เราให้ปัญญาแนวความคิดที่ถูกต้องกับประชาชน เราจะไม่เป็นอาชญากรทางปัญญา เราตายเสียดีกว่าที่จะเป็นอาชญากรทางปัญญา เฉกเช่นแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงอย่าง วีระกานต์ มุสิกพงศ์, บทนำมติชน เป็นต้น
เราชี้มาตลอดว่า สภาพการณ์ หรือสภาวการณ์ คือสภาพที่มันกำลังเป็นไป หรือกำลังเป็นอยู่ ที่กำลังดำเนินไปนั้น แท้จริงของประเทศไทยมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ส่วนระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย
นับแต่การเปลี่ยนการปกครองโดยคณะรัฐประหาร (คณะราษฎร) ยึดอำนาจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จนกระทั่งจนถึงปัจจุบันมันเป็นกระบวนการของวิวัฒนาการระบอบเผด็จการทั้งสิ้น สลับสับเปลี่ยนกัน 2 ลักษณะ คือ
1. ระบอบเผด็จการโดยการรัฐประหาร โดยใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวเป็นวิธีการปกครอง
2. ระบอบเผด็จการโดยเลือกตั้ง (ซื้อเสียงเข้ามา) โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นวิธีการปกครองกดขี่ ปล้นชาติ
ระบอบเผด็จการทั้งสองขั้วนี้ได้ครอบงำประเทศไทย มันได้ครอบงำประชาชนไทยนับแต่ผู้นำสูงสุดซึ่งไม่เฉลียวใจนักวิชากรที่ศรัทธาคณะราษฎรโดยขาดการฉุกคิด นักการเมือง นักศึกษา จนถึงประชาชนอย่างตาสี ยายมี ยายมา ต่างก็เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่ามันล้มเหลวมาตลอด ล้มเหลวอย่างซ้ำซากผ่านมาแล้ว 80 ปี ที่ผ่านมา มีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ
ความจริงระบอบประชาธิปไตยไม่เคยถูกสร้างขึ้น ไม่เคยถูกสถาปนาขึ้นเมื่อไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น ต้นไม้แห่งระบอบโดยธรรมไม่ได้ถูกปลูกขึ้น แล้วจะพัฒนาเจริญเติบโตได้อย่างไรกัน (มันโง่กันนักที่พูดว่า “80 ปี ประชาธิปไตย”)
ทั้งนี้ผู้ปกครองต่างก็เข้าใจผิดว่าการมีรัฐธรรมนูญ มีระบบรัฐสภา ว่านี่แหละคือระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดระเบียบวิธีการปกครองเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายตุลาการ มีระบบรัฐสภา เมื่อมีรัฐสภา ก็ย่อมมีการกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกวุฒิสภา มีการเลือกตั้ง มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีการต่างๆ ของระบบรัฐสภา ดังกล่าวนี้ คือ มันเป็นเพียงรูปแบบการปกครองและระเบียบวิธีการปกครองเท่านั้น ยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย ดังภาพ
นี่คือสิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงต้องการ ปากบอกว่าอยากได้ประชาธิปไตย แต่รูปธรรมกลายเป็นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มันหลอกกันชัดๆ น่าสงสารมวลชนเสื้อแดงนักที่เขาจูงจมูกดุจดังสัตว์ที่ใช้ไถนา
พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังคงรักษาการเมืองการปกครองเช่นนี้เช่นกัน ไม่มีอะไรใหม่แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเอาอะไรไปสู้เขา
อุปมา การเมืองการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ ดุจดังหอยเสฉวน
เปลือกหอยเปล่าก็คือรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวหอยเสฉวนก็คือรัฐบาลที่เข้ามาอาศัยดังนี้แล้วประโยชน์จากการเมืองการปกครองจึงตกเป็นของฝ่ายรัฐบาลนั้นๆ ซึ่งเป็นพวกคนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว
ส่วนการเมืองการปกครองที่ถูกต้องดุจดังหอยธรรมดา หลักการปกครองคือตัวหอย ส่วนเปลือกหอยก็คือรัฐธรรมนูญ คิดกันให้ดีสองลักษณะดังกล่าวนี้เถิด
การเมืองการปกครองจะเป็นระบอบอะไรนั้น เขาดูที่หลักการปกครองเป็นสำคัญ หลักการปกครองโดยธรรมเปิดเผยเป็นหัวใจของการปกครองและเป็นตัวถือดุลย์ จะเห็นว่าไม่ยากเลย อ่านแล้วน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ ดังภาพความสัมพันธ์
นี่คือลักษณะสัมพันธภาพที่ถูกต้องระหว่างการเมืองของปวงชนกับการปกครองของปวงชนโดยธรรม นี่คือปัญญาของเหล่าพสกนิกรโดยแท้
อุปมา หลักการปกครองคือวัดพระแก้ว “เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิดก่อน” เราไปวัดพระแก้วได้ ก็เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อน วิธีการไปคือรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หลักการปกครองหรือระบอบต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญเสมอไป
แต่พวกคนเหลวไหล คนอวดดี คนหยิ่งยโสโอหัง คนโง่แล้วอวดฉลาด เห็นได้เพียงวิธีการและรูปแบบ พวกเขาจึงร่างรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบ จึงเป็นแนวทางที่ผิดไปจากธรรม พวกเขาจึงผิดซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้เพราะพวกผู้ปกครองได้ประโยชน์เต็มๆ นั่นเอง แต่ประชาชนถูกกดขี่ ตกเป็นทาสทางการเมืองมานาน 80 ปี กับหนึ่งวันในวันนี้
ท่านทั้งหลายจะยังยอมตกเป็นทาสของพวกเขาต่อไปเช่นนั้นหรือ พวกเราเหล่าพสกนิกรแท้ๆ จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว จงเปล่งวาจาด้วยปัญญาออกมาเถิด “ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” ทั่วทั้งแผ่นดิน ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ทุกครอบครัว นี่คือแนวทางการต่อสู้อย่างสันติที่จะเอาชนะพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ 80 ปี (เพื่อไทย เสื้อแดง ฯลฯ) ได้ อย่าให้พวกเขานำประชาชนไปสู่นรกอีกเลย
ระบอบหรือหลักการปกครอง อุปมาได้ดังดวงอาทิตย์ ส่วนหมวด และมาตราต่างๆ อุปมาได้ดังดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ ฉันใด
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และระเบียบวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ โดยส่วนเดียว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น
ใครมาเป็นนายรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นคนร้ายขึ้นมาทันที ก่อนเป็นนายกฯ เป็นคนดี แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีกลายเป็นคนร้าย อุบาทว์จัญไร ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมฝ่ายเสื่อม หรือกฎธรรมชาติฝ่ายเสื่อม คือเมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หรือเมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฐิ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการ รัฐบาลย่อมเป็นเผด็จการ รัฐบาลเป็นเผด็จการก็ต้องพินาศ
แต่นั่นมันหมายถึงประเทศชาติและประชาชนต้องพินาศด้วย ซึ่งก็คือเมื่อระบอบเลว มันย่อมเป็นเหตุแผ่กระจายความพินาศออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มันแตกแยกไปหมดนับแต่ครอบครัวจนถึงสถาบันสูงสุด เราเห็นชัดโดยไม่ต้องไปถามหมอดู
ขอย้ำว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) วิธีการขึ้นสู่อำนาจโดยเลือกตั้งจึงเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ถ้ามีการทำรัฐประหาร ใช้วิธีการรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจเรียกว่าเผด็จการรัฐประหาร
พี่น้องเพื่อนร่วมชาติโปรดทราบ ขอให้มีปัญญารู้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่สามารถเปิดเผยหลักการได้ จงใจเพื่อทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน ทั้งนี้จุดสูงสุดก็คือการทำลายรากฐานของชาติ คือทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นเอง แล้วจะยังเดินทางผิดตามพวกมัน (คนโง่ ฉลาดแกมโกง) อยู่อีกหรือ “เผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา 80 ปีมันยาวนานเกินไปแล้ว” เราจะร้องให้ก้องฟ้า คงจะได้ยิน ได้เห็น ได้อ่าน ได้เข้าใจบ้างไหมเพียงนิดก็ยังดี
เราชี้มาตลอดว่า สภาพการณ์ หรือสภาวการณ์ คือสภาพที่มันกำลังเป็นไป หรือกำลังเป็นอยู่ ที่กำลังดำเนินไปนั้น แท้จริงของประเทศไทยมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ส่วนระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย
นับแต่การเปลี่ยนการปกครองโดยคณะรัฐประหาร (คณะราษฎร) ยึดอำนาจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จนกระทั่งจนถึงปัจจุบันมันเป็นกระบวนการของวิวัฒนาการระบอบเผด็จการทั้งสิ้น สลับสับเปลี่ยนกัน 2 ลักษณะ คือ
1. ระบอบเผด็จการโดยการรัฐประหาร โดยใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวเป็นวิธีการปกครอง
2. ระบอบเผด็จการโดยเลือกตั้ง (ซื้อเสียงเข้ามา) โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นวิธีการปกครองกดขี่ ปล้นชาติ
ระบอบเผด็จการทั้งสองขั้วนี้ได้ครอบงำประเทศไทย มันได้ครอบงำประชาชนไทยนับแต่ผู้นำสูงสุดซึ่งไม่เฉลียวใจนักวิชากรที่ศรัทธาคณะราษฎรโดยขาดการฉุกคิด นักการเมือง นักศึกษา จนถึงประชาชนอย่างตาสี ยายมี ยายมา ต่างก็เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่ามันล้มเหลวมาตลอด ล้มเหลวอย่างซ้ำซากผ่านมาแล้ว 80 ปี ที่ผ่านมา มีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ
ความจริงระบอบประชาธิปไตยไม่เคยถูกสร้างขึ้น ไม่เคยถูกสถาปนาขึ้นเมื่อไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น ต้นไม้แห่งระบอบโดยธรรมไม่ได้ถูกปลูกขึ้น แล้วจะพัฒนาเจริญเติบโตได้อย่างไรกัน (มันโง่กันนักที่พูดว่า “80 ปี ประชาธิปไตย”)
ทั้งนี้ผู้ปกครองต่างก็เข้าใจผิดว่าการมีรัฐธรรมนูญ มีระบบรัฐสภา ว่านี่แหละคือระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดระเบียบวิธีการปกครองเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายตุลาการ มีระบบรัฐสภา เมื่อมีรัฐสภา ก็ย่อมมีการกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกวุฒิสภา มีการเลือกตั้ง มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีการต่างๆ ของระบบรัฐสภา ดังกล่าวนี้ คือ มันเป็นเพียงรูปแบบการปกครองและระเบียบวิธีการปกครองเท่านั้น ยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย ดังภาพ
นี่คือสิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงต้องการ ปากบอกว่าอยากได้ประชาธิปไตย แต่รูปธรรมกลายเป็นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มันหลอกกันชัดๆ น่าสงสารมวลชนเสื้อแดงนักที่เขาจูงจมูกดุจดังสัตว์ที่ใช้ไถนา
พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังคงรักษาการเมืองการปกครองเช่นนี้เช่นกัน ไม่มีอะไรใหม่แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเอาอะไรไปสู้เขา
อุปมา การเมืองการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ ดุจดังหอยเสฉวน
เปลือกหอยเปล่าก็คือรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวหอยเสฉวนก็คือรัฐบาลที่เข้ามาอาศัยดังนี้แล้วประโยชน์จากการเมืองการปกครองจึงตกเป็นของฝ่ายรัฐบาลนั้นๆ ซึ่งเป็นพวกคนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว
ส่วนการเมืองการปกครองที่ถูกต้องดุจดังหอยธรรมดา หลักการปกครองคือตัวหอย ส่วนเปลือกหอยก็คือรัฐธรรมนูญ คิดกันให้ดีสองลักษณะดังกล่าวนี้เถิด
การเมืองการปกครองจะเป็นระบอบอะไรนั้น เขาดูที่หลักการปกครองเป็นสำคัญ หลักการปกครองโดยธรรมเปิดเผยเป็นหัวใจของการปกครองและเป็นตัวถือดุลย์ จะเห็นว่าไม่ยากเลย อ่านแล้วน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ ดังภาพความสัมพันธ์
นี่คือลักษณะสัมพันธภาพที่ถูกต้องระหว่างการเมืองของปวงชนกับการปกครองของปวงชนโดยธรรม นี่คือปัญญาของเหล่าพสกนิกรโดยแท้
อุปมา หลักการปกครองคือวัดพระแก้ว “เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิดก่อน” เราไปวัดพระแก้วได้ ก็เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อน วิธีการไปคือรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หลักการปกครองหรือระบอบต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญเสมอไป
แต่พวกคนเหลวไหล คนอวดดี คนหยิ่งยโสโอหัง คนโง่แล้วอวดฉลาด เห็นได้เพียงวิธีการและรูปแบบ พวกเขาจึงร่างรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบ จึงเป็นแนวทางที่ผิดไปจากธรรม พวกเขาจึงผิดซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้เพราะพวกผู้ปกครองได้ประโยชน์เต็มๆ นั่นเอง แต่ประชาชนถูกกดขี่ ตกเป็นทาสทางการเมืองมานาน 80 ปี กับหนึ่งวันในวันนี้
ท่านทั้งหลายจะยังยอมตกเป็นทาสของพวกเขาต่อไปเช่นนั้นหรือ พวกเราเหล่าพสกนิกรแท้ๆ จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว จงเปล่งวาจาด้วยปัญญาออกมาเถิด “ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” ทั่วทั้งแผ่นดิน ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ทุกครอบครัว นี่คือแนวทางการต่อสู้อย่างสันติที่จะเอาชนะพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ 80 ปี (เพื่อไทย เสื้อแดง ฯลฯ) ได้ อย่าให้พวกเขานำประชาชนไปสู่นรกอีกเลย
ระบอบหรือหลักการปกครอง อุปมาได้ดังดวงอาทิตย์ ส่วนหมวด และมาตราต่างๆ อุปมาได้ดังดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ ฉันใด
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และระเบียบวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ โดยส่วนเดียว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น
ใครมาเป็นนายรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นคนร้ายขึ้นมาทันที ก่อนเป็นนายกฯ เป็นคนดี แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีกลายเป็นคนร้าย อุบาทว์จัญไร ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมฝ่ายเสื่อม หรือกฎธรรมชาติฝ่ายเสื่อม คือเมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หรือเมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฐิ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการ รัฐบาลย่อมเป็นเผด็จการ รัฐบาลเป็นเผด็จการก็ต้องพินาศ
แต่นั่นมันหมายถึงประเทศชาติและประชาชนต้องพินาศด้วย ซึ่งก็คือเมื่อระบอบเลว มันย่อมเป็นเหตุแผ่กระจายความพินาศออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มันแตกแยกไปหมดนับแต่ครอบครัวจนถึงสถาบันสูงสุด เราเห็นชัดโดยไม่ต้องไปถามหมอดู
ขอย้ำว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) วิธีการขึ้นสู่อำนาจโดยเลือกตั้งจึงเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ถ้ามีการทำรัฐประหาร ใช้วิธีการรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจเรียกว่าเผด็จการรัฐประหาร
พี่น้องเพื่อนร่วมชาติโปรดทราบ ขอให้มีปัญญารู้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่สามารถเปิดเผยหลักการได้ จงใจเพื่อทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน ทั้งนี้จุดสูงสุดก็คือการทำลายรากฐานของชาติ คือทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นเอง แล้วจะยังเดินทางผิดตามพวกมัน (คนโง่ ฉลาดแกมโกง) อยู่อีกหรือ “เผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา 80 ปีมันยาวนานเกินไปแล้ว” เราจะร้องให้ก้องฟ้า คงจะได้ยิน ได้เห็น ได้อ่าน ได้เข้าใจบ้างไหมเพียงนิดก็ยังดี