ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่เป็นภัยคุกคามสันติสุขและความมั่นคงของสังคมไทยอันเกิดจากเหตุการณ์ภายในและแรงกดดันจากภายนอกประเทศ ภัยภายในประเทศคุกรุ่นตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การชี้นำของทักษิณ อดีตนักธุรกิจการเมือง ที่ใช้อำนาจรัฐทุจริต คอร์รัปชัน จนถูกศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินลงโทษ เพราะใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตโกงการซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก อันเป็นผลประโยชน์เฉพาะตัว และได้หลบหนีการจับกุมให้มารับโทษตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนทุกวันนี้ที่มีการคุกคามศาลรัฐธรรมนูญ
ด้วยแนวคิดกลยุทธ์การเมืองของทักษิณได้สร้างมวลชนเสื้อแดงจากการว่าจ้างนักปลุกระดมมวลชนอาชีพหลายคน ที่รู้จักดีในหมู่นักการเมือง นักเคลื่อนไหว องค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของรัฐ แต่จะขอพูดถึงเพียงบุคคลเดียวคือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา บังอาจข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นำสมุนจำนวนหนึ่งบุกไปที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ และกล่าวหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับเขา และยังบังอาจแทรกแซงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญทุกกระบวนการยุติธรรม โดยใช้กฎหมู่ซึ่งเป็นงานถนัดของเขาในการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกคำแนะนำให้สภาผู้แทนราษฎรชะลอการลงมติ 3 วาระของ พ.ร.บ.การแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของอำนาจอธิปไตย 3 ประการของชาติ คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ ซึ่งทั้ง 3 อำนาจจะต้องเป็นเอกเทศไม่ขึ้นแก่กัน และสามารถตรวจสอบได้ตามอำนาจรัฐที่บ่งไว้ในรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุด
การที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมากล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่มีสิทธิที่จะขัดขวางขบวนการนิติบัญญัตินั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาเตือนภัยอันอาจจะเกิดขึ้นกับสงครามกลางเมืองได้ หาก พ.ร.บ.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 นำสู่ความขัดแย้งทางสังคมขั้นรุนแรง เป็นสงครามการเมืองได้ โดยใช้อำนาจแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งบ่งให้เห็นว่ากิจการทางนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรกำลังนำสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามทุกวิถีทางที่จะป้ายสีให้ประชาชนชาวไทยและประชากรโลก โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เห็นว่าประเทศไทยไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอิสระเสรีภาพมาก โดยเฉพาะเสรีในการแสดงความคิดเห็น และเห็นได้จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนในปัจจุบันด้วยระบอบประชาธิปไตยนี้เอง ที่คนไทยต้องยอมรับคนเสื้อแดงที่เผาบ้านเผาเมืองเข้าไปมีอำนาจรัฐ และบริหารประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา
นอกจาก พ.ร.บ.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 แล้ว คนไทยยังต้องเจอกับ พ.ร.บ.ปรองดองจอมปลอม ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะนิรโทษกรรมคนเผาบ้านเผาเมือง คนยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ และยิงทหาร
ทั้งยังใช้เล่ห์กลสกปรกป้ายสีทหารว่าเป็นคนฆ่าคนตาย 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหารในช่วงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 อันเป็นวันสุดท้ายของการประท้วงที่สกปรก และไร้เหตุผลที่สุด โดยทำให้เห็นเป็นการประท้วงรัฐบาลตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ แต่ในพื้นที่ยึดครองของคนเสื้อแดงมีการใช้อาวุธสงคราม อาวุธแสวงเครื่อง เครื่องยิงลูกระเบิด และอุปกรณ์ก่อวินาศกรรมแสวงเครื่องหลากหลายมีหลักฐานชัดเจน เช่น มีการวางถังแก๊สจำนวนหนึ่งข้างโรงเรียนมาแตร์เดอี
การนี้กองทัพบกได้ออกมายืนยันแล้วว่าจะต่อสู้กับการป้ายสีนี้อย่างจริงจังด้วยความมุ่งมั่นและความจริงทั้งหมด และความไร้สาระของการกล่าวหานั้นอยู่ที่ว่าคนตายไม่ได้เป็นแกนนำการประท้วงซึ่งกำลังจะยุติลง จึงไม่มีเหตุผลใดที่ทหารจะต้องสังหารใครเพื่อสลายฝูงชน เพราะมวลชนกำลังสลายตัว รอรถมารับ
นายโคทม อารียา นักเคลื่อนไหวจึงกลายเป็นแพะที่รับหน้าคนเสื้อแดงมาร้องขอให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุติการสลายฝูงชน และขอแยกคนชรา เด็ก และผู้หญิงออกจากบริเวณสี่แยกราชประสงค์ และเข้าพักอาศัยในวัดปทุมวนารามฯ เพื่อรอขึ้นรถโดยสารกลับภูมิลำเนา แต่เกิดมีการสร้างฉากว่าความรุนแรงยังไม่ยุติ และมีการยิงคนในวัดปทุมวนารามเสียชีวิตในเวลากลางคืน 6 ศพ และโยนความผิดให้ทหาร
การสังหารคนบริสุทธิ์และไม่มีอาวุธนั้น ไม่มีทหารคนไหนแม้กระทั่งพลสังหารแม่นปืนที่ฝึกยิงคนโดยเฉพาะ ก็ไม่สามารถทำใจยิงได้ลงคอ ยกเว้นแต่คนที่มีสันดานอันธพาลเหี้ยมโหดที่สังหารคนอย่างไร้เหตุผล เช่น ตัวอย่างนักเรียนอันธพาล ซึ่งมีอยู่หลายสิบคนในรั้วโรงเรียนอาชีวะหลายแห่ง ซึ่งเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ คนเหล่านี้มีสันดานโหดและสามารถฆ่าคนได้โดยไร้เหตุผล ยิ่งมีการยั่วยุต่างๆ นานาจากผู้ไม่หวังดี และต้องการสร้างเรื่อง ก็สามารถที่จะยิงคนได้ คนพวกนี้มีอยู่ตามตรอกซอกซอยที่แกนนำเสื้อแดงสามารถเรียกใช้ได้มาแต่งตัวคล้ายๆ ทหารทำให้มีคนเห็นเพื่อปรักปรำทหารตามแผนชั่ว
ดังนั้น แผนการชั่วร้ายที่มีภาวการณ์แวดล้อมเช่นนี้ทำให้เราสร้างจินตยุทธ์ขึ้นได้ว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะช่วงการชุมนุมในเดือนเมษายน 2553 นั้น แกนนำหลายคนโดยเฉพาะนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ใช้วาทะปลุกระดมให้มีการเผาเมือง แล้วมันก็เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร รวม 26 แห่ง และศาลาว่าการจังหวัดอีกหลายจังหวัดถูกเผาในช่วงวันสุดท้ายของการประท้วงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ไม่สำเร็จ เสื้อแดงจึงเผาเมือง และยิงคนให้เป็นประเด็นการเมืองอย่างไม่รู้จบ
ข่าวการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติ กับสิทธิการเข้าประเทศสหรัฐฯ ของทักษิณ จึงเป็นประเด็นการเมืองภายนอก เพราะว่าประชาชน นักวิชาการ นักการทหาร นักธุรกิจ และนักการเมืองจำนวนมาก ต่อต้านการเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาขององค์การนาซาแห่งสหรัฐฯ เพื่อกิจการทางทหาร
หลายคนมองว่ามีวาระซ่อนเร้น และหากเป็นการปฏิบัติการทางทหารแล้ว จีนซึ่งเป็นคู่สงครามเย็นของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็จะไม่พอใจ และเกิดความระแวงประเทศไทย อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจการค้าที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการวางกำลังขีปนาวุธ กำลังทางเรือ และทางอากาศของจีนในตำบลทางตอนใต้ของจีนหรือบริเวณเกาะไหหลำที่ใกล้กับอู่ตะเภา เพื่อป้องกันตัวเองจากการที่จะถูกสหรัฐฯ โจมตีนี่ก็คือหายนะของไทย
เรื่องราวทางยุทธศาสตร์ของอู่ตะเภา ก็มีคนได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้มากพอสมควร แต่การชักศึกเข้าบ้านนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเลยในครั้งนี้ และเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะออกมาปฏิเสธว่าการออกวีซ่าให้กับทักษิณนั้น เป็นเรื่องปกติทางงานด้านกงสุล แต่ถ้าเราวิเคราะห์แล้วว่าสหรัฐฯ มีเงื่อนไขที่เป็นมาตรฐานอย่างชัดเจน ครอบคลุมกลุ่มบุคคลสำคัญๆ หรือผู้ต้องสงสัยว่าทำอาชีพไม่สุจริต เช่น ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ หรือค้าคน หรือกลุ่มนักการเมืองที่มีคดีทุจริตติดตัว โดยเฉพาะไม่ได้เป็นบุคคลที่ CIA ผลักดันให้เข้ารับตำแหน่งหรือหมดประโยชน์กับ CIA แล้ว จะทำให้การออกวีซ่าของสหรัฐฯ ให้กับทักษิณนั้นจะเกิดอุปสรรคและลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ออกวีซ่าของสหรัฐฯ เองมักจะเปรียบเทียบเป็นกรณีๆ ไป แต่ทักษิณเป็นบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี เพราะทุจริตในหน้าที่ และประเด็นนี้เองที่บริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่ทักษิณจ้างไว้ 3 บริษัท จ่ายเงินปีละ 30 ล้านบาทต่อบริษัทต่อปี พยายามที่จะสร้างภาพว่าทักษิณถูกปฏิวัติโดยอำนาจทหารและอำมาตย์ที่กลุ่มอนาธิปไตยพยายามที่จะดึงฟ้าต่ำ
จากการที่คนในกลุ่มหนึ่งต่อต้านด้วยหลักการ ทำให้รัฐบาลนี้พยายามที่จะสร้างภาพประชาธิปไตย โดยจะนำเรื่องการใช้สนามบินอู่ตะเภาของสหรัฐฯ เป็นวาระสำคัญเข้าขอมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นี่เป็นการดีที่รัฐบาลนี้พยายามสร้างภาพประชาธิปไตย แต่ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ฝ่ายค้านจะแล่ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับนโยบายระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโอบามาต่อจีน ภารกิจนาซ่าและอู่ตะเภาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และคิดว่าสหรัฐฯ คงไม่ยอมให้เกิดเรื่องการแฉความลับการใช้สนามบินอู่ตะเภาแน่ และเชื่อว่าสหรัฐฯ จะถอนญัตติไม่ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
ถ้าเป็นเช่นนี้ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากที่สหรัฐฯ จะถอนคำขอด้วยการอ้างว่าไทยยึกยัก แต่เป็นการดีที่เสียงข้างน้อยของคนไทยสัมฤทธิผลในการประท้วงด้วยเหตุผลครั้งนี้และจีนตลอดจนหมู่ประเทศในภูมิภาคนี้ก็หายใจได้คล่องขึ้นด้วยสงครามเย็นเอเชียแปซิฟิกไม่ขยายตัว
ด้วยแนวคิดกลยุทธ์การเมืองของทักษิณได้สร้างมวลชนเสื้อแดงจากการว่าจ้างนักปลุกระดมมวลชนอาชีพหลายคน ที่รู้จักดีในหมู่นักการเมือง นักเคลื่อนไหว องค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของรัฐ แต่จะขอพูดถึงเพียงบุคคลเดียวคือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา บังอาจข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นำสมุนจำนวนหนึ่งบุกไปที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ และกล่าวหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับเขา และยังบังอาจแทรกแซงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญทุกกระบวนการยุติธรรม โดยใช้กฎหมู่ซึ่งเป็นงานถนัดของเขาในการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกคำแนะนำให้สภาผู้แทนราษฎรชะลอการลงมติ 3 วาระของ พ.ร.บ.การแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของอำนาจอธิปไตย 3 ประการของชาติ คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ ซึ่งทั้ง 3 อำนาจจะต้องเป็นเอกเทศไม่ขึ้นแก่กัน และสามารถตรวจสอบได้ตามอำนาจรัฐที่บ่งไว้ในรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุด
การที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมากล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่มีสิทธิที่จะขัดขวางขบวนการนิติบัญญัตินั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาเตือนภัยอันอาจจะเกิดขึ้นกับสงครามกลางเมืองได้ หาก พ.ร.บ.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 นำสู่ความขัดแย้งทางสังคมขั้นรุนแรง เป็นสงครามการเมืองได้ โดยใช้อำนาจแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งบ่งให้เห็นว่ากิจการทางนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรกำลังนำสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามทุกวิถีทางที่จะป้ายสีให้ประชาชนชาวไทยและประชากรโลก โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เห็นว่าประเทศไทยไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอิสระเสรีภาพมาก โดยเฉพาะเสรีในการแสดงความคิดเห็น และเห็นได้จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนในปัจจุบันด้วยระบอบประชาธิปไตยนี้เอง ที่คนไทยต้องยอมรับคนเสื้อแดงที่เผาบ้านเผาเมืองเข้าไปมีอำนาจรัฐ และบริหารประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา
นอกจาก พ.ร.บ.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 แล้ว คนไทยยังต้องเจอกับ พ.ร.บ.ปรองดองจอมปลอม ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะนิรโทษกรรมคนเผาบ้านเผาเมือง คนยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ และยิงทหาร
ทั้งยังใช้เล่ห์กลสกปรกป้ายสีทหารว่าเป็นคนฆ่าคนตาย 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหารในช่วงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 อันเป็นวันสุดท้ายของการประท้วงที่สกปรก และไร้เหตุผลที่สุด โดยทำให้เห็นเป็นการประท้วงรัฐบาลตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ แต่ในพื้นที่ยึดครองของคนเสื้อแดงมีการใช้อาวุธสงคราม อาวุธแสวงเครื่อง เครื่องยิงลูกระเบิด และอุปกรณ์ก่อวินาศกรรมแสวงเครื่องหลากหลายมีหลักฐานชัดเจน เช่น มีการวางถังแก๊สจำนวนหนึ่งข้างโรงเรียนมาแตร์เดอี
การนี้กองทัพบกได้ออกมายืนยันแล้วว่าจะต่อสู้กับการป้ายสีนี้อย่างจริงจังด้วยความมุ่งมั่นและความจริงทั้งหมด และความไร้สาระของการกล่าวหานั้นอยู่ที่ว่าคนตายไม่ได้เป็นแกนนำการประท้วงซึ่งกำลังจะยุติลง จึงไม่มีเหตุผลใดที่ทหารจะต้องสังหารใครเพื่อสลายฝูงชน เพราะมวลชนกำลังสลายตัว รอรถมารับ
นายโคทม อารียา นักเคลื่อนไหวจึงกลายเป็นแพะที่รับหน้าคนเสื้อแดงมาร้องขอให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุติการสลายฝูงชน และขอแยกคนชรา เด็ก และผู้หญิงออกจากบริเวณสี่แยกราชประสงค์ และเข้าพักอาศัยในวัดปทุมวนารามฯ เพื่อรอขึ้นรถโดยสารกลับภูมิลำเนา แต่เกิดมีการสร้างฉากว่าความรุนแรงยังไม่ยุติ และมีการยิงคนในวัดปทุมวนารามเสียชีวิตในเวลากลางคืน 6 ศพ และโยนความผิดให้ทหาร
การสังหารคนบริสุทธิ์และไม่มีอาวุธนั้น ไม่มีทหารคนไหนแม้กระทั่งพลสังหารแม่นปืนที่ฝึกยิงคนโดยเฉพาะ ก็ไม่สามารถทำใจยิงได้ลงคอ ยกเว้นแต่คนที่มีสันดานอันธพาลเหี้ยมโหดที่สังหารคนอย่างไร้เหตุผล เช่น ตัวอย่างนักเรียนอันธพาล ซึ่งมีอยู่หลายสิบคนในรั้วโรงเรียนอาชีวะหลายแห่ง ซึ่งเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ คนเหล่านี้มีสันดานโหดและสามารถฆ่าคนได้โดยไร้เหตุผล ยิ่งมีการยั่วยุต่างๆ นานาจากผู้ไม่หวังดี และต้องการสร้างเรื่อง ก็สามารถที่จะยิงคนได้ คนพวกนี้มีอยู่ตามตรอกซอกซอยที่แกนนำเสื้อแดงสามารถเรียกใช้ได้มาแต่งตัวคล้ายๆ ทหารทำให้มีคนเห็นเพื่อปรักปรำทหารตามแผนชั่ว
ดังนั้น แผนการชั่วร้ายที่มีภาวการณ์แวดล้อมเช่นนี้ทำให้เราสร้างจินตยุทธ์ขึ้นได้ว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะช่วงการชุมนุมในเดือนเมษายน 2553 นั้น แกนนำหลายคนโดยเฉพาะนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ใช้วาทะปลุกระดมให้มีการเผาเมือง แล้วมันก็เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร รวม 26 แห่ง และศาลาว่าการจังหวัดอีกหลายจังหวัดถูกเผาในช่วงวันสุดท้ายของการประท้วงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ไม่สำเร็จ เสื้อแดงจึงเผาเมือง และยิงคนให้เป็นประเด็นการเมืองอย่างไม่รู้จบ
ข่าวการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติ กับสิทธิการเข้าประเทศสหรัฐฯ ของทักษิณ จึงเป็นประเด็นการเมืองภายนอก เพราะว่าประชาชน นักวิชาการ นักการทหาร นักธุรกิจ และนักการเมืองจำนวนมาก ต่อต้านการเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาขององค์การนาซาแห่งสหรัฐฯ เพื่อกิจการทางทหาร
หลายคนมองว่ามีวาระซ่อนเร้น และหากเป็นการปฏิบัติการทางทหารแล้ว จีนซึ่งเป็นคู่สงครามเย็นของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็จะไม่พอใจ และเกิดความระแวงประเทศไทย อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจการค้าที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการวางกำลังขีปนาวุธ กำลังทางเรือ และทางอากาศของจีนในตำบลทางตอนใต้ของจีนหรือบริเวณเกาะไหหลำที่ใกล้กับอู่ตะเภา เพื่อป้องกันตัวเองจากการที่จะถูกสหรัฐฯ โจมตีนี่ก็คือหายนะของไทย
เรื่องราวทางยุทธศาสตร์ของอู่ตะเภา ก็มีคนได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้มากพอสมควร แต่การชักศึกเข้าบ้านนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเลยในครั้งนี้ และเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะออกมาปฏิเสธว่าการออกวีซ่าให้กับทักษิณนั้น เป็นเรื่องปกติทางงานด้านกงสุล แต่ถ้าเราวิเคราะห์แล้วว่าสหรัฐฯ มีเงื่อนไขที่เป็นมาตรฐานอย่างชัดเจน ครอบคลุมกลุ่มบุคคลสำคัญๆ หรือผู้ต้องสงสัยว่าทำอาชีพไม่สุจริต เช่น ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ หรือค้าคน หรือกลุ่มนักการเมืองที่มีคดีทุจริตติดตัว โดยเฉพาะไม่ได้เป็นบุคคลที่ CIA ผลักดันให้เข้ารับตำแหน่งหรือหมดประโยชน์กับ CIA แล้ว จะทำให้การออกวีซ่าของสหรัฐฯ ให้กับทักษิณนั้นจะเกิดอุปสรรคและลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ออกวีซ่าของสหรัฐฯ เองมักจะเปรียบเทียบเป็นกรณีๆ ไป แต่ทักษิณเป็นบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี เพราะทุจริตในหน้าที่ และประเด็นนี้เองที่บริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่ทักษิณจ้างไว้ 3 บริษัท จ่ายเงินปีละ 30 ล้านบาทต่อบริษัทต่อปี พยายามที่จะสร้างภาพว่าทักษิณถูกปฏิวัติโดยอำนาจทหารและอำมาตย์ที่กลุ่มอนาธิปไตยพยายามที่จะดึงฟ้าต่ำ
จากการที่คนในกลุ่มหนึ่งต่อต้านด้วยหลักการ ทำให้รัฐบาลนี้พยายามที่จะสร้างภาพประชาธิปไตย โดยจะนำเรื่องการใช้สนามบินอู่ตะเภาของสหรัฐฯ เป็นวาระสำคัญเข้าขอมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นี่เป็นการดีที่รัฐบาลนี้พยายามสร้างภาพประชาธิปไตย แต่ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ฝ่ายค้านจะแล่ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับนโยบายระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโอบามาต่อจีน ภารกิจนาซ่าและอู่ตะเภาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และคิดว่าสหรัฐฯ คงไม่ยอมให้เกิดเรื่องการแฉความลับการใช้สนามบินอู่ตะเภาแน่ และเชื่อว่าสหรัฐฯ จะถอนญัตติไม่ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
ถ้าเป็นเช่นนี้ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากที่สหรัฐฯ จะถอนคำขอด้วยการอ้างว่าไทยยึกยัก แต่เป็นการดีที่เสียงข้างน้อยของคนไทยสัมฤทธิผลในการประท้วงด้วยเหตุผลครั้งนี้และจีนตลอดจนหมู่ประเทศในภูมิภาคนี้ก็หายใจได้คล่องขึ้นด้วยสงครามเย็นเอเชียแปซิฟิกไม่ขยายตัว