ดอกโศก ตอนที่ 12
ขณะจะเดินเข้าประตูโบสถ์ ดอกโศกเจอกับเอ็ดดี้ ยิ้มทักทาย เอ็ดดี้ดีใจมากยิ้มร่าเอ่ยขึ้นก่อน
“Glad that you recognize me - ดีใจที่คุณจำผมได้”
ดอกโศกยิ้มๆ “I do - จำได้ค่ะ”
“You come here everyday ? - มาทุกวันรึเปล่าครับ” เอ็ดดี้ถามขึ้น
“No, somedays. - ไม่ค่ะ บางวัน”
“Are you living around here ? - คุณอยู่แถวนี้เหรอครับ” เอ็ดดี้ถามอีก
“Yes. - ค่ะ” ดอกโศกบอก
“I’ m Eddie- ผมชื่อ เอ็ดดี้”
“Yes - ค่ะ” ดอกโศกยิ้มนิดๆ
“ผมพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย ...คุณชื่ออะไร”
“ชื่อฉันเรียกยากค่ะ....สวัสดีค่ะ” ดอกโศกเข้าประตูโบสถ์ไปทันที
ระหว่างนั้น...ภักดิ์ภูมิแม้ปากจะพูดอยู่กับฉัตรทอง แต่ตาวอกแวกไปทางดอกโศกตลอด ในที่สุดขยับตัวชวนฉัตรทองตามเข้าไปในโบสถ์
เอ็ดดี้ยืนเก้อๆ ที่ดอกโศกไม่ยอมต่อไมตรี
ภักดิ์ภูมิเรียก “Eddie”
เอ็ดดี้หันมาเจอ “อ้อ คุณภักดิ์ภูมิ” ยิ้มไปทางฉัตรทอง
“Are you going in ?” ภักดิ์ภูมิทำมือเชื้อชวนให้เอ็ดดี้เดินไปข้างใน
“After you,” เอ็ดดี้บอกให้ภักดิ์ภูมิไปก่อน แล้วหันมาทางฉัตรทอง “Please” ให้ไปก่อน
“Thank you” ฉัตรทองเดินนำสองหนุ่มไป
ภายในโบสถ์ ดอกโศกยืนพูดกับคุณพ่ออันโตนิโย เบาๆ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“ทำไมต้องทำงาน” คุณพ่อถาม
“เพราะ...”
“พูดภาษาอังกฤษ” คุณพ่อบอก
“I need to work cause I can earn some money. - หนูอยากทำงานเพราะจะหารายได้ค่ะ” ดอกโศกนิ่งไปอีกสักครู่หนึ่ง “I need money - หนูอยากมีเงินค่ะ”
คุณพ่ออันโตนิโยจ้องดอกโศกสักครู่ พยักหน้าอย่างเข้าใจ “I do understand. - พ่อเข้าใจ” นิ่งไปแล้วยิ้มให้ “Good Luck Angela - โชคดีนะแอนเจล่า” พลางตบไหล่ดอกโศกเบาๆ แล้วเดินไปทางอื่น
ดอกโศกเข้าไปนั่งสวดมนต์
ขณะที่เอ็ดดี้ ภักดิ์ภูมิ และฉัตรทอง เดินเข้ามาด้วยกัน
เวลานั้นมิสซีสเบนส์นั่งสวดมนต์ ท่าทีสงบนิ่ง อยู่ในแถวเดียวกับดอกโศก ชำเลืองมอง เห็นดอกโศกเพ่งมอง เหมือนต้องชะตากับดอกโศก
เหมือนรู้ว่ามีสายตามอง ดอกโศกหันมา มิสซีสเบนส์ยิ้มให้แบบเอ็นดู ไม่เฉลียวใจอะไรทั้งสิ้นว่าดอกโศกคือหลานตน!
ครู่ต่อมามิสซีสเบนส์ ภักดิ์ภูมิ ฉัตรทอง และเอ็ดดี้ยืนคุยกันอยู่ คนอื่นทยอยออกจากโบสถ์ ดอกโศกเดินเลี่ยงออก ภักดิ์ภูมิกับเอ็ดดี้ต่างก็เห็น
ดอกโศกเดินออกมาก่อน เดินไปสักสามสี่ก้าว ปรียากมล ยืนคอยอยู่ห่างออกมาหน่อย สายตาลอดแว่นดำออกมายังมองออกว่าเข้มจัด
ดอกโศกเดินออกมาอีกหน่อย ปรียากมล เดินเข้าไป...ใกล้เข้าไป กิริยาหมายมั่นต้องการคุยให้รู้เรื่อง
มิสซีสเบนส์ ภักดิ์ภูมิ ฉัตรทอง และเอ็ดดี้เดินออกมาเป็นกลุ่ม คุณพ่ออันโตนิโยเดินนำมาเรียกดอกโศกไว้
“Angela ….แอนเจล่า”
ดอกโศกหันกลับ
ปรียากมลชะงัก ถอนหายใจสีหน้าผิดหวัง ดอกโศกเดินกลับไปหาคุณพ่อ
“แอนเจล่า...Come…Come”
คุณพ่อแนะนำให้รู้จักกัน ผายมือไปทางมิสซีสเบนส์ก่อน ในฐานะผู้ใหญ่ของกลุ่ม
ระหว่างนั้นภักดิ์ภูมิยังคงจ้องดอกโศก ชำเลืองนิดๆ ไม่ได้เสียมารยาท ขณะที่เอ็ดดี้จ้องจริงจังเปิดเผย
“You ‘re so lovely Angela.”
“Thank you Ma’am”
“Living around here?” มิสซีสเบนส์
เอ็ดดี้ชิงตอบ “Yes, grandma she’s staying somewhere around here.”
เห็นอาการหลานชาย มิสซีสเบนส์ประหลาดใจ “How do you Know Eddie?”
“She told me of course grandma.” เอ็ดดี้บอก
คุณย่าหัวเราะเบาๆ “Angela it’s very nice to meet you. I hope to see you again.”
ดอกโศกไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณค่ะ มิสซีสเบนส์” มิสซีสเบนส์ยกมือขึ้นจับมือดอกโศกที่ไหว้ตัวเอง
ปรียากมลไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หันหลังกลับ สีหน้าผิดหวังอย่างมาก
ปรียากมลเดินมาช้าๆ ที่จอดรถไว้ใต้ต้นไม้ร่มรื่นใกล้โบสถ์ เปิดกระเป๋าหยิบกุญแจรถ สีหน้าหม่น และกังวล กดปุ่มปลดล็อค ขึ้นรถนั่งใส่เข็มขัด
จู่ๆ อัศนัยเปิดประตูรถเข้ามานั่ง
“อัศนัย....ไปไหนมา” ปรียากมลประหลาดใจ
“คุณมาแถวนี้ทำไม” อัศนัยไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“แหม...ถามอย่างนี้ ถ้าฉันรีบร้อนตอบคุณ ฉันก็คงกลายเป็นจำเลยของคุณนะสิ”
“ตอบผมมาปรียากมล คุณไม่มีวันมาเดินอยู่แถวนี้ถ้าไม่มีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง” อัศนัยรู้จักปรียากมลมากกว่าใคร
“ฉันอาจมาเดินโดยไม่มีอะไรก็ได้”
“คุณถามหมื่นว่าดอกโศกขายขนมที่ไหน จะให้ผมคิดว่าคุณอยากซื้อขนมเหรอ”
“ทำไม...ฉันก็อาจจะอยากทานขนมของเค้าก็ได้ คุณคิดว่าคุณอยากทานอยู่คนเดียวงั้นสิ” ปรียากมลแถไป
“ผมบอกไว้ก่อนนะ อย่ารบกวนดอกโศก เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ” อัศนัยเสียงเข้ม มองจ้องหน้า
“แต่เผอิญคุณมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา” น้ำเสียงปรียากมลเย็นเฉียบ
“ปรียากมล...ผมขอร้องคุณ”
ปรียากมลนิ่ง สายตาเขม็งมองไปข้างหน้า
“เขายังเด็กนะปรียากมล เขาไม่มีทางจะต่อสู้กับคุณหรอก”
“ยังเด็ก...ฮึ...” ปรียากมลหันมาจ้องหน้าอัศนัยถามเสียงเรียบสายตาจิก “นอนกับผู้ชายได้มั้ย”
อัศนัยด่า “หยาบคาย”
“ตรงไหนหยาบคาย...ไหนบอกมาซิว่าคำไหนที่ว่าหยาบคาย ฉันพูดเรื่องธรรมชาติที่สุดของมนุษย์ หรือว่าแม่ดอกโศกคนนี้เป็นนางฟ้า นางสวรรค์ ทำอะไรแบบมนุษย์ไม่เป็น” เย้ยหยันสรรหาคำมาตัดพ้อต่อว่า
“เราไม่มีอะไรพูดกันอีกแล้ว” อัศนัยเปิดประตูจะลงไป
“เดี๋ยว” ปรียากมลรั้งไว้ จับแขนอัศนัยอย่างมั่นคง “คุณไม่มี แต่ฉันมี…”
มือปรียากมลบีบแขนอัศนัยอย่างแรง จ้องหน้าเขม็ง ประกาศสงครามกับดอกโศกชัดเจน
“ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องพูดกัน อย่าคิดว่าหนีฉันพ้น”
“ผมไม่หนีคุณหรอก แต่คุณไม่มีวันจะเข้าถึงผม รู้ไว้ด้วย”
ไม่เพียงน้ำคำหมางเมิน อัศนัยยังสะบัดแขนออกอย่างแรง เปิดประตูออกไป ปิดดังปัง
สีหน้าปรียากมลแค้นใจสุดขีด แล้วสักครู่ค่อยๆ กลายเป็นหมองเศร้า น้ำตาไหลเอ่อจนเต็มหน้า พยายามกล้ำกลืนลง เอื้อมมือไปที่กุญแจรถช้าๆ
สมใจล้างจานใบสุดท้ายคว่ำลง เช็ดมือป้ายปาดกับกางเกงลุกขึ้น
“ยายใจ...”สมหวังเดินออกมาจากบ้าน “ซื้อเหล้ามาป่ะ”
“เปล่าไม่ได้ซื้อ”
“ทำไมวะ...ทำไมไม่ซื้อ ไหนวันนี้ขายได้เท่าไหร่” สมหวังพุ่งเข้าไปที่กระเป๋าเงิน
สมใจฉวยไว้ทัน “อย่าเอาไปนะแก จะเก็บไว้ให้ไอ้โศกเล่าเรียน”
“เฮ้ย...ไม่ได้เสียตอนนี้ซักหน่อย มา เอามา” สมหวังจะเอา
“ไม่ได้”
“ไม่ได้.....ไม่ให้เรอะ....แน่นะ ไม่ให้แน่นะ” สมหวังเริ่มคุกคามหมายจะเอา
“หยุดตรงนั้น” สมใจตวาดเสียงดัง
เบื้องแรกสมหวังชะงัก ตกใจเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวขยับเข้าไป
“บอกให้หยุด”
“อะไรวะ”
“จะไปซื้อให้เดี๋ยวนี้” สมใจเดินไปทันที
สมหวังเพิ่งนึกออก “ยายใจ...มึงฉลาดแกมโกงนะเว้ย กลัวข้าเอาเงินหมดใช่มั้ย”
สมใจเดินมาตามทางเดินบริเวณใกล้โบสถ์ เดินพลาง เอาเงินจากกระเป๋ามานับ แล้วหยิบแบงค์ร้อยเตรียมไว้ ขาเดินก้าวอย่างเร็วรี่ เรื่อยแต่รีบ
ปรียากมลขับรถมาแต่ไกล เลี้ยวเข้ามาทางที่สมใจเดินอยู่แล้ว
แต่เพราะตรงนี้เป็นลานกับติดถนนที่มีผู้คนเดินพลุกพล่านพอสมควร ปรียากมลจึงต้องขับรถช้าลง แต่จิตใจร้อนรุ่ม พยายามหลบหลีก สมใจเดินเร็วๆ อยู่ข้างหน้า รถปรียากมลตามหลังไป
ขณะที่สมใจจะข้ามถนน ปรียากมลเบรกรถจนเสียงดังก้อง พร้อมกับบีบแตรเสียงดังยาวเหยียด
ไวเหมือนโกหกสมใจพลิกตัวหันกลับทันควัน จังหวะนั้น ปรียากมลมองเห็นหน้าแม่เต็มตา ตกใจสุดชีวิต สมใจพลิกมาทั้งตัวได้แล้ว ทำท่าจะลุย
“ใครวะ” สมใจชะงัก มองเห็นเต็มตาว่าเป็น สุดจิตต์ ลูกสาวตน “เฮ้ยนั่น...”
วินาทีนั้นสองแม่ลูกมองสบตากัน
อยู่ไม่ได้แล้ว...รถปรียากมลแล่นทะยานออกไปอย่างรวดเร็วต่อหน้า สมใจจำได้แม่น มองตามแล้วสะเทือนใจอย่างแรง
ความรีบร้อนจะหนีหน้าแม่ให้ไกลให้ไว ปรียากมลเกือบชนใครอีกคน เสียงเบรกดังลั่น
สมใจตั้งสติได้แล้วรีบวิ่งทันที พุ่งตัวตามไป จวนถึงอยู่แล้ว
เห็นรถปรียากมลแล่นออกก่อน สมใจเพิ่มสปีด รถปรียากมลก็แล่นแรงขึ้น สมใจวิ่งเร็วขึ้นจนรถลับตาไป
สมใจหยุด หอบเหนื่อย ทั้งเหงื่อทั้งน้ำตาเต็มหน้า
สมหวังตะโกนเสียงนำมาก่อน “ไปถึงไหนวะยายใจ” โผล่ตัวออกมา “เบี้ยวกูเรอะ อ้าว”
สมใจกลับมาบ้านสักพักแล้วนั่งจับเจ่าอยู่ สีหน้าเจ็บช้ำทั้งเหงื่อทั้งน้ำตายังเต็มหน้า
“ยายใจ...ไหนล่ะเหล้า”
สมใจไม่ตอบ
“ซื้อมาป๊ะ”
จู่ๆ สมใจสะอื้นเฮือกออกมาเต็มแรง เสียงสะท้านจากอก ปาดน้ำตาแรงๆ ป้ายไปป้ายมาเหมือนจะให้น้ำตาล้างภาพที่เห็นออกไป
“เฮ้ย...เป็นอะไร”
สมใจก้มลงซุกหน้ากับเข่า ร้องไห้เสียงดัง
สมหวังหน้าตางงงวยสุดขีด แต่ก็อุตส่าห์นั่งลงใกล้ ตบไหล่เบาๆ “แกเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ”
สมใจยังเอาแต่ร้องไห้อัดอั้น
สมหวังทำอะไรไม่ถูก หันไปหันมาอย่างน่าขำ “เฮ้ย เป็นอะไรก็บอกสิ ใครทำอะไร ฮะ บอกสิวะฉันจะไปจัดการเลาะพันมันออกมาเอง”
สมใจยังสะอื้นอยู่ เอ่ยขึ้นเสียงขื่น “ฉันเห็นสุดจิตต์”
สมหวังนิ่งไปอึดใจ ไม่อยากเชื่อ “จริงง่ะ มันจะมาทำไมแถวนี้แกตาฝาดมั้งยายใจ”
“ใช่ มันจริงๆ ตาฉันไม่ฝาด หน้าตาก็มันนั่นแหละ” น้ำเสียงจริงจัง มั่นใจ
“เห็นลูกไม่ดีใจเหรอร้องไห้ทำไม....มันเห็นแกรึเปล่า”
สมใจจ้องหน้าสมหวัง ไม่อยากต่อความยาว ลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป
“อ้าว...ไงล่ะ เฮ้ย เหล้าของข้าล่ะวะยายใจ” สมหวังตะกายตามเข้าบ้านไป
สมใจเดินโซเซเข้ามาในบ้าน ไปนั่งชันเข่ากุมขมับพิงข้างฝา หมดอาลัยตายอยาก
สมหวังไปหยิบผ้าเช็ดตัวเก่าๆ ผืนเล็กโยนให้
“ร้องไห้ทำไมวะ มันไม่คิดว่ามันเป็นลูกแกแล้ว เช็ดหน้าเช็ดตาซะ เอ้า...”
“แกก็พูดได้มันไม่ใช่ลูกแกนี่”
“โธ่เอ้ย ยายใจ แกยังคิดว่าถ้ามันเห็นแกมันจะโผเข้ามากอดแกเรอะ...เฮอะ ดูคนอย่างนังสุดจิตต์ผิดไปแล้ว คนอย่างมันไม่เคยรักใคร ไม่งั้นมันจะหนีแกไปตั้งตะรุ่นสาวขึ้นมาเรอะ”
สมใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าสมหวัง สายตาเย็นเฉียบ
“มองอะไร” สมหวังร้อนตัว
“นั่นสิ พอมันรุ่นสาวขึ้นมา...มันก็หนีไป ทำไมล่ะ” สมใจแดกดัน
“ทำไม ฉันจะไปรู้เรอะ”
สมใจยังคงจ้องตาสมหวังเข้ม “ไม่รู้เหรอ”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นทำไม” สมหวังเริ่มฉุนนิดๆ
“เพราะกูรู้นะสิ” สมใจโพล่งออกมาเสียงดังอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ “เพราะกูรู้..รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไรกับมัน ดีแล้วที่มันหนีไปซะก่อน ไม่งั้นนรกจะกินกบาลมึงไม่ได้ผุดได้เกิด”
สมหวังอาละวาดขึ้นมาทันที เป็นการกลบเกลื่อน
“อะไรวะ อย่านะอย่ามากล่าวหากูงั้นนะ ลูกสาวมึงมันแรดเอง หนีไปกับผู้ชายคนไหนก็ไม่รู้ มันมีตั้งหลายคน มึงมันเป็นแม่หน้าโง่ไม่รู้เอง”
สมใจโมโหปาอะไรตรงนั้นใส่หน้าสมหวังทันที สุดแรงเกิด
“ไอ้หวัง..ไอ้เลว มึงอย่าใส่ความมัน เอาความผิดออกจากตัว เพราะมึง...เพราะมึงนั่นแหละ”
มีเสียงดังฉาด สมหวังตบเต็มแรง สมใจฟุบลงไปทันที
สมหวังชี้หน้า ยืนจังก้าท่าทางข่มขู่ “อย่าให้กูได้ยินเรื่องอุบาทว์แบบนี้อีก”
สมใจเงยหน้าขึ้นมอง เลือดซึมออกมาที่มุมปาก
สมหวังผลุนผลันออกไปทันที
ดอกโศกกับสมปองเดินคุยกันมาตามทางเข้าบ้าน สมปองถือถุงกับข้าวมาด้วย
“พรุ่งนี้วิ่งรถครึ่งกะ ตอนเย็นจะไปหาหมอซะหน่อย” สมปองว่า
“น้าปองเป็นอะไร” ดอกโศกตกใจ
“ไม่รู้ มันเจ็บๆ หน้าอก อาจเป็นมะเร็งก็ได้”
“จริงเหรอ?”
“ไม่หรอก...ไม่ ก็ไปหาหมอซะหน่อยเท่านั้นแหละ”
“ทำไมไปตอนเย็น”
“คลินิคพิเศษเสียตังค์เยอะหน่อยไม่ต้องคอยนาน...ไปโบสถ์มาเหรอวันนี้...คุณพ่อว่าไงชวนเข้ารีตรึเปล่า” สมปองเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากให้หลานเป็นห่วง
“หนูพบคุณยายฝรั่งคนหนึ่ง เค้าใจดีมากเลยจ้ะ”
“เอาอีกแล้ว ตัดสินคนที่หน้าตาอีกแล้ว”
สมปองชะงักคำค้างไว้ เห็นพ่อเดินพรวดๆ ออกมาจากบ้าน ถึงที่ทั้งสองคนเดินอยู่พอดี
“พ่อ..ไปไหน ซื้อกับข้าวมาแล้วนะ”
“ไม่กินโว้ย” สมหวังเดินไปอย่างเร็ว
สมปองงง “เอ๊อ...อะไรวะ เออไอ้โศกพ่อน้าน่ะ...แกว่าหล่อมั้ย”
ดอกโศกหัวเราะขำๆ “หล่อสิ...น้าปองถึงสวยงัย”
“อู๊ย ไม่ต้องบอกรู้แล้ว แต่อย่างตาแกนี่แหละ...หน้าเนื้อใจเสือล่ะ” สมปองหมายถึงสุดเขตผู้ลาลับ
“แหม...น้าปองก็ไปว่าตา”
“ให้แกรู้ไง้ว่า อย่ามองคนแค่หน้าตา เห็นเค้าใจดีกะแก จริงๆ เค้าอาจไม่ใช่ก็ได้”
เวลาเดียวกัน ภักดิ์ภูมิพามิสซีสเบนส์ เดินดูโรงแรมที่ตัวเองดูแลทุกอย่าง เป็นโรงแรมบูติคขนาดกลางๆ ตบแต่งเรียบง่ายมีรสนิยม คนงานค้อมตัว หลีกทางให้
“นี่คือภาวีนาโฮเต็ล” ภักดิ์ภูมิแนะนำผลงานอย่างภาคภูมิใจ
โรงแรม Paveena Hotel แห่งนี้ มาจากนามสกุล ภาวิน ของภักดิ์ภูมินั่นเอง
ภักดิ์ภูมิพามิสซีสเบนส์เดินไปดูอีกมุม พร้อมกับกล่าวถึงโปรโมชั่นที่ตนจัดเพื่อเรียกแขก สองคนพูดคุยกันเสียงเบาๆ
ครู่ต่อมา ฉัตรทองลุกขึ้นยืนรับมิสซีสเบนส์และภักดิ์ภูมิที่เดินเข้ามาในห้อง เชิญให้นั่ง
“ฉัตรสั่งสแนคไว้ค่ะ พี่ภูมิฉัตรสั่งน้ำตะไคร้ให้ค่ะ มิสซีสเบนส์ดื่มอะไรคะ” ฉัตรทองเอ่ยขึ้น
บริการนำเครื่องดื่มวางบนโต๊ะ มีสแนคเป็นแซนด์วิช และของว่างบางอย่างวางอยู่เรียบร้อยแล้ว
“ฉัตรขอตัวนะคะ”
“ทำไมค้า..อยู่ก่อนสิเป็นคู่หมั้นจะได้รู้เรื่องธุรกิจของสามี in the future” มิสซีสเบนส์เอ่ยขึ้น
ฉัตรทองหัวเราะเบาๆ “คุณพูดเป็นทางการจริงนะคะ มิสซีสเบนส์”
“ฉัตรอยู่ก่อนก็ได้ครับ” ภักดิ์ภูมิว่า
“โอเคค่ะ วันนี้ฉัตรไม่มีเรียนอยู่ได้ทั้งวัน”
ภักดิ์ภูมิเล่าให้มิสซีสเบนส์ฟัง “ฉัตรเรียน Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยครับ”
“โอ ดีมากคงช่วยคุณภักดิ์ภูมิได้มาก เราร่วมมือกัน เพราะเราไม่เป็นเชนของโรงแรมไหน เราถึงต้องร่วมมือกัน”
ฉัตรทองสงสัย “โครงการอะไรคะ?”
“สายชลบูติคโฮเต็ล ของมิสซีสเบนส์อยู่ที่หัวหิน ถ้าใครจองภาวีนาโฮเต็ลของเราที่กรุงเทพฯ แถมหนึ่งคืนที่สายชล ทำนองเดียวกันถ้าใครจองสายชลเราแถมคืนหนึ่งที่กรุงเทพฯ” ภักดิ์ภูมิบอก
“แต่เขาต้องจ่ายคืนแรก เราแถมคืนสอง” มิสซีสเบนส์เสริม
“ไม่ค่อยจูงใจเต็มร้อยนะคะ เขาอาจไม่อยากอยู่สองคืน” ฉัตรทองมองในมุมของตน
“วันนี้เรามาคุยกัน ว่าเราจะมีอะไรที่จูงใจลูกค้ามากกว่านี้”
มิสซีสเบนส์พูดจบ ทั้งสามคนนั่งคุยกัน
ภักดิ์ภูมิพามิสซีสเบนส์เดินมาที่ล็อบบี้ ฉัตรทองมองหาเอ็ดดี้ที่จะมารับคุณย่า พนักงานค้อมตัว แสดงความเคารพ
ฉัตรทองเอ่ยขึ้น “เอ็ดดี้จะมารับกี่โมงคะ มิสซีสเบนส์”
มิซีสเบนส์ดูนาฬิกา “ควรจะมาแล้ว”
“ผมจะร่างโครงการขึ้นมานะครับ และจะส่งอีเมล์ไป ถ้าเรียบร้อยผมจะทำ PRเลย”
“O.K. fine .Thank you .Very appreciated. ค่ะ”
“ครับ”
“ฉัตรจะไปดูเอ็ดดี้นะคะอาจจะ....อ้อ มาพอดี”
เอ็ดดี้เดินตรงมาอย่างเร็วรี่ “I ‘m sorry grandma I’ m late.”
“It’ all right I’m not that hurry ลาค่ะ คุณภักดิ์ภูมิ คุณฉัตรทอง”
“คุณจะอยู่กรุงเทพอีกกี่วันคะมิสซีสเบนส์” ฉัตรทองถาม
“Two weeks”
ภักดิ์ภูมิถามต่อ “จะไปโบสถ์อีกทีมั้ยครับ”
“โอ...วันอาทิตย์ฉันต้องไปอีกค่ะ” มิสซีสเบนส์นึกได้
สีหน้าภักดิ์ภูมิบ่งบอกว่าคิดถึงดอกโศกขึ้นมา “ครับ....ผมจะไปเหมือนกัน”
ฉัตรทองชำเลืองดูคู่หมั้น สีหน้าแปลกใจนิดๆ
“ฉันหวังว่าฉันจะได้พบเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนนั้นอีก” มิสซีสเบนส์ว่า
เอ็ดดี้รีบเสริมทันที “Yes, I do hope so.”
ด้านสมใจนั่งซึมเซาอยู่ ดอกโศกกับสมปองรู้เรื่องแล้ว นั่งสีหน้าไม่ดีอยู่ด้วย
“บอกตำรวจดีมั้ยทำรุนแรงแบบเนี้ย” สมปองฉุน
สมใจห้ามปรามอยู่ในที “อย่าหาเรื่อง”
“เรื่องอะไรกันล่ะแม่ถึงมาทำรุนแรงกะแม่” สมปองสงสัย
“ตามเคย...หิวเหล้า” สมใจบอก
“ยายไม่บอกหนู หนูจะได้ซื้อเข้ามาให้ตา”
สมปองไม่อยากจะเชื่อ “แค่นั้น?”
“ฮื่อ” สมใจพยักหน้า
“ก็แค่ออกไปซื้อ..ทำไมตบซะ...เยินเชียว ให้เชื่อเหรอว่าแค่นั้น” สมปองคาใจไม่หาย
คืนนั้นสมปองยังคาใจไม่วาย ถามพ่อขึ้น สมหมายรอฟังอยู่ด้วย
“ฮะพ่อ? ทำไมต้องทำแม่แกเจ็บขนาดนั้น เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย”
สมหวังเมาปลิ้นมาแล้ว “บอกแม่มึงอย่ามากล่าวหากูอีก กูไม่เลวขนาดนั้นเว้ย” เดินพุ่งเข้าบ้านไป
“เรื่องอะไรพี่ปอง” สมหมายงงงวย
“เอ้ย ชั้นจะรู้มั้ยวะเนี่ย ได้ยินเท่าๆ กับแกนั่นแหละ”
“นั่นสินะ”
สมหวังยืนจะไม่อยู่หันกลับมา ชี้หน้า “บอกแม่มึง...กูเป็นคนเว๊ย ไม่ใช่สัตว์” เดินเซแซดๆ เข้าบ้านไป
เวลาเดียวกันปรียากมลนั่งจับเจ่าคุดคู้ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เวียนวนอยู่ในสมอง นึกถึงตอนสบตากับสมใจ
ภาพสมใจวิ่งตาม มองผ่านกระจกมองหลัง ภาพตอนที่ปรียากมลตอนยังใช้ชื่อ สุดจิตต์ออกมาจากห้องน้ำแล้วถูกสมหวังลวนลาม สุดจิตต์ฟ้องแม่
ปรียากมลลุกพรวด อารมณ์พุ่งพล่าน
ภาพตอนแม่วิ่งตามผุดขึ้นมาอีก ภาพตอนถูกสมหวังลวนลามคุกคามตามหลอกหลอน สมใจด่าว่าสุดจิตต์
สุดท้ายสุดจิตต์ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
เสียงกริ่งประตูดัง เป็นเสียงเพลงเพราะพริ้ง ปรียากมลตื่จากภวังค์ หันไปดู รู้ดีว่าคือตระกูล
เสียงกริ่งดังซ้ำอีก
ปรียากมลเดินไปเปิดประตู เห็นตระกูลยืนสีหน้าเป็นห่วงอยู่
“บอกแล้วไงว่าไม่เรียกไม่ต้องมา”
“เป็นห่วง อือม์ วันนี้ไม่ดื่ม ดีมาก คุณดื่มมากจนน่ากลัว”
“กลัวฉันยอมคุณไม่ไหวใช่มั้ย” ปรียากมลเยาะ
“โธ่ ไม่ใช่หรอก...คุณมองผมดีๆ มั่ง ผมก็เป็นคนที่มีหัวใจเหมือนกันนะ ไม่ใช่เอะอะก็จะเอาแต่ได้”
“ถ้าได้คุณไม่เอะอะหรอก คุณไม่ได้สิคุณถึงเอะอะ” ปรียากมลสัพยอก
ตระกูลหัวเราะ ขำเหมือนกัน “เออ...เป็นผู้ต้องหาทั้งก่อนและหลัง”
“อย่าเพิ่ง ยังไม่มีก่อนและหลัง มาดื่มกันดีกว่า” ปรียากมลเดินไปรินเหล้า
ตระกูลยิ้ม “โอเค”
“อ้าว ไหนว่าไม่ดื่มดีมากไง”
“ตอนนี้ดื่มดีมาก”
ปรียากมลยื่นแก้วเหล้าให้ตระกูล “จะบ้า แต่อย่าคิดมอมเหล้าฉัน...ไม่มีทาง”
ปรียากมลยกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว อยากสลัดความทรงจำแสนขื่นขมทิ้งไป
แต่ยิ่งอยากลืมมากเท่าไหร่ปรียากมลกลับยิ่งจำได้ชัดเจน
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
ดอกโศก ตอนที่ 12 (ต่อ)
เหตุการณ์เมื่อ 20 ปี ที่ปรียากมลอยากลืม พร่างพรายออกมาไม่ขาดสาย ปรียากมล ตอนยังใช้ชื่อ สุดจิตต์ อยู่ในวัย 16 ปี สวมกางเกงขาสั้น เสื้อตัวเล็ก สวยสะพรั่ง เดินผ่านสมหวังที่ยังหนุ่มแน่น สมหวังตบก้นอย่างแรง
สุดจิตต์สวมชุดนอน พูดฟ้องแม่อยู่ที่หน้าบ้าน ตอนกลางคืน สองแม่ลูกพูดกันเบาๆ
“อยู่ห่างๆ เค้าซี...ระวังตัวด้วย” สมใจบอกลูก
“แม่! ....แม่ต้องบอกพ่อเค้าสิ พ่อเป็นคนทำนี่” สุดจิตต์โวยวาย
สมใจตวาด “บอกแกนั่นแหละ สุดจิตต์”
อีกวันหนึ่ง สุดจิตต์นั่งจัดเสื้อผ้าอยู่ มือของสมหวังเอื้อมมาลูบไล้ ไหล่ แขน แผ่นหลัง สุดจิตต์ตกใจ สะบัดเต็มแรง สมหวังก้นกระแทก
“แกทำอะไรให้เค้าเข้าใจผิดล่ะ” สมใจต่อว่าหลังสุดจิตต์เล่าจบ
“แม่! ทำไมพูดงี้ แปลว่าหนูผิดงั้นเหรอ”
“แกมันซ่านักนี่”
“หนูซ่าก็เรื่องของหนู แต่หนูไม่เคย...อย่างที่แม่ว่า” สุดจิตต์น้ำตาไหลออกมาคลอหน่วย เจ็บใจนัก
คืนเดียวกันนั้น ประตูบ้านถูดปิดเต็มแรง เสียงดังปัง สุดจิตต์ก้าวลงมาใส่รองเท้ารวดเร็ว ถือกระเป๋าใบย่อมๆ
สมใจพรวดพราดตามออกมา “สุดจิตต์..ไปไหน”
สุดจิตต์หันไปมอง สายตาทั้งเจ็บทั้งแค้น มองจ้องแม่เขม็ง สมใจก็จ้องตอบ สองแม่ลูกสู้สายตากันอยู่
แล้วสุดจิตต์ก็หันหลังเดินออกไปทางปากซอย มีเสียงสมใจไล่ตามหลังมา
“เออ....ไปให้ตลอด อย่าซมซานกลับมานะมึง”
อัศนัย เดินเข้าห้องนั่งเล่น สีหน้าครุ่นคิดไม่ค่อยสบายใจ ป้าหม่อนกับหมื่น กำลังวางกาแฟ ผลไม้นิดหน่อย
หม่อน สั่งหมื่นเบาๆ “ไปเอาน้ำเย็นมา”
อัศนัยนั่งลง เคาะโทรศัพท์ในมือ ดูนาฬิกา
เวลาเดียวกันสมปองกับดอกโศก พูดคุยอยู่กับสมใจ ดอกโศกส่งยาให้ยาย ยายรับมากิน
สมใจมองหน้าหลาน สงสารจับจิต อ้าแขนโอบรั้งร่างเข้ามาในอก ถอนใจยาวๆ แรง ๆ
สมปอง มองหน้าแม่ ไม่เคยเห็นเป็นอย่างนี้ สงสัยว่าเรื่องอะไร
สมใจตบหัวดอกโศกเบา โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดอกโศกดังขัดขึ้น
ดอกโศกหยิบออกมา สีหน้ายิ้มบริสุทธิ์ “คุณนัย”
“เออ...ไปพูดข้างนอกไป” สมปองบอก
ดอกโศกเดินออกไป
“คุณนัยเขามีอะไรกะมัน” สมใจกระซิบถาม
“บอกชั้นก่อนว่ามีเรื่องอะไรกับพ่อ”
อัศนัยโทร.มาจากที่บ้าน ดอกโศกยืนอยู่หน้าบ้าน สองหัวใจคุยกันฉันคนรัก ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบอย่างรักใคร่
“ดอกโศก”
“คะ”
“อยู่บ้านแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“คิดถึงนะ”
“จริงหรือคะ”
“ทำไมถามอย่างนั้น”
“ให้ถามยังไงคะ”
“ถามอะไรก็ได้ แต่อย่าถามอะไรที่ทำให้คุณนัยเสียใจ”
ดอกโศกนิ่ง
“รู้นี่ว่าคุณนัยจะเสียใจเรื่องอะไร”
“ค่ะ ดอกโศกจะระวัง ที่ถามเพราะว่าคิดว่าคุณนัยจะมาหา”
“อ๋อ คุณนัยไปหา ตามไปที่โบสถ์ แต่ว่า...”
“อ๋อ คุณนัยเห็นดอกโศก อยู่กับคุณพ่ออันโตนิโยหรือคะ”
“ใช่ มีคนอื่นด้วยหลายคน”
“ค่ะ เป็นแขกของคุณพ่อ คุณนัยอยู่ตรงไหน แล้วทำไมกลับไป”
“ก็...เผอิญพบกับ...บางคนที่ไม่อยากพบ”
“อ๋อ เลยอารมณ์เสีย...เหรอคะ”
“ใช่ เสียมากๆ พรุ่งนี้ใส่บาตรมั้ย”
“ถ้าคุณนัยมาหาดอกโศก...ก็ใส่ค่ะ”
อัศนัยยิ้มออก “พูดอย่างนี้คุณนัยจะไม่มาได้หรือ”
ดอกโศกยิ้ม “ไม่ค่ะ”
“ไม่อะไรคะ”
“ไม่ไม่มาค่ะ”
คราวนี้อัศนัยหัวเราะเสียงดัง
หมื่นและหม่อน นั่งหน้าบานอยู่ไม่ไกล ตั้งท่าฟังด้วย
อัศนัยเห็นหันมาดุ “อะไรกันนี่” ถามสองแม่ลูก แล้วหันไปตอบดอกโศก “เปล่า คุณนัยพูดกับไอ้หมื่น” ทำมือให้ไป ไป “ดอกโศกจ๋า”
ดอกโศกเงียบ
“ดอกโศก...เงียบทำไม”
“ค่ะ”
“ทำไม เรียกดอกโศกจ๋าไม่ได้เหรอ”
ดอกโศกหัวเราะนิดๆ “ก็ไม่เคย”
อัศนัยพลอยหัวเราะด้วย “พรุ่งนี้ใส่บาตรด้วยกัน..นะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น
สองคนใส่บาตรด้วยกัน มือจับของด้วยกัน ไม่ใกล้กันจนน่าเกลียด เพราะเป็นชุมชนคนเดินผ่านไปมา
พระเดินไปแล้ว
อัศนัยสายตาจ้องจับดอกโศกอย่างดูดดื่ม ความรักในใจไม่ซ่อนเร้นปิดบังอีกต่อไป
ดอกโศก สบสายตาอัศนัย แล้วเสมองไปทางอื่น หน้าเฉย ไม่เอียงอาย ไม่หลบตา
อัศนัยหัวเราะเบาๆ มีเสียงหยอกเย้านิดๆ
ความสุขนั้นส่งทอดไกลออกมา กระแทกเต็มดวงตาปรียากมลที่นั่งมองอยู่ในรถ ด้วยสีหน้าเฉยสนิท เย็นเหมือนน้ำแข็ง
ปรียากมล เปิดประตูคอนโดอย่างแรง แล้วเหวี่ยงให้ปิดอย่างแรง โยนกระเป๋าไปอย่างเเรง กุญแจรถอย่างแรง
ทำทุกอย่างแรงไปตามอารมณ์ในใจเวลานี้
เดินพรวดไปที่ประตูระเบียง เปิดม่านอย่างแรง เปิดประตูมองลงไป ยืนนิ่งอยู่สักครู่ เอนตัวพิงประตู มองจากด้านหลัง ปรียากมลกำลังร้องไห้ ร้องจนตัวสั่น ได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ
“ถ้าให้ผมตอบเดี๋ยวนี้ใช่...ผมเลือกดอกโศก” เสียงอัศนัยหลอนหลอก ให้ตระหนักว่าต้องเสียงเขาไปแน่แล้ว
ปรียากมล หันกลับมาเดินอย่างมั่นคง นั่งลงนิ่งๆ สีหน้าคิดตรึกตรองอย่างมีสติ แม้มือจะปาดเช็ดน้ำตา แต่ไม่กรี๊ดกราด สีหน้านิ่งมาก ลึกมาก
สักครู่ปรียากมลหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก คอย...
“ฮัลโหล พี่บุรีคะ ปรียากมลพูดค่ะ...ฉันจะโทร.ยืนยันว่าไปเชียงใหม่นะคะ ตามวันและเวลานั้น”
อีกค่ำคืนของวันหนึ่ง สมใจนั่งพิงฝา นัยน์ตาลอยคว้าง
“เฮ้ย ไอ้หมาย ไปเว๊ย” เสียงสมหวังตะโกนเรียก
“ไปไหนพ่อ” สมหมายถาม
“ไม่ต้องถาม บอกให้ไปก็ไป”
สมหวังมองเหล่มายังสมใจ เหล่มาก แล้วเตะอะไรตรงนั้นที่ขวางทางกระเด็นถูกฝาดังโครมแล้วออกไป
“แม่ไม่สบาย รึเปล่า เห็นทำท่าอย่างนี้มาสองวันแล้วนะแม่”
สมหมายถาม สมใจส่ายหน้า สมหมายเดินตามพ่อออกไปเร็วรี่
สมหวังก้าวออกจากบ้าน เห็นอัศนัยยืนอยู่แล้ว “มาหาไอ้โศกเหรอครับ”
“ครับตา”
“อยู่...อยู่ เข้าไปเลย เอ้ย แต่ว่า...คือยังงี้ครับมีบุญจะบอก วัดโน้นน่ะจะทำพิธีเปิดพระเนตร”
“ครับ” อัศนัยหยิบเงินส่งให้อย่างเร็วสองพัน
“อนุโมทนานะคุณ” สมหวังไปอย่างเร็ว
สมปองยืนอยู่ในเงามืดมองอยู่ สมหมายวิ่งออกมาจากบ้าน เจอะสมปอง
“เจ๊...เพิ่งมาเหรอ”
สมปองไม่พูดด้วย เดินหลีกไป สมหมายเหล่ ๆ แล้วตามพ่อไป
อัศนัยนั่งคุยกับดอกโศก สมปองผ่านจะเข้าบ้าน
“ปอง” อัศนัยทัก
“คุณนัย ทีหลังอย่าให้เงินพ่ออีกนะ ไม่รู้เหรอว่าแกหลอก”
“ก็...”
“รู้ก็เท่ากับส่งเสริมแกทำผิดน่ะสิ”
อัศนัยพูดไม่ออก ตอบไม่ถูก
สมปองเดินมานั่งใกล้แม่รู้เรื่องสุดจิตต์แล้ว “แม่...เลิกคิดซะทีเถอะน่ะ”
จู่ๆ สมใจสะอื้นเฮือกๆ
“นี่...คนเขาไม่คิดว่าแม่เป็นแม่ นั่งคิดว่าเค้าเป็นลูกอยู่ได้ โธ่เอ๊ย...” กระแทกเสียงตัดพ้อ “ลูกตรงนี้ก็มีนะเห็นหัวมั่งมั้ย”
เสียงปองดังลอยมาแว่ว ๆ สองคนนั่งคุย นั่งห่างกันพอสมควร ดอกโศกถือหนังสือเรียนในมือ
“ปองกับยายมีอะไรกัน”
“ไม่ทราบค่ะ เป็นอย่างนี้มาสองสามวันเเล้ว”
“ดอกโศก คุณนัยไม่อยู่ 4 วันดูแลตัวเองดี ๆ นะ...เป็นห่วงมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ดอกโศกไหว้
อัศนัยเอื้อมมือแตะแค่ปลายนิ้ว “ไม่อยากไปเลย”
ดอกโศกดึงมือออกอย่างนุ่มนวล “สี่วันไม่นาน”
“นาน...นานมาก เหมือนสี่ร้อยปี”
ดอกโศกหัวเราะเต็มหน้า ขำทาที น้ำเสียงอัศนัยจริง ๆ
“ขำอะไร”
“คิดถึงคุณนัยอายุ 400 ปี...แก่”
“จริง ๆ นะ ไม่อยากไปจริง ๆ อย่าลืมนะเวลาสองทุ่มคอยรับโทรศัพท์”
“คุณนัยเหมือนวัยรุ่นเลย”
อัศนัยสัพยอก “ก็หลงรักวัยรุ่นนี่”
ดอกโศกยิ้มหวาน นัยน์ตาชม้อยเหมือนค้อน
“ดอกโศก คุณนัยขอได้ไหม อย่าไปขายขนมเลยนะ ให้คุณนัยออกค่าเล่าเรียนให้ ดอกโศกเรียนอย่างเดียว”
ดอกโศกนิ่ง
“ดอกโศกไม่รักคุณนัยหรือ ถึงไม่ยอมให้คุณนัยช่วยเหลืออะไรเลย”
“รักค่ะ ดอกโศกรักคุณนัย”
“รักก็ต้องเชื่อสิ”
“แต่...ดอกโศกตั้งใจแล้วค่ะ ยังมีเวลาที่คุณนัยจะช่วยดอกโศกอีกมาก ตอนนี้ให้ดอกโศก ช่วยตัวเองก่อนนะคะ”
“ก็คุณนัยเป็นห่วง...หวงด้วย”
“จะหวงทำไม”
“กลัวใครมาแย่งไป ออกไปขายขนมทุกวัน มีแต่ลูกค้าหนุ่มๆ” อัศนัยบอก
“ถ้าคุณนัยกลัวดอกโศกก็จะกลัวเหมือนกัน ถึงมี” นิ่งสักครู่ “ คนอื่นแค่คนเดียวแต่ก็น่ากลัว”
อัศนัยมองหน้านิ่ง ๆ แล้วจับจมูกสั่นเบา ๆ “ร้ายนักนะ”
“แต่ไม่กลัวเพราะเชื่อใจ”
อัศนัยซึ้งนัก มองหน้าอย่างดื่มด่ำ “รักมากนะ”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ
“แค่นั้น” อัศนัยถาม
ดอกโศกไม่ตอบ
อัศนัยถามย้ำ “แค่นั้นเหรอ”
“รัก...มากเหมือนกันค่ะ”
อัศนัยมองจ้องอยากกอดเหลือเกิน
“คุณนัยกลับเถอะค่ะ...ดอกโศกจะดูหนังสืออีกสองอาทิตย์สอบแล้ว”
อัศนัยถามเรื่องเพ็ญตระการ “เวลาเจออุ๊ที่โรงเรียนทำยังไง”
“อุ๊เขามองดอกโศกผ่านไปเลยดอกโศกเหมือนลม เหมือนอากาศ เหมือนฝุ่นละออง” ดอกโศกว่า
อัศนัยสงสารนัก แตะมือเบาๆ ปลอบโยน “จะเป็นลมหรือเป็นอากาศ ฝุ่นละอองของใคร แต่ดอกโศกเป็นลมหายใจเป็นชีวิตของคุณนัยจำไว้นะ” น้ำเสียงมั่นคง จริงใจ “คุณนัยไม่ได้รักดอกโศกอย่างผู้ชายรักผู้หญิงเท่านั้น คุณนัยรักผูกพัน เพราะประทับใจเด็กหญิงดอกโศกตั้งแต่วันที่โดนว่า...ว่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะฉะนั้นดอกโศกอยู่ในนี้...อยู่ในใจของคุณนัยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ค่อย ๆ เข้ามาช้าๆ..แต่มั่นคง”
ดอกโศกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ
อัศนัยลุกขึ้น ส่งมือให้ดอกโศกลุกขึ้นด้วย สองคนยืนอยู่คู่กัน
“แปลกนะ...เมื่อก่อนคุณนัยกอดดอกโศกบ่อยมาก กอดเพราะจะปลอบให้หายเสียใจ แต่วันนี้คุณนัยรักดอกโศกที่สุดกลับไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัว”
ดอกโศกมองดวงตาซาบซึ้งมากมาย ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง
อัศนัยทำท่าเหมือนจะเข้าไปหา แต่ดึงตัวเองไว้
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งเดินก้มหน้าก้มตาผ่านไป ไม่ได้มอง อัศนัยตระหนักว่า ตรงนี้มีคนผ่านไปมาทำอะไรต้องระวัง
อัศนัยวางมือบนหัวดอกโศก ดอกโศกไหว้
ในบ้าน สองแม่ลูกยังคุยกันต่อ
“รู้มั้ยว่าหนูไม่เสียใจเพราะอะไร เพราะหนูไม่คิดว่าเค้าเป็นพี่ไง เค้าก็ไม่คิดว่าหนูเป็นน้อง แม่ก็เอาอย่างหนูสิ” สมปองบอกแม่
สมใจสูดน้ำมูกเพราะร้องไห้ เอามือป้ายปาดออกไปมา
“เขาคงคิดว่าเกิดจากกระบอกไม้ ต่อไปหนูจะบอกให้ไอ้โศกมันคิดยังงั้นเหมือนกัน” สมปองลดเสียงเหมือนบ่น “ทุเรศที่สุด ไปสมสู่กันจนท้องแล้วเอาลูกมาโยนไว้เหมือนหมูเหมือนหมา”
สมใจเงยหน้ามอง ตกตะลึง เห็นดอกโศกยืนอยู่ ได้ยินหมดทุกประโยค แม้ว่าสมปองจะไม่ได้พูดเสียงดัง อัศนัยยืนอยู่ด้านหลัง
สมปองหันไปเห็น “ไอ้โศก” ครางเบา ๆ
“ยายจ๊ะ คุณนัยจะกลับ” ดอกโศกหน้าเสีย สีหน้านั้นแย่เเล้ว แต่ฝืนใจพูด
สมใจลุกขึ้นมาครวญคร่ำ “โศกเอ๊ย..โศก”
“คุณนัยจะกลับจ้ะ”
“ครับยาย ผมจะกลับแล้วครับ” อัศนัยไหว้ลายาย
“ค่า...ค่า...” สมใจมองหน้าสมปอง ทำอะไรไม่ถูก
“ดอกโศกมาส่งคุณนัย” อัศนัยจับมือ ดึงให้พ้นประตูจับไหล่สองข้างอย่างมั่นคง ปลุกปลอบ “คุณนัยรักดอกโศกเพราะเป็นคนเข้มเเข็ง อดทน เป็นนักสู้เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ แต่ใบหน้าสวยที่แหงนเงยมองอัศนัยนั้น โศกสลด
“ไม่ร้องไห้นะ เรากำหนดชีวิตใครไม่ได้ กำหนดได้แต่ชีวิตตัวเองจำไว้นะ”
อัศนัยกอดประทับรับขวัญ ปลอบโยนจากหัวใจ ดอกโศกนิ่งอยู่กับอกแกร่งของอัศนัย
“เป็นดอกโศกคนเดิมนะคนดี”
เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานอัศนัยดังขึ้น ขณะที่บุรีถือเอกสารแฟ้มใหญ่ ๆ 2 แฟ้ม กดเครื่องสปีคเกอร์
“ใครพูดน่ะ”
“บุรีครับ”
“พี่บุรีผมอยู่สนามบิน ทำไมคุณปรียากมลเขายังไม่มาเครื่องจะออกแล้วนะ”
สักครู่หนึ่งปรียากมลโทรศัพท์มาหาบุรีเช่นกัน
“พี่บุรี ฉันไม่สบายมากค่ะ ไปไม่ไหว กำลังจะไปหาหมอ ช่วยบอกอัศนัยด้วยว่า...” นิ่งฟัง “ไม่ค่ะฉันไม่โทร.เองเดี๋ยวเขาอาละวาด ช่วยบอกเขาว่าฉันจะตามไป”
เวลาต่อมาบุรีฟังเสียงอัศนัยที่เครื่องสปีคเกอร์
“บอกเขาไม่ต้องตามมา แล้วพี่บุรีเปลี่ยนไฟลท์ให้ผมด้วยพรุ่งนี้ค่ำผมกลับ เที่ยวบินสุดท้ายแล้วกัน”
เช้าวันเดียวกัน ดอกโศกเดินห่างออกมาจากโบสถ์ ก้มหน้าก้มตาเดิน แล้วชะงัก เกือบชนปรียากมล ที่ยืนขวางทางอยู่
ดอกโศกใจหายวูบ แต่ระงับกิริยา “สวัสดีค่ะ” ไหว้สวยงามนอบน้อม
“เธอคงจะไม่สวัสดีฉันหรอกถ้าได้ยินสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้”
ดอกโศกรู้ได้ทันทีว่าปรียาจะพูดอะไร “ขอโทษค่ะ” ไหว้อีกที แล้วจะเดินหนีไป
“จะไปไหน...” ปรียากมลมองนัยน์ตาคมกริบ “ว่าไงล่ะ จะรีบไปไหน”
“กลับบ้าน” ดอกโศกบอกเสียงแผ่ว
“ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็ได้กลับ”
“หนูจวนจะสอบแล้ว”
ปรียากมลสวนคำ “ฉันบอกแล้วไงจ๊ะว่าไม่นาน”
ดอกโศกอึดอัดเหลียวมองไปรอบ ๆ
ปรียากมลเสียงเริ่มเข้ม “มองหาใคร”
“เปล่าค่ะ”
ปรียากมลคาดคั้น เข้าเรื่อง “เธอรู้แล้วว่าฉันจะพูดเรื่องอะไร”
“ไม่...ไม่ทราบค่ะ”
“รู้...เธอรู้ เธอรู้ว่าเธอทำผิด...ผิดมาก คนทำผิดซ่อนตัวซ่อนหน้าไม่มิดหรอก สีหน้าของเธอบอกหมดว่าเธอรู้สึกยังไง”
“หนู...” ดอกโศกพูดไม่ออก “คุณพูดเรื่องอะไรหรือคะ”
รถปรียากมลจอดแอบอยู่ริมถนน สองข้างทางมีต้นไม้เขียวชอุ่ม ร่มรื่น
ปรียากมลจูงมือดอกโศกมาถึงรถ กดรีโมท เปิดประตูแล้วบอกดอกโศกให้ขึ้นไป
ดอกโศกขึ้นนั่ง ปรียาปิดประตูให้อย่างแรงมาก เหวี่ยงเต็มที่ ของขึ้นอย่างแรง มองหน้าดอกโศกในรถ แล้วจึงเดินอ้อมมาขึ้นรถ ปิดประตูแล้วนั่งนิ่ง ๆ สักครู่
ดอกโศกเริ่มอึดอัดขึ้นมา ไม่เห็นปรียากมลจะพูดอะไรสักที “คุณคะ คุณปรียา...”
ปรียาหันขวับมามองหน้า พูดเสียงเรียบแต่เสียงนั้นมั่นคงนัก
“อย่ายุ่งเกี่ยวกับอัศนัย เขาไม่ใช่ผู้ชายอิสระ”
ดอกโศกใจหายวูบจนสั่นสะท้าน นัยน์ตาตระหนก “หนู...เอ่อ...ไม่เข้าใจ”
ปรียากมลสวนคำอีกทันที แต่น้ำเสียงยังเรียบในท่าทีนิ่งเฉย
“อย่าทำเป็นไม่เข้าใจ เธอไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนที่พยายามจะเป็น นึกถึงสิ่งที่เธอทำที่บ้านเขาเมื่อคืนนั้น...อย่าทำอีก เพราะเธอไม่มีสิทธิ์”
ดอกโศกยืนนิ่งอัดอั้นตันใจ สายตาหวั่นไหวมากที่สุด
“คงเข้าใจนะว่าเธอไม่มีสิทธิ์เพราะอะไร” ปรียากมลย้ำ
ร่างดอกโศกยังสั่นสะท้านอยู่ กลั้นน้ำตาสุดแรงเกิด
ปรียากมลรู้ทุกอย่างว่าเด็กอ่อนโลกตรงหน้าคิดยังไง “อัศนัยไม่ควรมาหลอกเธอ”
ดอกโศกนัยน์ตาตกใจเล็กๆ
ปรียากมลพูดต่อทันที “เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน”
“แต่...คุณนัยบอกว่า...” ดอกโศกหยุดค้างเห็นสายตาปรียากมลจ้องเขม็งคอยฟัง
“คุณนัยบอกว่า...” ดอกโศกไม่กล้าสบตา “ให้เชื่อคุณนัย”
ปรียากมลรุก คาดคั้น “เชื่อว่าไง”
“เชื่อว่าคุณนัยทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว คุณนัยทำอย่างที่ทำได้ค่ะ” ใจดอกโศกยังเชื่อมั่นอัศนัยเต็มร้อย
“ทำอย่างที่ทำได้...” น้ำเสียงปรียากมลหยามหยันในคอเบาๆ “ไม่คิดเหรอว่าเขาเห็นแก่ตัว เพราะอะไรรู้มั้ยเพราะเขาเป็นผู้ชาย เขาคิดว่ามีหนึ่งได้มีสองมีสามได้ มีกี่คนก็ได้ เเต่เธอเป็นผู้หญิงนะดอกโศก”
ดอกโศกฟังงงงัน
“เธอจะยอมให้เขาเอาเปรียบเธออย่างนั้นหรือ เขามีเธอเป็นคนที่สองแต่คนแรกเขาก็ไม่ปล่อย แล้วเธอจะให้เขาพูดกับเธอยังไงถ้าไม่พูดว่า เขาทำถูกต้องแล้ว”
ดอกโศกตอบไม่ได้
ปรียากมลใส่ไฟต่อ จัดเต็ม “ผู้ชายถ้ามีโอกาสก็อยากจะจับปลาสองมือกันทั้งนั้น มันอยู่ที่ปลายอมให้เขาจับทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีปลาอยู่แล้วอีกมือ”
ดอกโศกหัวใจวาบหวิว ปรียากมลตอกฝาโลงทันที
“หาทางแก้ปัญหานะดอกโศก ปัญหาอยู่ที่เธอ ไม่ได้อยู่ที่อัศนัยหรืออยู่ที่ฉัน เพราะฉันเป็นปลาตัวแรกฉันมีสิทธิ์ทุกอย่าง ส่วนอัศนัยเขาคือผู้ชาย อย่าคิดเปลี่ยนแปลงสันดานผู้ชาย”
ดอกโศกจวนจะเเย่เเล้ว
“เธอคนเดียวเท่านั้นที่จะจบเรื่องนี้”
คืนนั้นดอกโศกนั่งอยู่หน้าบ้าน พยายามดูหนังสือ โทรศัพท์วางอยู่ข้างตัว เสียงแขกยามเคาะเกราะบอกเวลา 2 ทุ่มแล้ว
โทรศัพท์ดังขึ้นทันที ดอกโศกสะดุ้ง มองโทรศัพท์ แล้วตัดสินกดดับเครื่อง สีหน้าทุกข์ใจเป็นที่สุด
อ่านต่อ หน้า 3
เนื่องจากบทโทรทัศน์ "ดอกโศก" ตอนต่อจากนี้ อยู่ในระหว่างการปรับบท แก้ไขตามการถ่ายทำจริง การอัพขึ้นเว็บ จึงอาจไม่เป็นเวลา หากสร้างความขัดเคืองใจให้แฟนละครที่ติดตามอย่างต่อเนื่อง "ทีมละครออนไลน์" ขออภัย มา ณ ที่นี้
ดอกโศก ตอนที่ 12 (ต่อ)
คืนนั้น...ดอกโศกนอนอยู่ในมุ้งหันหลังให้ปอง นัยน์ตาแห้งผาก แต่ครุ่นคิดอย่างตรึกตรอง ไม่ใช่อาการคนโศกเศร้าระทมใจ สมปองหลับเงียบไม่เห็น ดอกโศกอยู่ในท่านั้น...ทั้งคืน
รุ่งเช้าวันต่อมา เสียงชีวิตในบ้านไม้หลังนั้น ดังแว่วๆ มาถึงบริเวณทางเดินออกจากบ้าน
เสียงสมใจปลุกสมหมาย เสียงสมหวังเอ็ดตะโรว่า “มันนอนอยู่ จะให้รีบตื่นไปไหน” เสียงสมปองแปรงฟัน บ้วนปาก เสียงสมใจปลุกสมหมายดังลั่นขึ้นอีก “ไอ้หมายวันนี้ไปสายอีกแม่ผ่องไล่แกออกแน่”
เสียงสมปองเรียกดอกโศก “โศก ไอ้โศก เอ้ย อย่าเพิ่งไป”
ดอกโศกออกมา ใส่รองเท้าเร็วรี่ สีหน้าเหมือนคิดตกแล้ว ตัดสินใจแล้ว ใส่เสร็จออกเดิน
เสียงสมปองเรียกไว้อีก “เดี่ยวไอ้โศกคอยน้าด้วย” ตัวโผล่ออกมา “ไปส่งโรงเรียน” มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเล็กๆ พาดคอ...เดินเช็ดปากออกมา ดูเหมือน แปรงฟันเพิ่งเสร็จ
ทางเดินออกถนน สมปองเดินแกมวิ่งตามดอกโศก
“เฮ้ย ไอ้โศก”
ดอกโศกเร่งฝีเท้ามากขึ้น
สมปองวิ่งเข้าขวางทาง “น้าบอกจะไปส่ง...” ชะงัก เมื่อเห็นหน้าหลาน “เป็นอะไร”
ดอกโศกนอนไม่หลับทั้งคืน สีหน้าหมดสีเลือด มองสมปอง
“เฮ้ย บอกน้าเป็นอะไร...ใครทำ ทำไมหน้าตาเหมือนผีเลย นอนไม่หลับทั้งคืนใช่มะเนี่ย”
“น้าปอง” ดอกโศกสะอื้นเฮือกออกมาเต็มแรง ตัวโงนเงน
“เฮ้ย” สมปอง รับตัวไว้ “ตายล่ะกู ทำไงดีละวะ”
ป้อมวิ่งมาพอดี “น้าปอง”
ป้อมช่วยประคองไปนั่งม้านั่งเล็กๆ โยกเยกของพวกขายของอยู่ข้างถนน
“โศก โศก รู้สึกตัวมั้ย....โศก น้าปองยืนดูเฉยๆ ทำไม” ป้อมกังวลหนัก
“อ้าว...ให้ทำไงวะ”
“ไปขอยาดมใครมาก็ได้ ...โน่น ของป้าจากโน่นแน่ะ”
สมปองวิ่งไป เสียงเรียก “ป้าจาด...ป้าจาด”
ป้อมเรียกถูมือดอกโศกอยู่ไปมา “โศก...โศก”
สมปองวิ่งกลับมา “เอ้ายาดม”
ป้อมเปิดออกมา “ใช้ได้หรือป่าว” ลองดม “โธ่เอ้ย น้าปอง ไม่มีกลิ่นเลยไม่รู้จักดมซะก่อน”
“เออ...กูก็ว่า ป้าจาดแกให้มาทำไมวะยาดมหมดอายุ” ฉวยคืนมา
ป้อมงง “ทำไม”
“ไปคืนแก” สมปองบอก
“โธ่เอ๊ย...ทิ้งไปเลย คืนทำไม” ป้อมเอ็ดเสียงเขียว
“เออ...ดุเหมือนหมา” สมปองด่าตวาด “เอ้าโศกฟื้นแล้ว”
ดอกโศกลุกขึ้น “เสียงดัง” ทำท่าเวียนหัว
“เวียนหัวเหรอ...ชั้นไปหายาดมเอง” ป้อมวิ่งไป เห็นสมปองยืนงง “น้าปองพาไปที่รถซี ยืนเซ่ออยู่ได้”
สมปอง ดอกโศก และป้อม อยู่บนตุ๊กตุ๊กกันแล้ว
“นั่งดีรึยัง” สมปองถาม
“น้าปองหนูจะไปโรงเรียนนะ ไม่ไปหาหมอ” ดอกโศกบอก
“หาหมอเถอะดอกโศก” สมปองว่า ขณะที่ป้อมเอายาดมมาจ่อจมูกดอกโศก
“หายดีแล้ว...หนูต้องไปโรงเรียน จะสอบแล้วด้วย”
“โธ่เอ๊ย...น้าปองไปเลย... ร้านหมอโน่นก็ได้”
สมปองออกรถ แล้วเบรกตัวโก่ง อัศนัยเข้ามาจอดขวาง ลงจากรถรวดเร็ว
“คุณอัศนัย” สมปองอุทาน
ดอกโศกได้ยิน หน้าตาอึดอัด รีบลงจากรถ แล้วเดินหนีไปเร็วๆ
“ดอกโศก....” อัศนัยตามไป หันมาบอกสมปอง “ปอง จอดรถแอบด้วย” โยนกุญแจรถให้ตามพรวดๆไป
“ได้เลย...” ยิ้มย่อง ขับรถตุ๊กตุ๊ก เสียงกึกกักอยู่สักครู่ แล้วลงมา “เฮ้ยป้อม”
ป้อมมัวแต่ชะเง้อมองดอกโศกไม่ได้ยิน
สมปองลงมาตะโกน “ไอ้ป้อม” เสียงดังมาก
ป้อมหันไป
“เข็นโว้ย”
ส่วนอัศนัยจ้ำตามดอกโศก คว้าแขนไว้ ดอกโศกขืนเต็มแรงแล้วกระชากแขนไป
“ดอกโศก”
ดอกโศกมองสายตาเจ็บช้ำ ออกเดินต่อ
“หยุดนะดอกโศก”
แต่ดอกโศกไม่หยุด
อัศนัยเดินตามเร็วรี่ “ดอกโศกคนมีเหตุผลหายไปไหน เหลือแต่คนหูเบา เขาเป่าแค่นี้ก็เชื่อเขา”
คราวนี้ดอกโศกหยุกกึก อัศนัยหยุดตาม
ดอกโศกหันกลับมา เดินมาหยุดตรงหน้า มองอัศนัยพูดเสียงแน่วแน่
“เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคุณนัย คุณนัยเป็นของเขา เขามาทวงคุณนัยคืน”
“เชื่อเขาด้วยเหรอ”
“เขาเป็นผู้หญิง เขาไม่พูดทึกทักผู้ชายถ้าไม่จริง ถ้าดอกโศกเป็นผู้หญิงที่โดนแย่ง...ไป ก็จะทำอย่างเขา”
“อ้อ....ที่คุณนัยพูดให้ฟังไม่เชื่อเลย”
“ตอนนั้นเชื่อ เพราะยังไม่พบเขา”
“ทำไมเชื่อเขามากกว่าคุณนัย”
“ก็บอกแล้วว่าเขาเป็นผู้หญิง..พูดขนาดนี้ได้แปลว่าจริง”
“ไม่จริง”
“จะไปโรงเรียน...ยังต้องเรียน...จวนสอบด้วย ไม่อยากพูดอะไรตอนนี้”
“จะเรียนรู้เรื่องได้ไง ในเมื่อเรื่องนี้ยังไม่เคลียร์”
“เคลียร์แล้ว”
“เคลียร์กับใคร”
“กับตัวเอง...ทั้งคืน ไม่มีอะไรแล้วค่ะ..ดอกโศกจะไปเรียนหนังสือ สวัสดีค่ะ”
สองคนยืนประจันหน้า มองตากันตลอด ดอกโศกพูดเบาแต่น้ำเสียงมั่นคง ได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว คิดดีแล้วทั้งคืน
ดอกโศกไหว้แล้วหันหลังกลับ อัศนัยคว้าข้อมือทันที จะลากไป
สมปอง เดินมากับป้อม สมปองจับแขนดอกโศก
“ปอง...ฉันจะไปส่งดอกโศก”
สมปอง “ฉันไปส่งเองคุณนัย”
“ไม่ต้อง”
ป้อมมองอยู่ตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คุณนัยฮะ อย่าดึงดอกโศกฮะ เขาแต่งชุดนักเรียนอยู่นะฮะ เดี๋ยวใครๆ เห็นเขาจะเสียนะฮะ”
อัศนัยอึ้ง
“ปล่อยเขาเถอะฮะ ตอนนี้ไม่มีคนเพราะยังเช้า แต่เดี๋ยวคนก็มาแล้วฮะ”
อัศนัยสีหน้าขุ่นมัวมาก แต่ค่อยๆ ปล่อย แล้วมองหน้าป้อมไม่ชอบใจนัก
“ขอบใจมากป้อม”
“โศกจะไปโรงเรียนมั้ยฉันไปส่งแกเอง ....เรียกรถแท็กซี่นะ...เร็วดี”
“ไม่เป็นไรฉันไปส่งเองป้อม” อัศนัยสวนออกมา
“โศก...” ป้อมอึกอัก
“ทำไม ฉันพูดไม่เชื่อหรือป้อม”
ป้อมบอก “ไม่ใช่ครับ แต่คุณนัยต้องถามดอกโศกด้วยสิครับ”
“ไม่ถาม ....ดอกโศกจะไปกับฉัน”
สมปองยืนมองอย่างอ่อนใจ
“ต้องถามครับ” ป้อมเถียงอีก
“ไอ้ป้อมเอ๊ย จะเถียงไปถึงเย็ยรึไง...แกน่ะถอยมานี่”
“น้าปอง โศกเขา...” ที่สุดป้อมยอมถอยไป
ดอกโศกหันมาบอก “ป้อม...เรียกรถแท็กซี่”
“จัดให้” ป้อมโผนทะยานโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณที่จอดรถ สมปองส่งคืนกุญแจรถให้อัศนัย อัศนัยรับมาบอกขอบใจ
“คุณนัยไม่รู้เหรอมันโกรธคุณนัยเรื่องอะไร”
“ฉันพูดเหรอว่าไม่รู้” สีหน้า อารมณ์หงุดหงิดเต็ม
“แปลว่ารู้...”
“รู้....” อัศนัยเปิดประตูรถ เข้าไปนั่ง คิดอย่างอึดอัดใจ “ปอง ฉันอยากรู้ว่าดอกโศกไปที่ไหนบ้าง ไปกับใคร ไปทำอะไร”
“มันคงให้คุณรู้หรอก คุณนัยก็มันโกรธคุณอยู่”
“ถึงได้ขอร้องคนสำคัญไง” อัศนัยอวยส่ง
สมปองยืดเล็กน้อย “โอเค ชัวร์ จะดูให้ น่า” ตบไหล่อัศนัยดังป๊าบ “ไม่ต้อง worry ไปหรอก”
อัศนัยเหล่สมปองมากๆ สมปองรู้ตัว ไหว้ขอโทษ “ขอโทษคุณนัยลืมตัว คิดว่ารุ่นเดียวกัน”
อัศนัยออกรถ “สัญญาลูกผู้ชายนะปอง” พลางชูมือขึ้นมา
“ครับผม” สมปองทำตะเบ๊ะแข็งแรงแมนมาก
อัศนัยขับรถออก
ปรียากมลยืนหน้าโต๊ะทำงานอัศนัย สองมือเท้าโต๊ะ ก้มหน้าอย่างตรึกตรอง
บุรีเปิดประตุเข้ามาอย่างแรง “อุ้ย...ขอโทษครับ”
“สวัสดีค่ะ พี่บุรี” ปรียากมลไหว้ “ไม่มีอะไรค่ะผ่านมาเฉยๆ จะขอนั่งนิ่งๆ สักครู่”
“ครับ...เชิญครับ”
“อัศนัยกลับเมื่อไหร่คะ”
“วันนี้ไฟลท์ดึก”
“ไม่อยู่ถึงวันอาทิตย์” ปรียากมลแปลกใจ
“ไม่ครับ ให้ผมไปเปลี่ยนไฟลท์ให้”
“ค่ะ...”ปรียากมลถอนหายใจยาวไปนั่งที่โซฟา
“ต้องการอะไรมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับแล้ว”
ระหว่างนั้นตระกูลเปิดประตูเข้ามา “อยู่นี่เอง ผมเห็นรถคุณ”
“เพิ่งมา” ปรียากมลบอกเสียไม่ได้
“ไม่สบายรึเปล่าครับ” ตระกูลห่วง
“ผมจะให้เด็กจัดเครื่องดื่มให้” บุรีเดินออกไปอย่างเร็วรี่
ตระกูลขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น “ไม่สบายใช่มั้ย...กินเหล้ามาก..อยู่ดึก ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ จะไปหา ก็ไม่กล้า”
ปรียากมลเอนตัวทอดนอน คอพาดพนักเก้าอี้ “เหนื่อยนิดหน่อย”
ตระกูลมอง ความรู้สึกลึกซึ้งพุ่งขึ้นมา เข้าไปกอดแน่น
ปรียากมลด่าเข้าให้ “คุณจะบ้าเหรอ ทำอะไรรุ่มร่ามจริง”
“ผมรักคุณ...รักแทบจะขาดใจอยู่แล้ว”
“พอ...ปล่อยฉัน”
“ทำไม...คุณไม่มีใจให้ผมบ้างเลยหรือ...มีซักนิดมั้ยปรียากมล” ตระกูลตัดพ้อต่อว่า ตามแรงปรารถนาในใจ
ปรียากมลสะบัดเต็มแรง ลุกขึ้น แล้วออกไปจากห้อง ตระกูลตามอย่างรวดเร็ว
เวลาเดียวกัน ภายในโรงงานคนงานกำลังตั้งอกตั้งใจเขียนลายลงบนแจกัน บางคนเขียนลายบนถ้วยเครื่องเบญจรงค์ มีที่เสร็จแล้ววางอยู่ข้างๆ เพ็ญพักตร์ยืนมองพลางคุยเบาๆ กับคนทำ เสียงพูดไม่ได้ยินชัดเจนนัก
เพ็ญพักตร์มองเหล่นิดๆ “มาเขียนลายนานหรือยัง”
“สองปีค่ะ” คนงานตอบ
“ตั้งใจกว่านี้หน่อย เส้นของเธอยังไม่คม..ขาดบ่อย”
“ค่ะ”คนงานหน้าสลดไป
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ฝึกงาน เราต้องการของจริง” เพ็ญพักตร์เดินไปทันที
ด้านนอกบริเวณห้องโถง ที่เพ็ญพักตร์เคยนั่งตรวจลายเป็นประจำ เพ็ญพักตร์เดินฉับๆ มา แล้วหยุดชะงัก
เมื่อเห็นตระกูลกำลังพูดคุยกับปรียากมล อาการสองคนแปลกเหมือนเคยสนิทกันมาก
ตระกูลกำลังต่อว่าอะไรสักอย่าง ปรียากมลกิริยาตัดรอนนิดหน่อย ทำนองว่าบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ
เพ็ญพักตร์เดินเข้าไปใกล้ “มีอะไรกันหรือ”
ตระกูลมีสีหน้าตกใจ แล้วรีบสงบกิริยา
“คุยกันเองนะคะ” ปรียากมลยิ้ม เดินหนีไป
“ถามคุณนั่นแหละ” เพ็ญพักตร์ลืมตัว พูดถามเสียงห้วน
ปรียยากมลหันมา...ยั่ว “แต่ฉันไม่อยากตอบ”
“ทำไมตอบไม่ได้”
“ไม่ใช่ตอบไม่ได้นะคะคุณเพ็ญพักตร์ ไม่อยากตอบค่ะ” ทั้งกำกวมเล่นแง่
“นี่อะไร ตระกูลอธิบายมาซิ คุณกำลังพูดอะไรกัน ทำไมถึงตอบฉันไม่ได้”
“คุณเพ็ญ พอเถอะครับไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” ตระกูลบอกเสียงเรียบ
“คิดว่าฉันหูหนวกตาบอดหรือ กิริยาเมื่อกี้ไม่ฉันอย่างที่ฉันคิดแล้วจะคืออะไร”
ปรียากมลสวนคำออกมา “มันคือกิริยาที่ฉันปฏิเสธคุณตระกูล”
“ปฏิเสธเรื่องอะไร” น้ำเสียงคาดคั้นเต็มที่
“เขาชวนฉันไปทานข้าวแต่ฉันไม่ไป” ปรียากมลเหลือบมองตระกูลรวดเร็ว บอกด้วยสายตาให้รับลูก
“ตระกูล...จริงหรือ”
“จริง”
“มีเหตุผลอะไรคุณถึงจะชวนเขาไปทานข้าว”
“ก็ชวนกันทุกคน แปลกอะไร เราทำงานด้วยกัน” ตระกูลหลุดปาก
สีหน้าปรียากมลยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าตระกูลพลาดแล้ว รู้สึกสนุกที่จะแกล้งเพ็ญพักตร์
เพ็ญพักตร์คาดคั้นเต็มที่ “ทำงาน.... งานอะไร”
ตระกูลกังวลอยู่ในหน้า แต่ยังคิดว่า...เอาอยู่ “คุณปรียากมลเขามาช่วยคุณอัศนัยทำงาน...นิดหน่อย งานอะไรนะครับคุณปรียากมล”
ปรียากมลปล่อยของทันที “งานนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาหุ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น”
ได้ผล...เพ็ญพักตร์ชะงักนิดหนึ่ง “หุ้นส่วน...คุณมีหุ้นส่วนในบริษัทนี้เหรอ ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ”
“ถามสามีคุณสิคะ เขาคงไม่คิดหรอกว่าคุณจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง” เหน็บเข้าอีก
“คุณปรียากมลพูดอะไรระวังหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรคุณคงไม่ใช่ภรรยาที่สามีอยากจะบอกทุกเรื่องแต่ไม่ใช่สามีฉัน”
“จริงของคุณค่ะคุณเพ็ญพักตร์ ฉันเป็นภรรยาที่ไม่อยากรู้ทุกเรื่องของสามี เพราะฉันกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะไม่ให้ฉันรู้ซักเรื่อง...สวัสดีค่ะ” ปรียากมลเย้ยหยันจนสาแก่ใจ ค้อมหัวให้แล้วเดินกลับไป
เพ็ญพักตร์จ้องตามอย่างเกลียดชัง ปรียากมลไปไกลลิบแล้ว จึงหันมาทางตระกูล
“ทำไมไม่บอกฉันว่าเขามีหุ้นส่วนด้วย”
“มันนิดเดียว ผมเองแทบจะลืมไปด้วยซ้ำ”
“เขาได้มายังไง มีใครขายให้...ไม่น่า หุ้นส่วนเราทุกคนไม่มีนโยบายขายออกอยู่แล้ว” เพ็ญพักตร์ตั้งข้อสังเกต
“หุ้นของคุณอัศนัยเขามั้ง เขากำลังคบกันอยู่นี่ ถามเขาสิ”
“ฉันจะไปถามคุณอัศนัยเค้าได้ไง...ทำไมคุณไม่บอกชั้นฮึตระกูล”
“ไม่รู้สิ...ผมไม่เห็นสำคัญตรงไหน” ตระกูลเดินหนีไป
เพ็ญพักตร์ยังไม่หายสงสัย
เพ็ญพักตร์กลับมาบ้านแล้ว แต่หน้ายังเครียดระแวงเรื่องตระกูลอยู่ไม่วาย ระหว่างนั้นประตูห้องเปิดผางเข้ามาอย่างแรง พร้อมๆ กับเพ็ญตระการในชุดนักเรียนวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่
“คุณแม่ไปเอาชุดให้อุ๊หรือเปล่า พรุ่งนี้อุ๊จะไปงานแล้วนะคะ”
“แม่ลืม” เพ็ญพักตร์บอกเสียงเรียบ
“คุณแม่น่ะ..บอกแล้วว่าอุ๊จะไปเอาเอง คุณแม่ก็ยืนยันจะไปเอาให้ .ทำไมล่ะ อุ๊บอกคุณแม่ แล้วว่าอย่าลืม มันต้องใช้อ่ะ แล้วทำไงล่ะเนี่ย ทีหลังไม่ต้องเลย” อุ๊ตัดพ้อ
เพ็ญพักตร์หันไปกรี๊ดใส่ลูกสาว “พอ....พอได้แล้ว ทีหลังอย่ามายุ่งกะชั้นจะเอาอะไรก็ไปเอาเอง”
“ก็อุ๊จะไปเอาเอง คุณแม่บอกจะไปเอาให้ทำไมล่ะ”
“ไปนะยายอุ๊อย่ามาพูดอย่างนี้ใส่ชั้น ไป ไปหาพ่อแกไม่ต้องมายุ่งกะชั้น....ไป๊”
อุ๊ยืนหน้าเครียดสักครู่ แล้วออกไปปิดประตูดังปัง
เพ็ญพักตร์ทั้งระแวง ทั้งไม่ไว้ใจตระกูล
ที่หน้าตึกใหญ่ โอ๋ อ้น ยังอยู่ในชุดนักเรียนทั้งสองคน เห็นอุ๊ เดินแกมวิ่งลงมา โอ๋เดินสวนขึ้นไปถาม
“พี่อุ๊ไปไหน”
“อย่ายุ่ง อ้อ เห็นสมมั้ย ไปตามสมเอารถออกให้หน่อยโอ๋”
“อ้าว” อ้นโผล่มาจากแถวนั้น “ไหนไม่ให้ยุ่งไง”
“แกนั่นแหละไอ้อ้น”
“โอ๋อย่าไป” อ้นบอกโอ๋ที่กำลังหันไป
“ไอ้อ้น...ไอ้บ้า”
“จะบ้าตรงมีพี่สาวแบบเนี้ยล่ะครับ”
“เชอะ ครับ ทำไมไม่พูดค่ะ ล่ะยะ” อุ๊เหยียดหยัน
“นั่น เอาไว้พูดกับคนที่ไม่ทำพฤติกรรมน่าเกียจแบบ...เนี่ยะ” อ้นว่า
“พี่อ้น....อย่าว่าพี่อุ๊” โอ๋ห้าม
“เมื่อไหร่จะบานพ้นน้ำซะทียัยโอ๋ อยู่แต่ในตมนี่แหละ”
โอ๋งงอย่างเคย “เป็นไง”
“เฮ้อ....โอ๋ วันๆ น่ะหาความรู้ใส่ตัวมั่ง เรียนอินเตอร์เป็นแบบเนี้ยะ..แย่”
“ตัวเองล่ะไม่อินเตอร์เหรอ”
“ชั้นถึงบอกเธอให้อ่านหนังสือมั่งอย่าปล่อยให้สมองกลวง แบบเนี้ย”
โอ๋หน้าคว่ำมองอ้น
“ไปให้พ้นนายอ้น” อุ๊ไล่ เห็นเฉลยเดินออกมา เฉลยไปบอกสมเอารถออก
“กำลังจะไปบอกอยู่ค่ะ”
“ใครจะไปไหน”
อุ๊ถามเฉลย อึกอัก “เอ้อ....”
“ชั้นเอง” สุดสวยเดินออกมา
“น้าสวยไปไหน”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ไม่เห็นอยากรู้เลย จะไปไหนก็ไปเถอะ” อุ๊ว่า
“คุณอุ๊คะ ขอโทษค่ะนี่คุณน้านะคะ” เฉลยสุดทน
“ใช่น่ะสิ ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
“ควรจะพูดดีๆ กับเธอหน่อยนะคะ”
“มีหน้าที่สั่งสอนชั้นเหรอ” อุ๊แว้ดใส่
“เหลยไม่มีแต่ชั้นมี ระวังเถอะไม่มีใครเขาคบ...เป็นหมาหัวเน่า” เดินลงบันไดตึก “ไปเหลย ไปแท็กซี่”
เฉลยเดินตาม “ไม่ได้ค่ะ...เดี๋ยวเหลยไปตามสม”
อุ๊มองตามสุดสวย แต่ไม่กล้ากรี๊ด “เป็นน้า...มากขึ้นทุกวัน”
“แต่น้าสวยเค้ายังมีคนคบ” อ้นบอก
“โธ่เอ้ย มีใครคบคนบ้ามั่ง” อุ๊เหยียดยิ้ม
อ้นมองอย่างรังเกียจ “น้าสวยไปไหนคร๊าบ อ้นไปด้วย” อ้นวิ่งตาม
“ไปหาดอกโศก” น้ำเสียงสุดสวยดีใจนัก
อุ๊หน้าบึ้งมองตาม
“พี่อุ๊จะไปไหนคะ โอ๋เรียกทหารเอารถคุณพ่อออกมั้ยคะ”
“ลุงพฤกษ์ตายแล้วเธอยังมีหน้าเรียกทหารมารับใช้อีกเหรอ จะไม่เอาเปรียบราชการไปหน่อยเหรอ”
อุ๊เดินหนีเข้าบ้านไป โอ๋ยืนงง
ใกล้ค่ำแล้ว ดอกโศกยังขายของอยู่ จังหวะที่เงยหน้ามอง ดอกโศกยิ้มสว่างตา มองสุดสวยที่อยู่เบื้องหน้า สุดสวยมองดอกโศก เริ่มจะเบะหน้านิดๆ
ดอกโศกอ้าแขนรับสุดสวย เข้ามาในอ้อมกอด กอดแน่น ตบหลังเบาๆ ปลอบโยน
“คุณพ่อ” สุดสวยสะอื้นแรง “คุณพ่อ”
เฉลยซับน้ำตา อ้นหน้าเสีย สมใจก็ยิ่งสงสาร
“น้าสวยขา...ทานยารึเปล่า” ดอกโศกถาม
“ไม่ไปหาเลย บอกจะไปไง”
“หนูขอโทษนะคะ....ขอโทษ”
ดอกโศกกอด สุดสวยสะอื้นเงียบๆ
ต่อมาสุดสวยขายขนมช่วยดอกโศก ยิ้มแย้มเยอะแยะ แต่ไม่มากจนน่าเกลียด ท่าทีสนุกมาก อ้นก็ขาย เฉลยคุยกับสมใจเบาๆ นั่งอยู่ห่างๆ ทอดสายตาไปที่ดอกโศก ใจคิดถึงว่าตัวเองทำไม่ดีแกล้งเด็กเมื่อก่อนโน้น หน้าตาเฉลยหมองลง จังหวะหนึ่งเฉลยกระซิบถามเบาๆ
“แม่สมใจ....แล้วลูกสาวไปไหนไม่รู้เลยเหรอ” หมายถึงสุดจิตต์
“ไปตั้งเกือบ 20 ปี เพิ่งเห็นเขาเมื่อไม่กี่วัน แต่เขาไม่รู้จักเราแล้ว....ขี่รถเก๋ง”
“แต่แกมีหลานดี ....แกจะได้ที่พึ่งเชื่อฉัน”
“สงสารมัน มันไม่น่าลำบาก”
“คนกตัญญู ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้หรอก” เฉลยว่า
สีหน้าดอกโศกเวลานั้น สงบ นิ่ง แต่พริ้มเพรา ขายของกิริยาสุภาพ น่ารัก
“อภิรมย์....สอบหรือยัง เอนท์เข้าอะไร” กระซิบถาม
“จวนแล้ว สอบเสร็จก็จะหางานทำนะอ้น แล้วจะเรียนสุโขทัย”
“จริงอ่ะ...เงินที่ชั้นจะให้ล่ะเอาเมื่อไหร่”
“อ้นเก็บเงินไว้ ดอกโศกต้องการจริงๆ จะขออ้น ขอบคุณมาก”
อ้นมองหน้า “เธอเจ๋งมากอภิรมย์ มั่นสุดๆ ชั้นนับถือว่ะ ดีใจที่เราเป็นญาติกัน”
ดอกโศกหัวเราะเต็มหน้า อ้นยกนิ้วให้
อ้นเอียงตัวเข้ามากระซิบถาม “คุณนัยมาทุกวันมั้ย”
ดอกโศกนิ่ง สีหน้าว่างเปล่าไม่มีอารมณ์ใดๆ หันไปขายขนมต่อ
ค่ำนั้นที่คอนโดปรียากมล สองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ ด้วยอารมณ์แรงทั้งคู่
“ถ้าคุณไประรานดอกโศกอีก เราจะไม่เหลืออะไรต่อกันเลย ไม่มีแม้แต่จะเป็นเพื่อนกัน”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นเพื่อนคุณ”
“ปรียากมล ทุกอย่างที่ผ่านมาถ้าผมจะพูดคำว่าขอโทษ คุณพอจะยกโทษให้ผมได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“พยายามเข้าใจหน่อยนะ”
“คุณก็ต้องเข้าใจด้วย ฉันไม่ใช่แม่พระ ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดา ฉันอยากได้ความรักฉันคืน”
“ความรัก...คุณได้ไปมันก็ไม่มีค่าอะไร เพราะมันจอมปลอม มันแค่ความรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวชั่วครู่ชั่วยาม ไม่มีอะไรจริงจัง”
“ไม่จริง คุณไม่ใช่คนหยาบคุณละเอียดอ่อน เพราะคุณเป็นศิลปิน...อัศนัยฉันเป็นรักแรกของคุณนะ”
“เลิกพูดคำนั้น มันเป็นอดีตไปแล้ว คุณยิ่งพูดผมจะยิ่งไม่อยากพูดกับคุณ”
“คุณไม่ใช่คนหยาบ...คุณไม่มักง่าย คุณไม่...อะไรก็ได้ คุณรักฉันฉันรู้ ถ้าไม่มีดอกโศกเราคงแต่งงานกันไปแล้ว”
“แต่ผมมี” อัศนัยบอกย้ำ
ปรียากมลส่งเสียงครวญครางบางเบา แสดงความผิดหวัง ร้าวร้าน
“ผมมีดอกโศก...คุณได้ยินมั้ย ผมมีดอกโศก ผมจะมีเขาคนเดียว จะไม่มีใครมาแทนที่เขาได้”
“ฉันไม่มีวันยอม ยิ่งคุณพูดถึงเขามากแค่ไหนฉันจะไม่มีวันยกโทษให้เขา ฉันจะสั่งสอนเขาให้มากขึ้นว่าอย่าได้บังอาจมารแย่งของของฉัน” เสียงปรียากมลเริ่มดังขึ้น อารมณ์ราวกับพายุ
อัศนัย อารมณ์แรงเหมือนกัน “ผมไม่ใช่ของของคุณ ไม่ใช่...ไม่มีวันใช่”
“คุณไม่ใช่ของฉัน คุณก็ไม่ใช่ของของเขา ฉันไม่ได้คุณ เขาก็จะไม่ได้ ฉันสาบานเลย”
อัศนัยท้ายทาย “เอาสิ ผมก็สาบานเหมือนกันว่า ชาตินี้ผมจะเป็นของดอกโศกคนเดียว”
ความเสียใจอัดแน่นอยู่ในอก จนแทบจะกระอักออกมาแล้วยามนี้ ปรียากมลหายใจหอบแรงมองหน้าอัศนัย สายตาทั้งร้อนแรงทั้งหม่นเศร้า ปนเปกัน
“ฉันรักคุณ...รักคุณที่สุด คุณทำให้ฉันรักคุณจนหมดนี่” ตบแรงๆ ที่หัวใจ “หมดหัวใจของฉัน ไม่มีวันจะรักใครได้อีก”
ปรียากมลเดินไปโซฟา นั่งหันหลังให้อัศนัย ซบหน้ากับพนักเก้าอี้ร้องไห้จนตัวสะท้าน
อัศนัยยืนกุมขมับ ปรียากมลยังร้องไห้ อัศนัยขยับเข้าไปนั่งใกล้ “ปรียากมล ฟังผมหน่อย”
ปรียากมลโผเข้ากอดเต็มแรง จนอัศนัยล้มไปกับโซฟา
“อัศนัย....สงสารฉันนะ ฉันรักคุณ ฉันจะทำให้คุณทุกอย่าง...ให้คุณมีความสุขที่สุด”
อัศนัยส่ายหน้า
“ทำไม” ปรียากลมกรีดเสียงแหลมสุดๆ “ทำไม”
อัศนัยตอบไม่ถูก ได้แต่ทำท่าส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น
“นังดอกโศก ชั้นจะจองเวรจองกรรมกับแกจนวันตาย”
อัศนัยลุกขึ้นทำท่าจะไป ปรียากมลฉวยแขนไว้ อัศนัยปลด แต่พอหลุดปรียากมลก็คว้าอีกมือ
“อย่าให้ผมได้ยินอะไรอย่างนี้อีก”
“นังดอกโศกน่ะ เชอะ! ทำไมถึงจะเรียกไม่ได้ แตะมันไม่ได้อย่างนั้นรึ”
“ใช่....อย่าแตะต้องดอกโศกจะต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง”
“ชั้นจะแตะ จะว่าจะด่ามัน จะสาปแช่งมันขอให้มันไปลงนรก ขอให้มันพินาศ ขอให้มัน...” ปรียากมล พูดไปเรื่อยๆ ด้วยความเกลียดชังในใจ อัศนัยทนฟังไม่ได้
“หยุด”
“ขอให้มันตาย...ตายทุเรศที่สุด”
“ผมบอกให้หยุดปรียากมล” อัศนัยหมดสิ้นแล้วความอดทน
“ตายทรมาน ตายโหงตายห่า” ปรียากมลพูดไปสะอื้นไป พูดไม่เต็มเสียง ทุกคำพร่างพรูออกมาเอง “ไปนรกอย่าได้ผุดได้เกิด”
“คุณนั่นแหละตาย” อัศนัยกระแทกเสียงเต็มเสียง
ประโยคสุดท้ายเหมือนสายฟ้าฟาด ปรียากมลหยุดกึก มองหน้าอัศนัย
“คุณนั่นแหละตาย....คุณตายจากผมแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้ คุณไม่ได้เป็นอะไรสำหรับผมเลยนอกจากความว่างเปล่า เป็นอากาศ คุณไม่มีตัวตนสำหรับผมอีกต่อไป”
อัศนัยพูดจบ หันหลังกลับ ออกไปทันที ปรียากมลตะลึง มองตาม อัศนัยเปิดประตู ออกไป ประตูปิดดังปัง
ปรียากมลกรีดร้อง เสียงโหยหวนอย่างคนที่หัวใจแตกสลาย
อ่านต่อตอนที่ 13
เนื่องจากบทโทรทัศน์ "ดอกโศก" ตอนต่อจากนี้ อยู่ในระหว่างการปรับบท แก้ไขตามการถ่ายทำจริง การอัพขึ้นเว็บ จึงอาจไม่เป็นเวลา หากสร้างความขัดเคืองใจให้แฟนละครที่ติดตามอย่างต่อเนื่อง "ทีมละครออนไลน์" ขออภัย มา ณ ที่นี้