xs
xsm
sm
md
lg

นี่หรือ “สมดุล” ประเทศไทย!

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

ในรัฐธรรมนูญ 2550 มีคำว่า “สมดุล” อยู่สองที่ ที่แรกว่าด้วย “สิทธิชุมชน” (มาตรา 66) และที่ที่สองว่าด้วย “แนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” (มาตรา 85)

ถ้าเราสงสัยว่า “สมดุล” มีความสำคัญอย่างไรก็ให้ลองนึกสภาพที่ “ไม่สมดุล” ของคนที่ขาหักหรือคนที่ต้องถือไม้เท้าก็แล้วกัน จะลุกจะเดินมันช่างลำบากและสร้างปัญหาเยอะเลย บัญชีเงินฝากธนาคารที่เงินฝากไม่สมดุลกับเงินถอนก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาเช่นเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “สมดุล” จึงมีความสำคัญมากในทุกระดับตั้งแต่ระดับปัจเจก (ตลอดจนระดับเซลล์ในร่างกาย) จนถึงระดับสิ่งแวดล้อมเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีความสำคัญไปถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นประเด็นหลักที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ครับ

ประโยคสุดท้ายของมาตรา 66 ในรัฐธรรมนูญนี้ก็คือชุมชนมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน สำหรับมาตรา 85 ก็พูดถึงสิ่งเดียวกันคือความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุล

ในระบบนิเวศใดที่ความหลากหลาย (หรือจำนวนพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต)ทางชีวภาพไม่สมดุลหรือไม่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกันแล้ว ระบบนิเวศนั้นๆ ก็จะไม่ยั่งยืน ในท้องทะเลซึ่งกุ้ง หอย ปู และปลาน้อยใหญ่รวมทั้งแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ก็มีความสัมพันธ์กันเป็นห่วงโซ่อาหารอย่างพอเหมาะ หากห่วงโซ่อาหารนี้เกิดขาดไปสักโซ่ย่อมมีปัญหาต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศโดยรวมอย่างแน่นอน ตั้งแต่สัตว์น้ำชั้นล่างสุด (เช่น ปลากะตัก)ไปจนถึงชั้นบน (เช่น ปลาฉลาม) เป็นต้น เมื่อระบบนิเวศใดเสียสมดุลไปแล้วก็ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาดังเดิม

ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางเมื่อปีกลายก็เป็นปัญหาที่เกิดจากความ “ไม่สมดุล” ของระบบนิเวศทั้งที่เป็นระบบธรรมชาติและการวางผังเมือง เราสร้างถนน ที่อยู่อาศัย รวมทั้งสร้างนิคมอุตสาหกรรมกีดขวางทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ ทำให้อัตราการไหลของน้ำเข้ากับน้ำออกไม่สมดุลกัน ส่งผลให้น้ำท่วมนานและสร้างความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น

ในเรื่องเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะรู้สึกแปลกใจกับข้อมูลที่สะท้อนว่าประเทศเราได้เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งในแง่ของการผลิตและการใช้พลังงาน

ในปี 2529 ซึ่งเป็นปีที่ 25 ปีภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เราส่งสินค้าออกได้คิดเป็นมูลค่า 2.3 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 21% แต่ใช้พลังงานเพียง 7% ของรายได้ประชาชาติ โดยที่สินค้าออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร คือ ข้าว ยางพารา และอาหารทะเลสำเร็จรูป เป็นต้น

แต่ในอีก 25 ปีต่อมา คือปี 2554 ตัวเลขดังกล่าวได้เปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง คือ ส่งสินค้าออกคิดเป็นมูลค่า 6.9 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% และใช้พลังงานถึง 19% ของรายได้ประชาชาติ

ที่น่าแปลกใจกว่านั้นอีกก็คือ สินค้าออก 2 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด คือ เครื่องคอมพิวเตอร์และรถยนต์ พร้อมอุปกรณ์และส่วนประกอบ คำถามก็คือว่า สินค้าดังกล่าวมียี่ห้อใดบ้างที่เป็นของคนไทย ที่น่าแปลกใจสุดๆ ก็คือ สินค้าออกอันดับที่ห้าคือน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปมีมูลค่าถึง 0.3 ล้านล้านบาทซึ่งสูงกว่าข้าวที่มาถูกทิ้งให้อยู่ในอันดับที่สิบ (ยางพารามาอันดับที่ 4)

จากข้อมูลในสามย่อหน้าสุดท้ายทำให้เราได้ข้อสรุปว่า ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเราได้เสีย “สมดุล” ไปนานแล้ว ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสัดส่วนเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม การเกษตรและภาคบริการที่ไม่ได้สัดส่วนหรือสมดุล

ระบบเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในประเทศอีกต่อไปแล้ว แต่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งเคยถูกตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลว่า “เพื่อทดแทนการนำเข้า” ก็ยังคงส่งเสริมการลงทุนโดยไม่เก็บภาษีเครื่องจักรและเงินได้ในช่วง 8 ปีแรกเช่นเดิม เจ้าของทุนก็เป็นทุนผูกขาดต่างชาติ กรณีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งๆ ที่ประเทศเรายังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบส่วนใหญ่จากต่างประเทศยิ่งตอกย้ำถึงความไม่มีเหตุมีผลของระบอบทุนนิยมสามานย์

เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตที่ใช้พลังงานและแรงงานราคาถูก มีการจ้างงานจำนวนน้อย แย่งการใช้น้ำจืดจากภาคเกษตรกรรม แล้วปล่อยมลพิษทั้งทางอากาศและแม่น้ำลำคลอง นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

ที่กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องของอดีตจนถึงปัจจุบันที่แม้ว่าภาคประชาชนจะได้เคยออกมาเตือนในเชิงนโยบายแล้วว่า ควรจะพัฒนาประเทศให้มีความสมดุลกันระหว่างเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งสามส่วนนี้มีความยั่งยืนด้วย แต่ก็ไม่ได้ผล กระบวนการโลกาภิวัตน์กำลังโหมกระหน่ำในทุกพื้นที่ของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ที่เหมาะในการทำท่าเรือน้ำลึกและโรงไฟฟ้าถ่านหิน

สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต เราสามารถดูล่วงหน้าจากโครงสร้างการใช้พลังงานในภาคธุรกิจต่างๆ จากเอกสารที่ชื่อว่า แผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ. 2554 - 2573) ของกระทรวงพลังงานดังแผนภาพ

ปัจจุบัน (2553) เราใช้พลังงานขั้นสุดท้ายในภาคอุตสาหกรรมที่ประมาณปีละ 24,000 หน่วยซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจเสียสมดุลแล้ว แต่ในปี 2575 (หรือ 2030) เขาวางแผนว่าจะให้ใช้ถึง 60,000 หน่วยหรือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าตัว ในขณะที่ภาคที่อยู่อาศัย(แถบสีที่สองนับจากข้างบน) จะเพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียว เราลองจินตนาการดูซิครับว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าเราต้องเดินตามแผนนี้ มันจะเสียสมดุล (ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นห่วง) จะก่อปัญหารุนแรงขนาดไหน ทราบแล้วเปลี่ยนครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น