทิ้งแล้วร่างใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณากลับด่าศาลรัฐธรรมนูญที่รับเรื่องไว้พิจารณา
พอสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญร้องต่อศาลอาญาให้ถอนประกันผู้ต้องหาบางคนที่ทำผิดเงื่อนไขการขอประกัน ศาลอาญารับเรื่องไว้พิจารณา แทนที่จะด่าศาลอาญาที่รับเรื่องไว้พิจารณาเหมือนกรณีแรก กลับด่าคนร้อง ไม่ด่าเปล่าเดินไปข่มขู่ถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วยเพื่อที่จะถามว่า ใช้สิทธิอะไร
ข่มขู่ไปถึงศาลอาญาด้วย ถ้าหากถอนประกันจะเดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเข้าคุก แล้วจะอดข้าวประท้วงจนตาย
ด็อกเตอร์ทางกฎหมายอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง แสดงความโง่ออกมาอีกว่า การที่จะยื่นศาลให้ถอนประกันหรือไม่ เป็นเรื่องของอัยการ จึงอยากจะบอก เฉลิม อยู่บำรุง เป็นวิทยาทานเอาไว้สักหน่อยหนึ่งว่า คดีอุกฉกรรจ์นั้น ก่อนที่จะมีการประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจะถามอัยการก่อนว่า จะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ แล้วศาลจะพิจารณาเองว่า จะให้ประกันหรือไม่ให้ประกัน ไม่ว่าอัยการจะคัดค้านการประกัน หรือไม่คัดค้าน
ส่วนการถอนประกันนั้นใครก็ได้เห็นพฤติการณ์ของผู้ต้องหา ผิดเงื่อนไขการขอประกันตัวก็ร้องต่อศาลได้ หรือศาลเห็นพฤติการณ์ที่ผิดเงื่อนไขก็เรียกจำเลยมาพิจารณาได้ ไม่ต้องรออัยการหรอกครับ
ถ้ารอก็อาจจะเป็นชาตินี้ตอนบ่ายๆ ไม่เห็นหรือครับ คดีอดีตภริยาทักษิณที่ไม่ฎีกา ผู้คนเขาคลางแคลงใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง ใบหน้าของท่านก็ยังเข้มแข็ง สู้ลมสู้ฝนได้
ไอ้ที่บอกว่าจะเดินจากอนุสาวรีย์ไปเข้าคุกนั้น พูดโก้ๆ หรือขู่ศาลไปยังงั้นแหละครับ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเมื่อศาลอาญาเรียกไปฟังการพิจารณา ถ้าศาลเห็นว่าผิดเงื่อนไขจริง สมควรถอนประกัน ศาลก็ส่งขึ้นรถไปคุกเลย จะมาทำเท่เดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเข้าคุกไม่ได้หรอกครับ
ส่วนจะอดข้าวประท้วงเมื่อเข้าคุกนั่นก็เป็นเสรีภาพ เชิญตามสบายได้เลย
ไม่มียุคไหนสมัยไหนที่ศาลจะถูกย่ำยีเท่ายุคสมัยนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะศาลเองปล่อยปละละเลย โดยคิดว่า ไม่อยากเรื่องเอาราว เดี๋ยวจะถูกผู้คนคิดว่า ศาลเอาทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากจุดนี้เองก็เกิดความย่ามใจยกขบวนไปกดดันศาล ด่าศาล ชุมนุมหน้าศาล ตั้งโลงศพหน้าศาล และอีกด้านหนึ่ง แต่ละศาลนั้นแตกต่างกัน บางศาลละเมิดได้ บางศาลละเมิดไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาย่ามใจก็พยายามที่จะละเมิดหมดทุกศาลที่ตัดสินไม่ถูกใจ
ศาลจะถูกต้องดีงามก็แต่เฉพาะที่ตัดสินให้ทักษิณ และกลุ่มของพวกเขาชนะเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อทำผิดกฎหมาย หรือทำสิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ซึ่งที่ด็อกเตอร์งูๆปลาๆ ว่าเอาไว้ ศาลท่านก็ต้องลงโทษ
ความจริงเรื่องง่ายๆ อย่างนี้นักกฎหมายในพรรคเพื่อไทยก็รู้ แต่สมัครใจที่จะแกล้งโง่ หรือไม่ก็ตะแบงเพราะเมื่อได้ทอดตัวลงเป็นขี้ข้าม้าใช้ทักษิณเสียแล้ว อื่นๆ ล้วนไม่คำนึงถึง