ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ดิ้นพลาดๆ กันเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวกเลยทีเดียว สำหรับข้าทาสใน เรือนเบี้ยของตระกูลชิน หลังจากที่รัฐมนตรีปากพาซวยชื่อ “ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช” เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะอยู่ไม่ถึงสิ้นปี 2555 อันเป็นผลมาจากกระแสข่าวที่ค่อนข้างชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีเที่ยวล่าสุด ศ.ดร.สุชาติจะมีอันเป็นไปและหลุดพ้นจากเก้าอี้ “เสมา 1” อย่างแน่นอน
ดังนั้น เที่ยวนี้สรรพอาวุธทั้งหลายทั้งปวงจึงพุ่งตรงเข้าใส่นายสุชาติอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจ เนื่องเพราะคราวนี้ไม่สามารถพลิกลิ้นได้เหมือนเมื่อครั้งแปะเจี๊ยะเสรีได้อีกต่อไป
ที่สำคัญคือเจ้าตัวก็ออกมาแถลงข่าวยืนยันชัดเจนว่า สิ่งที่วิเคราะห์ออกมานั้นเป็นความคิดของตนเองจริงๆ พร้อมย้ำในการเปิดแถลงข่าวครั้งที่ 2 ว่า “ต่อไปรัฐบาลจะอยู่ลำบาก” จริงๆ
แต่ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นชุดข้อความที่ว่า “ผมไม่เสียใจ ถ้าจะต้องออกจากตำแหน่ง เพาะผมไม่เคยมาวิ่งเต้นเพื่อนั่งในตำแหน่งช่วงที่ปรับ ครม. ผมไม่เคยพูดอะไรเลย ตอนที่ตั้งผมเป็นรมว.ศึกษาฯ นายกฯ ก็เป็นคนโทร.บอกผมเอง ผมไม่เคยไปหา เป้าหมายของชีวิต ไม่ใช่การได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป้าหมายคือ การมีความสุขในแต่ละวัน ผมไม่ได้คิดเหมือนคนอื่น เป้าหมายการเป็นรัฐมนตรีคือการรับใช้สังคม ส่วนเป้าหมายของคนอื่นมาเป็นรัฐมนตรีอาจจะคิดเรื่องของการโกง การใช้อำนาจ ผมไม่ชอบสังคมแบบนี้ อยากให้เป็นสังคมตะวันตกที่ไม่ใส่ร้ายกัน เป็นแบบนี้ถือว่าแย่มาก ประเทศถึงไม่เจริญ”
ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ทั้งนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นายขวัญชัย ไพรพนา นายชินวัฒน์ หาบุญพาด จึงกระโดดเข้าขย้ำอย่างไม่ เกรงอกเกรงใจ
และด้วยประการฉะนี้ สังคมจึงได้ยินถ้อยคำเด็ดๆ พรั่งพรูอย่างเช่น “ถ้ามีรัฐมนตรีศึกษาธิการเฮงซวยแบบนี้ ก็รีบไสหัวไปให้พ้นๆ ดีกว่า ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะมีน้ำยาแก้ไขปัญหาอะไร หลายอย่างในกระทรวงศึกษาฯ ก็ยังเรื้อรัง นายสุชาติเป็นรัฐมนตรี เข้าพบก็ยาก เงื่อนไขก็เยอะ”
ขณะที่ขุนพลระดับแกนนำก็ออกมารับประกันว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ยาว ไม่ได้ล่มก่อนสิ้นปีอย่างที่นายสุชาติให้สัมภาษณ์ อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นต้น
ปรากฏความแตกแยกดังกล่าว ทางหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวที่ดำรงอยู่ในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยว่ามีอยู่จริง
ขณะที่ในทางหนึ่งก็ทำให้สังคมนึกสงสัยว่าทำไมรัฐมนตรีสุชาติถึงได้ปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ จะว่าเสียใจที่จะถูกเด้งพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีก็คงไม่ได้ เพราะใช่ว่าจะไม่เคยถูกเด้งเสียเมื่อไหร่ แถมถ้าจะว่าไปแล้วผลงานในฐานะเสมา 1 ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขณะที่ปัญหาทางด้านการศึกษาที่เป็นหน้าที่ที่แท้จริง เช่น เรื่องการปฏิรูปการศึกษาก็มิได้มีอะไรคืบหน้า มิหนำซ้ำยังมีความขัดแย้งกับทีมงานของตนเองที่ทางพรรคส่งเข้ามาช่วยงานอีกต่างหาก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ดร.ประแสง มงคลศิริ อดีตที่ปรึกษาของนายสุชาติเองที่ทำงานร่วมกันได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ตัดสินใจโบกมือลาท่ามกลางความงุนงงของสาธารณชน ซึ่งหลังปรากฏข่าวดังกล่าว ดร.ประแสงก็ให้สัมภาษณ์โจมตีนายสุชาติอย่างไม่ไว้หน้า โดยเฉพาะอย่างความไม่ใส่ใจในการจัดการกับปัญหาการทุจริตคอรัปชันในการจัดซื้อครุภัณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา รวมถึงความนิยมชมชอบที่จะเดินทางไปต่างประเทศ จนหลงลืมที่จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมนักเรียนนักศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศซึ่งมีปัญหามากกว่าหลายเท่าตัวนัก
อย่างไรก็ตาม นายสุชาติก็ตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างไม่ยั้งเช่นกันว่า “ไม่เคยโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม ทั้งที่มีข่าวออกมาและน่าจะโยกย้ายได้แต่ผมไม่ทำ เพราะการโยกย้ายข้าราชการจะทึกทักตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องสอบสวนให้ชัดเจนก่อน ข้าราชการทำงานมา 30-40 ปี จนมีตำแหน่งสูง แล้วนักการเมืองที่เข้ามาแค่ไม่พอใจ ก็เอาหลักฐาน 2-3 ชิ้นไปถ่ายให้หนังสือพิมพ์ลงแล้วจะโยกย้ายได้อย่างไร ต่อไปใครจะมาทำงานให้ชาติบ้านเมือง ผมเข้ามาทำงานที่ ศธ.เมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ศธ.แย่กว่านี้เยอะ ทุกคนวิ่งเต้นโยกย้ายเต็มห้องไปหมด แต่เดี๋ยวนี้หน้าห้องผมไม่มีใครมาวิ่งเต้นขายของ”
งานนี้ แม้นายสุชาติไม่พูดชัดว่าใคร แต่ก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า เป็นกรณีนางศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา ชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ดอกเตอร์แห่งพรรคเพื่อไทยในรั้ววังจันทรเกษม
แต่อีกทางหนึ่ง สังคมก็เริ่มคล้อยตามสิ่งที่รัฐมนตรีปากไม่มีหูรูดของคนเสื้อแดงวิเคราะห์เอาไว้เสียแล้วว่า รัฐนาวาโฟร์ซีซั่นส์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะอยู่ไม่ถึงสิ้นปีนี้จริงๆ เพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์แล้ว ศึกแต่ละด้านที่กระหนาบเข้ามาเป็นระลอกๆ ทั้งจากทัพหน้า ทัพหลวงและทัพหลัง ไหนจะจากกองทะลวงฟันที่ซุ่มโจมตีเปิดแผลน้อยใหญ่ให้สังคมไทยเห็นไส้ทุกขดมากขึ้นทุกวัน
ศึกใหญ่ที่ทำให้รัฐบาลโฟร์ซีซั่นส์ไปไม่เป็นขบวนก็อย่างเช่น ความพ่ายแพ้ในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ความพ่ายแพ้ในการโหวตวาระ 3 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เฉกเช่นเดียวกับกรณีสหรัฐฯ เข้ามาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาที่ในที่สุดครม.ก็ต้องโยนเรื่องกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
โดยเฉพาะกรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับรัฐไทยใหม่ที่ เสมา 1 วิเคราะห์เอาไว้น่าฟังว่า อาจทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนถูกถอดถอนและเป็นเหตุให้พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องถูกยุบพรรค
จริงๆ ถ้าจะว่าไปแล้ว ข้อวิเคราะห์ของเสมา 1 เสมือนนั่งอยู่ในหัวใจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันเลยทีเดียว
นี่ไม่นับรวมถึงความระส่ำระสายในขบวนการเสื้อแดง ที่ประชาชนแห่ง รัฐไทยใหม่ได้เห็นสันดานของผู้เป็นประมุขแล้วว่า สับปลับเพียงใด ใกล้จะเสร็จสมอารมณ์หมายก็ถีบหัวส่งคนเสื้อแดงที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาทิ้งไปเสียดื้อ จากนั้นพอถูกไล่กระทุ้งหนักเข้า ลิ้นก็กลายเป็นสองแฉกออดอ้อนหยอดคำหวานเข้าใส่คนเสื้อแดงอีกครั้ง
ไหนจะตัวเดอะคางคก-จตุพร พรหมพันธุ์ที่ทำท่าว่าจะไม่รอดคุก
ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องประชาชนก็มิได้สนใจที่จะแก้ไขหรือบรรเทาภาวะข้าวยากหมากแพงให้คลี่คลายลงไปได้เลยแม้แต่น้อย
นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์กรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกจากการบริหารงานของคณะรัฐมนตรีอย่างชัดเจน ถึงขั้นที่ รมว.ศึกษาฯ ออกมาขีดเส้นระยะเวลาการทำงานรัฐบาลอย่างไม่น่าเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การออกมาระบุของนายสุชาติเท่ากับเป็นการเอกซเรย์การทำงานที่อ่อนหัดของรัฐบาลไปพร้อมๆ กันด้วย
เอ....หรือว่าบทวิเคราะห์ของรัฐมนตรีสุชาติจะเป็นความจริง
อนุโมทนา....สาธุ