ดอกโศก ตอนที่ 11
ค่ำวันนั้นอัศนัยขับรถพาดอกโศกมาที่บ้านรัตนชาติพัลลภเพื่อเก็บของ และเวลานี้ดอกโศกกำลังเก็บของเงียบๆ เฉลยช่วยอยู่ด้วยเงียบๆ เหมือนกัน มีแต่สายตาห่วงใย
ดอกโศกเก็บของเสร็จแล้ว สุดท้ายเดินไปหยิบหนังสือเรียนทั้งหมดใส่ถุงใบใหญ่
เฉลยทนไม่ได้ ทักท้วงออกมา แม้จะรู้จักดอกโศกดี “คุณอภิรมย์ คุณทำอย่างนี้คุณตาท่านไม่ชอบใจแน่”
“ถ้าฉันไม่ไป คนไม่ชอบใจมีหลายคน” ดอกโศกลุกขึ้นพูดเสียงเบา “คุณตาไม่อยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก”
“รู้มั้ยว่าคุณสุดสวยเธอไม่ยอม”
จริงอย่างที่เฉลยว่า เวลานั้น สุดสวยเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง เพ็ญพักตร์ตกใจหันไป แล้วรีบผละออกจากอ้อมแขนตระกูล
“มีมารยาทหน่อยสุดสวย ทำไมไม่เคาะประตู” เพ็ญพักตร์ฉุนนัก
“ไม่เคาะ ... ไม่อยากเคาะ ทำไมต้องเคาะ” สุดสวยไม่ใส่ใจ
จากฉุนเพ็ญพักตร์โกรธพลุ่งขึ้นมา “ก็ดูซิชั้นกำลังทำอะไรอยู่พรวดพราดเข้ามาได้ยังไง”
“เข้ามาแล้วนี่ไง แล้วกำลังทำอะไรไม่เห็นทำอะไรเลย”
เพ็ญพักตร์ส่ายหน้า ระอาใจ
“คุณสุดสวยครับ...”
ตระกูลยังพูดไม่ทันจบ สุดสวยขัดขึ้นก่อน “ไม่อยากฟังคุณพูด คุณไม่ต้องพูด พี่เพ็ญน้องไม่ให้ ดอกโศกไป เดี๋ยว...” สุดสวยห้ามไว้ เมื่อเห็นเพ็ญพักตร์ขยับปากจะพูด “อย่าเพิ่งพูดฟังน้องก่อน..เพราะว่า....”
“เรื่องอะไรชั้นต้องฟังเธอ เธอสิต้องฟังชั้น ชั้นเป็นพี่เธอ” เพ็ญพักตร์พูดอย่างวางอำนาจ
“พี่ทำไม่ถูก” สุดสวยบอก
เพ็ญพักตร์สวนขึ้นมาทันควัน “ไม่ถูกยังไง”
“ไม่รู้ แต่ดอกโศกอยู่บ้านนี้ได้ น้องเป็นเจ้าของบ้าน”
“แล้วชั้นล่ะ ชั้นไม่เป็นเหรอ”
“ไม่รู้” สุดสวยแถ เถียงแบบข้างๆ คูๆ “ไม่ให้ไป”
“อยู่ไม่ได้บอกไว้ก่อน”
“อยู่ได้บอกไว้ก่อน” สุดสวยเถียงคอเป็นเอ็น
เพ็ญพักตร์พึมพำ “จะบ้า ตระกูลพาเค้าออกไปเดี๋ยวนี้”
ตระกูลเข้าไปดึงตัวสุดสวย สุดสวยผลักตระกูลเต็มแรงแล้ว หันหลังกลับวิ่งออกไป ปากก็ร้องเสียงดังตลอดทาง “อยู่ได้...อยู่ได้...อยู่ได้”
สองคนมองกันหน้าตาอ่อนใจ
“ผมเห็นดอกโศกมาคงเก็บของ มากับอัศนัย” ตระกูลบอก
“หน้าเครียดเหมือนกับถูก ‘ตีกัน’ อยู่ในใจ” เพ็ญพักตร์เยาะหยันสามี
“คุณเพ็ญ” ตระกูลฉุนในสีหน้า
“อย่าถามอะไรเดี๋ยวนี้ได้มั้ย...รำคาญ” ท้ายประโยคกระแทกเสียงเต็มคำ
ตระกูลถอยออกมาเดินไปแอบมองอย่างเกลียดชังลึกๆ ในสายตา
อัศนัยนั่งรอดอกโศกอยู่ในห้องรับแขก เพ็ญตระการเข้ามาประจ๋อประแจ๋ นอกจากจุดประสงค์ที่อยากใกล้ชิดอัศนัย ยังหาทางใส่ไฟดอกโศกเป็นวาระสำคัญ
“ดอกโศกเล่าให้อานัยฟังว่าไงคะ” อุ๊ถามเสียงเรียบร้อย
“ดอกโศกไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่ๆ” อัศนัยตอบนิ่งๆ
“อานัยไม่ทราบหรือคะว่าทำไมเขาจะไปจากที่นี่”
“ผมรู้แค่ว่าดอกโศกไม่มีชื่อในพินัยกรรม”
“ไม่ใช่เหตุผลเลย เขาจะอยู่ก็ได้ไม่มีใครว่า เขาเป็นหลานคุณตา” อุ๊สร้างภาพแสนดี
“ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”
“เขาดื้อค่ะอานัย เนี่ยใครห้ามคงไม่ได้ค่ะ”
ดอกโศกเข้ามาในห้องคุณตา เพื่อกราบล่ำลาครั้งสุดท้าย เห็นสุดสวยปล่อยตัวในสภาพไม่แต่งหน้า ทั้งดูซีดเซียว และอมทุกข์ เฉลยตามมาด้วย
สุดสวยมองหน้าดอกโศกแล้วเอ่ยขึ้นทันที “ไม่ให้ไปนะดอกโศก คุณพ่อให้อยู่ที่นี่ ไม่กลัวคุณพ่อเหรอ”
“หนูจะมาหาน้าสวยบ่อยๆ นะคะ น้าสวยทานยา ทานอาหารเยอะๆ นะคะ ระวังจะไม่สบาย”
สุดสวยซึมซับความดี ความอาทรของเด็กสาวที่เธอทุบตี ตามประสา มองจ้องดอกโศก น้ำเสียงสะอื้น หายใจแรงๆ จนจุกอก “ทำไมทิ้งไป”
ดอกโศกน้ำตาคลอ
“ทำไม...ทำไม...ทำไมทิ้งไป” สุดสวยน้ำตาไหลออกมาอีก ร้องไห้สะอื้นฮือ..ๆ เสียงดัง “ทิ้งไปหมด...” เสียงดังขึ้นอีกขณะร้องหาพ่อ “คุณพ่อ...คุณพ่อขา”
ดอกโศกสงสารน้าจับใจเดินเข้าไปปลอบ สุดสวยอ้าแขนเดินเข้าไปหาดอกโศก กอดไว้แน่นแล้วร่ำไห้สะอื้นออกมาเหมือนเด็กๆ
เฉลยเศร้าไปด้วยจนน้ำตาไหล ซับน้ำตาแล้วไปหยิบยา รินน้ำ
ดอกโศกปลอบสุดสวย เฉลยเอายามาให้กิน แต่ถูกสุดสวยปัดเต็มแรงยาในมือเฉลยกระเด็นไปหมด
แล้วสุดสวยก็ซบหน้าร่ำไห้ไปกับเก้าอี้ สะอึ้นจนตัวโยน อย่างน่าเวทนา
อัศนัยยังอยู่ที่ห้องรับแขกใหญ่โตภายในบ้าน แน่นอนอุ๊ยังไม่ยอมไปไหน
“ผมคิดว่าคุณแม่ของอุ๊น่าจะพูดได้” อัศนัยลองหยั่งเชิง แล้วคำตอบก็ไม่ต่างจากที่หนุ่มใหญ่คิดไว้
“อุ๊ว่ายาก ดอกโศกอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยเชื่อคุณแม่ เชื่อแต่คุณตา อุ๊คิดว่าคุณตาไม่อยู่เขาก็อยากไปอยู่กับยายเป็นธรรมดาเพราะเขาโตมากับยาย
ระหว่างนั้นประตูห้องดอกโศกมาถึงเฉลยเดินถือข้าวของตามออกมา
“เหลยรีบไปเอายาให้น้าสวยทาน” ดอกโศกรับของในมือมาถือเอง ซาบซึ้งน้ำใจในท่าทีเรียบเฉยของบ่าวรุ่นยายนัก “ขอบคุณ”
“มาอีกนะคุณอภิรมย์” เฉลยร้องขอ เสียงละห้อย
“มา....อีกสองวันฉันจะมาอีก”
สองเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกพอดี อุ๊หันไปเห็น สร้างภาพแสนดีต่อหน้าอัศนัยต่อ
“จะไปแล้วเหรอดอกโศก ความจริงเธอน่าจะอยู่ที่นี่นะ ไม่จำเป็นต้องไปนี่”
ดอกโศกไม่อยากต่อคำ “อุ๊... ฉันจะมาหาน้าสวยอีก ช่วงแรกอาจจะมาบ่อยหน่อย”
“มาทำไม” อุ๊ลืมตัวขึ้นเสียง
“ฉันจะมาแล้วกัน”
“ก็ถามอยู่นี่ไง้ว่ามาทำไม” เสียงดังขึ้นอีก แต่ไม่มากนัก
“เธออย่ารู้เลย...” ดอกโศกหันไปหาอัศนัย “คุณนัยคะ ดอกโศกจะไปคอยที่รถนะคะ” เดินออกไปอย่างเร็วรี่
เพ็ญตระการมองตามสีหน้าขุ่นมัว ใส่ไฟอีกดอก “อุ๊ไม่เห็นเค้าไปลาคุณแม่”
อัศนัยหน้าครุ่นคิดตาม
“เขาไม่ชอบเราสองคนแม่ลูก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเค้าเลยนะคะ ต่างคนต่างอยู่แท้ๆ”
ดอกโศกเดินออกมาจากบ้าน อ้นมาถึงรอส่ง ในมืออ้นถือหนังสือติดมืออยู่ตลอดเวลา
“จะเอาเงินเมื่อไหร่บอกนะบอกนะอภิรมย์” อ้นหมายถึงเงิน 2 ล้านห้า ที่บอกจะให้ในวันก่อน
ดอกโศกยิ้มขำ “เศรษฐีจะแจกเงินตลอดเวลา”
“เห็นมั้ยว่ามีเงินแค่นี้ก็เป็นทุกข์แล้ว คนมีเป็นร้อยล้านพันล้านจะทุกข์แค่ไหนนี่” เกย์น้อยหอยสังข์พูดราวกับผู้ใหญ่
“ไม่เคยได้ยินว่ามีเงินแล้วเป็นทุกข์” ดอกโศกท้วงขึ้นมา
“พูดไปหยกๆ ไม่ได้ยิน?” อ้นใส่จริตเสียงสูง
“ก็เพิ่งได้ยินเนี่ย”
“ไม่ถามเหรอว่าเพราะอะไร”
“อยากบอกบอกเลย ไม่ถาม”
คราวนี้อ้นปรายตา เสียงสูง “แหม...” ออกสาวเต็มที่
ดอกโศกแซวขำๆ “โห ท่านี้ชัดเลยอ้น”
“ชัวร์ดิ ไม่ได้บิดบังให้มันมาทำร้ายตัวเองหรอกอย่างนั้นเขาเรียกอีแอบ เป็นก็เป็นรู้ป่าวเดี๋ยวนี้เค้ายอมรับเพศที่สามกันมากขึ้น เป็นแบบวิทยาศาสตร์ด้วยนะว่าเนี่ย...คือธรรมชาติของมนุษยชาติไม่ได้มีแค่สองเพศ แต่มีสาม”
อ้นชูนิ้วประกอบ น้ำเสียงหนักแน่นมาก อ้างข้อมูลที่เป็นความจริงมากๆ ว่าได้มีการยอมรับทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นในวงวิทยาการเรื่องยีนส์มนุษย์
ดอกโศกฟังอย่างทึ่งมาก “ใครบอกอ้น”
“เฮอะ...อ่านสิจ๊ะ อยู่ๆจะรู้เองได้ยังไง ...ตัวเองสิอภิรมย์อ่านหนังสือให้มากกว่านี้นะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยจะได้ไม่ต้องลุ้น เฮ้ย...คุยยังกะไม่ได้จะไปไหน...โอเคไปเถอะ” เกย์ผมทองยิ้มเยื้อนส่งลาอย่างห่วงใย
“เจอกัน” ดอกโศกเดินลงบันไดตึกไป “ขอบใจนะอ้น” เสียงลอยตามหลังมา
อ้นทำท่าน่ารัก ส่งเสียงตามหลังบอกให้โชคดี
อุ๊กับอัศนัยเดินออกมาพอดี
อัศนัยเอ่ยทัก “สวัสดีครับอ้น”
“สวัสดีฮ่ะ” อ้นไหว้นอบน้อม “พาอภิรมย์มาเหรอฮะอานัย”
“ครับ”
“ขอบคุณแทนอภิรมย์นะฮะ ที่คุณนัยดูแลทั้งๆที่เป็นคนอื่นไม่ใช่ญาติ” อ้นพูดพร้อมกับชำเลืองมองอุ๊
“พูดยังงี้หมายความไงนายอ้น เอ๊ะ หรือใช้คำว่านายไม่ได้” อุ๊เริ่มออกลาย
“ใช้นางก็ได้ชั้นไม่เห็นจะเดือดร้อน หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละเข้าใจดีถามทำไม” ย้อนกลับ
“ไม่อยากพูดด้วยคนประหลาด” เดินไปหาดอกโศก
“บ้านนี้ไม่เห็นมีใครประหลาด...กลับเหรอฮะอานัย” ไหว้ลาอัศนัย “หวัดดีฮะ”
อุ๊เดินมาถึง มองดอกโศกสบายๆ ยิ้มให้ด้วย
“ดอกโศกจะไปแล้วเหรอโชคดีนะ”
“ขอบใจอุ๊”
“ลาคุณแม่หรือเปล่า”
ดอกโศกนิ่งไปอึดใจ “เปล่าเพราะ....คุณป้าคงไม่อยากให้ไปลา”
ดอกโศกสบตากับอุ๊ตรงๆ สองคนมองกันนิ่งๆ สักครู่
“หวัดดี”
ดอกโศกหันหลังกลับ อุ๊หันไปทางอัศนัยสีหน้าเหมือนจะพูดฟ้องว่า ‘เห็นมั้ย’
อัศนัยไม่รู้จะคิดยังไงดี เห็นแล้วว่าดอกโศกก็แข็งพอตัว
สองคนนั่งอยู่ในรถแล้ว ดอกโศกหน้านิ่ง อัศนัยยังไม่สตาร์ทรถ หันมามองดอกโศก ดอกโศกมองออกไปเบื้องหน้า ในใจเศร้าลึกๆ
อัศนัยฉวยมือดอกโศกมากอบกุม...เล่นๆ แต่เป็นสัมผัสปลอบแสนอ่อนโยนและจริงใจ
ดอกโศกทอดยิ้มให้ สีหน้าตอบรับว่าเข้าใจสารที่สื่อออกมา
รถแล่นไป
อุ๊ ที่แอบมองอยู่ ออกมามองตาม สายตาหมองจัด ตัดใจหันหลังกลับ...หยุดนิ่งระงับความรู้สึก
เพ็ญพักตร์มาเมื่อไหร่ไม่รู้ยืนมองลูกสาวอยู่ด้านหลัง เห็นใจลูกมาก
เพ็ญตระการโถมเข้าหาอ้อมแขนของแม่
เพ็ญพักตร์แสดงกิริยาปลอบโยนสุดๆ “มีเวลาอีกมากข้างหน้า...อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้”
“อานัยเขา...ไม่เปลี่ยนหรอก เค้ารักมัน” อุ๊เบ้หน้า
“อุ๊จะพบคนอีกมากมายต่อไป .... เชื่อแม่นะลูก”
“คนที่อุ๊อยากให้เปลี่ยนก็คือมัน...อยากให้มันตาย....ให้มันหายไปจากโลกนี้ ให้มันเสียโฉม” อุ๊พูดน้ำเสียงสั่นสะท้าน เพราะรู้ว่าไม่มีวันเป็นจริง
ตี 4 ของวันหนึ่ง ดอกโศกตื่นมาช่วยยายทำขนม ปั้นบัวลอย หรือเลือกถั่ว หรือโม่แป้ง (ช่วยหาข้อมูลหน่อยว่าเดี๋ยวนี้ต้องโม่เองมั้ย น่าจะมีแป้งสำเร็จรูปแล้ว)
สมปองแต่งตัวเสร็จ คว้าหมวกมาใส่ ไปเรียกหมาย
“หมาย....ไอ้หมาย เฮ้ยตื่นเว้ย”
หมายส่งเสียงตอบ อือ...ออ ไม่อยากตื่น
“ไอ้หมายเอ็งสายกะป้าอีกวันเค้าจะเปลี่ยนคนแล้วเว้ย”
สมหวังตะโกนออกมา หงุดหงิดที่ถูกปลุก “เฮ้ย...เอะอะอะไรหนวกหูเว้ย ไป..ไปนังปองอย่ามากวนน้องมัน มันจะนอน”
“เออ..พ่อหยั่งงี้ก็มี ลูกจะโดนเลย์ออฟแล้วนะ”
สมหวังโผล่หน้าพรวดออกจากมุ้ง “แปลว่าอะไร”
“แปลว่าเค้าจะขึ้นเงินเดือนมั้ง” สมปองออกไปทันที
สมหมายโผล่หน้าออกมา “ไล่ออกพ่อ”
ยายสมใจกับดอกโศกจัดขนมใส่รถเข็น เสร็จเรียบร้อย สมปองออกมาท่าทีรีบร้อน
“เอ้า ไปยังจะช่วยเข็นไปให้.. โศกไปแต่งตัวเร็วเดี๋ยวไม่ทันโรงเรียน น้าไปส่ง”
“หนูไปรถเมล์ น้าปองไปเถอะจ้ะ”
“เหอะ...วิ่งรถเที่ยวเดียวแล้วจะมารับ..ไปแม่ยืนหน้าเหงาอยู่ทำไมล่ะ ทำไมไม่เข็นไป”
“ก็เอ็งจะช่วยเข็น”
“แม่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ช่วย...เข้าใจมั้ย ช่วยหมายความว่าต้องช่วยตัวเองมั่งไม่ได้ พูดว่าจะเข็นให้นี่จะได้ยืนนิ่งไม่ขยับเลยแบบนี้”
“เออ ขยับก็ได้วะ” สมใจฉุน เอามือแตะที่รถ
“ฮ่ะ..ฮ่ะ...อุ๊ย มีแม่ฉลาดแบบนี้ภูมิใจจริงโว้ย”
“ฉลาดแบบไหน”
“ฉลาดแกมโกง” สมปองพูดขณะเข็นรถจ้ำอ้าวไป
สมใจส่งเสียงล้งเล้งตามหลังไป
เช้าวันเดียวกันนั้นอัศนัยเดินเข้ามาในออฟฟิศ วางกระเป๋าเอกสาร หยิบโทรศัพท์จะโทร บุรีพาเต้ยกับวินเข้ามา
“โลโก้โรงงานเซรามิก เต้ยกับวินทำมาแล้ว” บุรีวางแบบให้อัศนัยดู
อัศนัยมองพิจารณาอย่างตั้งใจ
มี 2 ภาพ ให้เห็นชื่อโรงงานแวบๆ ว่า “อัศวาเซรามิก”
“ใช้ของวิน” อัศนัยเอ่ยขึ้น
“เต้ยก็ว่างั้นแหละ” เต้ยพูดด้วยน้ำเสียงโล่งใจ
“เอ๊า...ทำไมล่ะเต้ย” วินสงสัย
“ก็มันเจ๋งกว่าเห็นๆ” เต้ยว่ายิ้มๆ
“โอเค ผมสั่งทำป้ายกับตรายางนะครับ” บุรีรับดำเนินการต่อ
“เพิ่มสีให้สดขึ้นหน่อย กลุ่มเป้าหมายเราจะจับตลาดหนุ่มสาวที่กำลังจะตั้งครอบครัวนะ อ้อ...เต้ยกับวิน ผมว่าดีไซน์ลายให้น้อยที่สุดแต่ได้มากที่สุด” บุรีกำชับ
“Less is more” วินกับเต้ยบอกพร้อมกัน
“exactly” อัศนัยดีดนิ้ว “โอเค ขอบใจทั้งสองคน”
พอสองคนออกไป บุรีจึงเอ่ยขึ้น “ตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ครับ” แล้ววางตั๋วลง
“ขอบคุณครับพี่บุรี เอ๊ะ ทำไม...สองใบ”
“คุณปรียากมลจะไปด้วยครับ”
เสียงปรียากมลมาก่อน “ใช่แล้ว” เดินเข้ามา
“คุณไปได้ แต่ใช้วิธีนี้มัดมือชกอย่างนี้ผมไม่ชอบ” เอาตั๋วคืนใส่มือบุรี “พี่บุรีเอาตั๋วไปรีฟันด์ด้วยครับ”
ปรียากมลฉวยตั๋วไปจากมือบุรี “ฉันไปคนเดียวก็ได้”
อัศนัยจ้องหน้า “คุณควรบอกผมก่อน” น้ำเสียงไม่พอใจอีกแล้ว
“นี่ ฉันชักจะโกรธแล้วนะมันจะอะไรนักหนา เราคบกันเป็นแฟนนะ” ปรียากมลจงใจและเจตนาพูดให้บุรีได้ยิน “คุณไม่ควรพูดจาไม่ไว้หน้าฉันขนาดนี้”
บุรีทำท่าขอโทษแล้วออกไป
“ผมขอโทษ แต่คุณอย่าทำอีกนะ”
ปรียาเดินเข้าหากอดอย่างนุ่มนวล เกยคางไว้บนบ่า อัศนัยหลับตาสีหน้าไม่สบายใจอย่างมาก
“ไม่” ปรียากมลพูดเสียงกระซิบ “ฉันรักคุณมาก คุณไม่ให้ทำอะไร ฉันจะไม่ขัดใจ” ฟังคล้ายศิโรราบ
สีหน้าอัศนัย กำลังคิดถึงวงหน้าดอกโศก ภาพอาการเสียใจในวันที่ดอกโศกมองจ้องเมื่อเห็นปรียาจูบตัวเอง วนเวียนอยู่ในหัว รบกวนจิตใจ อัศนัยอัดอั้นเหลือเกิน
จนเมื่อปรียากมลผละตัวออก อัศนัยหันไปหาโทรศัพท์ กดและคอย
“ดอกโศก....ถึงโรงเรียนหรือยัง”
ปรียากลมเดินห่างออกมา เครียดขึ้นทันที ไม่ได้ยินประโยคต่อไปที่อัศนัยพูดถึงสมปอง
“น้าปองไปส่งหรือเปล่า”
บริเวณขายขนมเย็นวันเดียวกันนั้น สมปองเลี้ยวรถเข้ามาจอดกึก ดอกโศกอยู่ในชุดนักเรียนก้าวลง แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนส่งให้ปองเอาไว้ตรงข้างๆ ที่นั่งตัวเอง
“ไม่เอาหนังสือไปอ่านเหรอ”
“อ้อ...” เปิดกระเป๋าหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง “ทีหลังหนูจะเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนไม่อยากใส่ชุดนักเรียนขายขนม”
“ทำไม....อาย?”
ดอกโศกจ้องมองน้าสาวนิ่ง นัยน์ตามีแววขำ
“เอ้า...ก็ถามง่ะ ไม่งั้นจะเปลี่ยนทำไม”
“ไม่อยากให้กระโปรงเปื้อน ต้องใส่สองวัน” ดอกโศกบอกเหตุผลที่แท้
“เข้าใจ” สมปองแล่นรถพรืดไป
แยกจากดอกโศกสมปองแล่นรถมาใกล้ๆ บริเวณนั้น เจอะเฮียเม้งเจ้าของรถตุ๊กตุ๊กยืนขวาง พยักหน้าเรียกมายืนพูดกันสองคน ทีแรกพูดกันดีๆ ค่อยๆ แล้วเริ่มดังขึ้น
“มีอะไรเหรอเฮีย” สมปองลงรถแล้วถามขึ้น
“ค่าเช่ารถ 2 กะ ทำไมให้สองร้อย มันต้องสี่ร้อยสิวะ” เฮียเม้งเสียงดัง
“เอ๊า ก็ฉันใช้แค่ครึ่งกะ ชั้นบอกเจ๊แล้วนี่ เอารถไปคืนตามเวลาด้วย”
“ไม่มีใครเช่าครึ่งกะ วิ่งไม่วิ่งก็ต้องจ่ายมาให้เต็มกะ”
“เฮีย..เราก็เช่ารถกันมานานเป็นปีๆ แค่นี้เฮียให้ไม่ได้เหรอ ชั้นมีธุระวันหนึ่ง อีกวันชั้นไม่สบายวิ่งรถไม่ไหว”
“แต่มันต้องเป็นไปตามกฎ เช่าเป็นกะจ่ายเป็นกะ” เฮียย้ำ
“เอ๊ะ เฮียเป็นคนออกกฎนั่นเองนี่ มีแมวที่ไหนมาตรวจล่ะ”
“เฮ้ย ลื้ออย่ามาซี้ซั้วพูด เอามาซะดีๆ อีกสองร้อย”
“ไม่เห็นใจกันเลยเหรอ”
เฮียย้ำคำเดิม “กฎต้องเป็นกฎ”
“กฎมีไว้แหกเว้ย เฮ้ย ไม่งั้นจะคอรัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมืองงี้เหรอ”
“อั๊วไม่เกี่ยว นี่มันกฎอั๊ว จ่ายมา”
“ไม่จ่าย”
“อยากมีเรื่องเรอะ”
“ชั้นไม่ยอมถูกโกงหรอกเว้ย”
“ใครโกง....ใคร มึงกำลังโกงกูชัดๆ”
สมปองโต้กลับเสียงดังไม่หวั่นกลัว “ใครโกงน่ะเหรอ กูรู้นะมึงเอารถไปให้ไอ้หมูเช่าครึ่งกะ กูอุตส่าห์ไม่พูดกลัวมึงจะอาย ไม่รู้ว่ามึงมันหน้าด้านโกงกระทั่งผู้หญิง”
เฮียเม้งจอมโหดของขึ้น “จะจ่ายมั้ยอีปอง”
“ไม่จ่ายเว้ยไอ้เฮีย”
“อีกที...จ่ายไม่จ่าย”
“กีทีก็ได้วะ ไม่จ่ายไอ้ขี้โกง” สมปองโยนกุญแจรถตุ๊กตุ๊กใส่หน้า “มึงเอาไป...แล้วไปขูดเลือดขูดเนื้อคนอื่นเถิดเว้ยไอ้อ้วน” แล้วหันหลังให้เดินไปทันที
เฮียเม้งหันไปพนักหน้าให้ลูกน้องเข้ามาขนาบสองข้าง แล้วลากสมปองเข้าซอยเล็กๆ ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เป็นซอกเล็กๆ ไม่มีคนเห็น
สมปองดิ้นสุดๆ ทั้งเตะทั้งสะบัดแต่ไม่สำเร็จ
ในซอกเล็กๆ ในซอยนั้นเอง สมปองยืนกางขา เตรียมตัวสู้
เฮียเม้งสั่งเสียงดัง “อัดมัน”
ลูกน้องหนึ่งในสองจ๋อยๆ “ผู้หญิงนะเฮีย”
“ผู้หญิงอาไร้ มันเป็นทอมไม่เห็นเรอะ อัดมัน กูสั่งมึงไม่ทำเรอะ ตบมันเข้าไป...เร็วสิวะ”
ขัดไม่ได้ ลูกน้องเลยตบแค่เบาะๆ ไปทีหนึ่ง แต่แรงผู้ชายเลือดซึมมุมปาก สมปองฮึดสู้ อย่างแรง แต่มีหรือจะสู้แรงผู้ชายได้ สภาพสมปองเลยดูเหมือนตัวตลก
“อีกที...ยังไม่สะใจกูเว๊ย”
ลูกน้องหน้าไม่ค่อยดี เฮียบอกซ้ำ
“ต่อยเข้าไปที่ท้องมัน ...ต่อย เอ๊ะไอ้นี่มึงอยากตายเรอะ”
ลูกน้อง ต่อยท้องไปทีหนึ่ง
ร่างสมปองทรุดลงช้าๆ จุกเต็มที่ แต่นัยน์ตาแค้นมองหน้าไอ้เฮียโหด
“อย่าคิดสู้ มึงไม่มีทางหรอก ...เฮอะ ไม่โกงก็ต้องโกง เพราะกูบอกว่ามึงโกง ...ฮ่ะ...ฮ่ะ ใคร เขาจะเชื่อคนกระจอกอย่างมึง” เฮียเม้งสะใจ ไม่แยแส
สมปองฟุบหน้ากับฟื้น กัดฟันแน่น โกรธจนตาแดงแล้วแต่ไม่อยากร้องไห้ กดข่มเอาไว้
ส่วนดอกโศกขายขนมช่วยยายด้วยหน้าตาสงบนิ่ง ตักขนมขายไม่สบตาไม่โต้ตอบ แม้ว่าคนซื้อจะพูดจาหยอกล้อ
“คุณซื้อเสร็จไปได้ยังค้า ให้คนอื่นซื้อมั่ง” ยายสมใจว่า
“เดี๋ยวกำลังดูจะซื้อเพิ่ม อะไรอร่อยครับน้อง” คนซื้อชายบอก
ดอกโศกยิ้มๆ ไม่ตอบ ยายตอบแทน “อร่อยทุกอย่าง”
“จริงป๊ะครับน้อง” ลูกค้าชายพยายามชวนดอกโศกคุย
“คุณหลีกหน่อยสิค้า อ้าว คุณรับอะไรมั่งคะ” สมใจถามลูกค้าชายอีกคน
“ผมขอ นี่...นี่....อย่างละห่อครับ”
ลูกค้าชายคนแรกยังไม่เลิกเกาะแกะ “เดี๋ยวผมจะซื้อเพิ่ม”
“งั้นไปเข้าคิวค่ะ คุณ” สมใจบอก “จะซื้อเพิ่มต้องไปต่อคิวใหม่เมื่อกี้จบแล้ว”
ดอกโศกถามลูกค้าชายอีกคน “นี่หรือคะ” ถามเสียงเบาๆ “กี่ห่อคะ”
“แหมยายล่ะก็....ทำเป็นยัวะ” ลูกค้าชายคนนั้นบ่นว่ายายสมใจ
“ไม่ทำเป็นยัวะ...ยัวะจริงเว้ย เห็นเป็นแม่ค้าเหรอคุณมาพูดจาเกาะแกะมันไม่ถูก เขาขาย ขนมคุณก็ซื้อขนมเขาไม่ได้ขายอะไรที่คุณอยากซื้อไปซื้อที่อื่นไป”
เจอยายสมใจใส่เป็นชุด แบบจัดหนัก ลูกค้าชายคนนั้น จ๋อยมาก ค่อยๆ ถอย
“ถึงเป็นแม่ค้าก็ต้องเกรงใจให้เกียรติกันบ้างสิคุ๊ณ นึกว่าเป็นผู้ชายจะทำอะไรผู้หญิงก็ได้เร้อ”
ลูกค้าชายขวัญกระเจิง เดินไปลิบแล้ว
เพื่อนแม่ค้าของสมใจตะโกนมา “ยายใจ ดีแต่ปากนะแก เวลาโดนตาหวังซ้อมทำไมไม่เถียงงี้วะ”
สมใจชะงัก อึ้งไป แล้วรู้สึกอัดอั้นขึ้นมาในอก หน้าเหยเก ดอกโศกเห็นสอดมือเข้ามาประสานกับมือยาย ปลอบกันเงียบๆ สมใจยืนก้มหน้านิ่ง
ที่บริเวณไกลออกไป อัศนัยนั่งในรถ มองอยู่สีหน้าครุ่นคิด
ค่ำนั้นดอกโศกเข็นรถมากับยาย สมใจเดินก้มหน้าก้มตา พอจอดรถจัดของให้อยู่ตามที่เรียบร้อย ดอกโศกหันมาเห็นยาย เก็บของแต่สีหน้ายังอัดอั้นไม่หาย
ดอกโศกเข้าไปกอดยาย เรียก “ยายจ๋า”
สมใจนิ่งไปนิดแต่เป็นคนใจแข็ง สะบัดหน้าไล่ความเศร้าออกไป
“ไม่เป็นไร ไปอาบน้ำจะได้ดูหนังสือ”
ดอกโศกมองหน้ายายอยู่อึดใจ แล้วเข้าจูบแก้มแรงๆ “จ้ะยาย”
ดอกโศกไป สมใจยิ้มมองตาม แล้วกลับมาเศร้าอย่างเดิม
สมหวังเดินออกมาจากบ้าน “มาแล้วเรอะยายใจ ขายหมดเร็วนี่วันนี้ อ๋อ เพราะไอ้โศกไปขายด้วยใช่มั้ย ไม่งั้นแม่ค้าหนังเหนียวไม่มีคนอยากซื้อ...อ้อ ซื้ออะไรมากินมั่ง”
สมใจเดินหลีกไปเงียบๆ
สมหวังฉวยแขนสมใจให้หันมาทางตัว บีบแขนสมใจแน่น
“เป็นอะไร”
“เปล่า”
“จริงอ้ะ ....ไม่จริงมั้ง”
มือสมหวังเน้นหนักที่แขนสมใจ แล้วลูบไล้เบาๆ มีความหมายเล็กๆ
“ใครว่า”
“ไม่มี” สมใจตอบเสียงห้วน มองหน้า “บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ”
สมหวังดึงร่างสมใจเข้ามาใกล้เผชิญหน้า “ไม่มีแน่นะ เออ...แกไม่มีเดี๋ยวฉันมี” สมหวังพูดพลางมองลึกเข้าไป สมใจสู้สายตาสักครู่ แล้วรู้สึกสะท้อนใจ สงสารตัวเองที่คงหลีกหนีวังวนของกิเลสนี้ไปไม่ได้
สมใจพูดเสียงหมองเศร้า “ปล่อยเถอะตาหวัง...เหนื่อย...เหนียวตัวจะไปอาบน้ำ”
“เออ ดี” รุนแขนส่งตัวสมใจไปอย่างหยาบคาย “ไป...อาบน้ำ” ทอดเสียงมีความหมาย
สมใจเดินเข้าบ้านไป
พอเดินเข้ามาแล้วต้องตกใจ เห็นดอกโศกคุกเข่าอยู่ข้างสมปอง ที่นอนตัวงอ แก้มช้ำนัยน์ตาบวม
“ปอง....เป็นอะไร”
“เฮียเอาลูกน้องมาซ้อม”
“ไอ้เม้ง....ไอ้” สมใจทำท่าลุกขึ้น
สมปองเรียกไว้ “แม่.....ไปไหน”
“ไปหามันสิจะไปด่ามัน แล้วจะไปแจ้งความ”
“มันค่ำแล้ว พรุ่งนี้ฉันไปแจ้งเอง”
“ไม่ต้องรอพรุ่งนี้...วันนี้เลยวะ เอ็งลุกนังปอง รอพรุ่งนี้หลักฐานก็หมดสิวะ”
ขณะที่สามคนประคับประคองออกมา อัศนัยเดินเข้ามาพอดี
“คุณอัศนัย น้าปองไม่สบายค่ะ”
“ไปโรงพยาบาล” อัศนัยบอก
สมปองสวนออกมา “ไม่....ไปโรงพัก”
พอเห็นอัศนัยเปิดประตูห้องนอนเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ ปรียากมลในชุดนอน ลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว โผเข้าหากอดไว้ทั้งตัว
“ไปไหนมา” ปรียากมลจูบอัศนัย “คิดถึง”
เวลาเดียวข้างล่าง หม่อน กับหมื่นกำลังเม้าท์มอยกันอยู่
“ตกลงเป็นเมียแล้วเหรอแม่” หมื่นเข้าเรื่อง
“เอ.........” หม่อนคิดอย่างตรึกตรอง
“เรื่องอย่างนี้จะคิดมากขนาดนั้นไปทำไม เป็นก็เป็น ไม่เป็นก็ไม่เป็น” หมื่นหงุดหงิด
“เอ้ะ ไอ้หมื่น ต้องคิดมากสิวะ”
“ทำไม”
“ก็แม่ไม่รู้”
“เฮ้อ ยังงั้นจะคิดทำไม ตอบมาเลยว่าไม่รู้”
“คุณปรียาเค้าไม่ได้นอนห้องคุณนัยหรอก” หม่อนกระซิบลูกชาย
“รู้ได้ไง” หมื่นถาม
“แอบดูว่ะ” หม่อนบอก
“หะ ฮ้า....แอบดูจนรู้ว่าเค้าไม่...เนี่ยนะ”
“ไอ้ทะลึ่ง ข้าเห็นเค้ากลับห้องเค้าเว้ย...ทุกคืน”
อัศนัยพาปรียากมลเดินมา จะให้ออกจากห้องนอน ปรียากมลยังอิดออด
“อัศนัย พรุ่งนี้ฉันจะไปออฟฟิศด้วยนะ”
“โอเค”
“คุณไปทานดินเนอร์กับฉันนะ ฉันจองโต๊ะไว้แล้วที่....” ปรียากมลพูดยังไม่จบ)
อัศนัยสวนทันที “ปรียากมล อย่าทำอย่างนี้คุณต้องถามผมก่อน”
“ไม่...ฉันว่าไม่จำเป็น เราคบกันฉันว่าฉันทำไปก่อนได้ คุณควรจะยอมรับว่าฉันทำได้ในสถานภาพของคนรักกัน”
“ปรียากมล ฟังผมนะ ผมหวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูดให้คุณฟัง และถ้าคุณยังไม่ยอมเข้าใจผมจะไม่พูดอีก เราอาจจะไม่ได้พบกันอีกเลย”
ปรียากมล “ฉันไม่ฟัง..”
“ฟัง...คุณต้องฟัง เรายังไม่มีพันธะต่อกัน เราอาจจะรักกัน แต่งงานกัน แต่นั่นคือหลังจากที่เราสองคนมั่นใจแล้ว...ฟังอีกครั้งเราสองคน...”
ปรียากมลกัดฟันแน่น
“สองคนนะ ไม่ใช่คนเดียว ตบมือต้องสองข้าง” อัศนัยบอกจนจบ
ปรียากมลฟังแล้ว ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาทีละน้อย กดและข่มความรู้สึกอัดลงไปในอก
“รักฉันบ้างไหมอัศนัย”
“รัก”
“แค่ไหน” ปรียากมลคาดคั้น
“ตอบยังไม่ได้ไงเล่า.....ไปไปนอนเถอะ”
“แค่ไหน?” ปรียากมลจะเอาคำตอบให้ได้
อัศนัยไม่ตอบถาม เอ่ยขึ้นตัดบท “ผมไปส่ง”
ความหวั่นไหวทำให้ปรียากมลหลุดปากออกมา “เท่าที่รักดอกโศกมั้ย
อัศนัยนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 11(ต่อ)
เห็นอัศนัยนิ่ง ปรียากมลยิ่งร้อนรุ่มในใจ เดินเข้ามาดึงแขนอัศนัยแรงๆ จะเอาคำตอบให้ได้
“อึ้งทำไมตอบมาสิ”
“ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้ความหมายของคำถาม”
“ก็ง่ายๆ ฉันถามว่า คุณรักฉันเท่าที่รักดอกโศกมั้ย”
“ปรียากมลอย่าพูดเรื่องไร้สาระอย่างนี้อีก”
“อย่าพูดเลยว่าเรื่องไร้สาระ ฉันเห็นว่าคุณเห็นว่ามันมีสาระที่สุด เพราะฉนั้น ฉันจะพูด...ทำไมคุณต้องแคร์เด็กคนนี้เหลือเกิน คุณทำเหมือนเขาเป็นแฟน...เป็นกิ๊ก... เป็นเด็กเลี้ยง หรือเป็นอะไร” อัดอั้นเหลือหลายจนต้องระบายออกมาชุดใหญ่
“หยุด...อย่าพูดจาดูถูกคน ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะไม่พูดกับคุณอีกเลย”
“คุณทำอย่างนั้นกับฉันไม่ได้หรอกอัศนัย”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ไม่ได้....คุณเห็นเด็กคนนั้นดีกว่าฉันเหรอ” ปรียากมลหรือจะยอม
“ผมเล่าเรื่องดอกโศกให้คุณฟังแล้ว คุณรู้ทั้งหมดว่าผมพบดอกโศกยังไง เมื่อไหร่ คุณรู้ว่าผมสงสารแกแค่ไหน แต่คุณยังมาพูดเป็นเรื่องน่าเกลียดแบบนี้ได้ยังไง”
“ฉันไม่รู้จักเลยว่าแม่ดอกโศกคนนี้เป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร คุณไม่เคยเล่า ฉันถามคุณก็ไม่ตอบ ฉันรู้แต่ว่าคุณแคร์เขาเกินกว่าจะเป็นคนที่คุณพบเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ความรู้สึกคุณต่อเขาไม่ใช่ผู้ใหญ่กับเด็ก”
อัศนัยมองจ้องปรียากมล สองคนสบสายตาแรง
“ใช่มั้ย คุณไม่ได้รักแม่ดอกโศกดอกเศร้านี้แบบผู้ใหญ่รักเด็กเอ็นดูเด็กใช่มั้ย”
อัศนัยหันหลังกลับก้าวยาวๆ ออกไป ปรียากมลไม่ยอมให้ไป คว้าไหล่จนอัศนัยหันกลับมา
“บอกสิ บอกมาเดี๋ยวนี้นะอัศนัย”
อัศนัยปลดมือปรียากมลออกอย่างแรง “ผมไม่จำเป็นต้องบอกอะไรคุณ ผมไม่ใช่จำเลยของคุณ”
สองคนยืนจ้องหน้ากันอย่างดุเดือด ปรียากมลหายใจหอบแรงแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งก้มหน้านิ่งมีเสียงสะอื้น
“ฉันรักคุณคุณก็รักฉันไม่ใช่หรือ ฉันถามคุณแค่นี้เอง ถ้าไม่รักคุณฉันจะถามคำถามที่คุณคิดว่ามันไร้สาระอย่างนี้ทำไม”
อัศนัยส่งเสียงฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดเพราะตอบไม่ได้
“มันตอบยากนักหรืออัศนัย คุณตอบไม่ได้เพราะคำถามของฉันไม่ใช่เรื่องไร้สาระใช่มั้ย” ปรียากมลเงยหน้าถาม น้ำตาฉ่ำตาแล้ว
อัศนัยเดินมาส่งมือให้ ดึงขึ้นมายืนเคียง
“อย่าถามผมอย่างนี้อีก”
“คุณยังไม่ยอมตอบใช่มั้ย” อัศนัยเข้ามากอด สายตาปรียากมลอ่อนละมุน น่าสงสาร
อัศนัยกอดหลวมๆ “อย่ากดดันผม”
“ทำไมคุณตอบไม่ได้”
“เพราะมันไร้สาระ มันไม่น่าเป็นคำถาม”
“โอเค...” ปรียากมลกอดอย่างซุกไซ้ “ฉันนอนกับคุณนะ”
“นอนได้ แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกปรียากมล ผมสาบานเลย” น้ำเสียงจริงจัง
“คุณใจแข็งอย่างน่าอัศจรรย์มาก...ฉันแปลกใจจริงๆ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ ถ้าฉันจะได้คุณ ฉันคงต้องมอมเหล้าคุณสินะ” ปรียากมลแดกดัน
“ก็อาจจะใช่แต่บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าผมเมาเพราะเหล้าของคุณ คุณจะผูกมัดคุณไม่ได้เด็ดขาด”
ปรียากมลหัวเราะกิ๊ก “อยู่กับคุณนี่ ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่หาเสน่ห์ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่กับคนอื่น...” พูดพลางยักไหล่ “ฉันกลับห้องฉันล่ะ” เข้ามากอดคอเงยหน้าขึ้นหาอัศนัย แล้วจูบอย่างดูดดื่ม
อัศนัยไม่ขัดขืน ยืนนิ่ง มือไม้ไม่ขยับ จังหวะหนึ่งเหมือนเคลิ้มคล้อยขยับมือจะกอด แต่หยุดตัวเองไว้
“กู๊ดไนท์” ปรียากมลเดินออกห้องไป
วันต่อมา คุณนายประดับยืนมองดอกโศก ที่กำลังรดน้ำต้นไม้อย่างตั้งใจ บางขณะหันเก็บใบไม้แห้งและก้มลงหน้าติดต้นไม้เก็บตัวแมลงที่มาเกาะกินต้นไม้ด้วย
สีหน้าดอกโศกตั้งใจทำงาน และได้ยินเสียงพร่ำสอนของคุณนายประดับแว่วมา ทว่ายังชัดเจนทุกถ้อยคำ
“จะทำอะไรก็ตาม เจ้าต้องทำด้วยใจ ทำทั้งใจ อย่าสักแต่ว่าทำ แม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆ ก็ตาม”
ความอาทร ห่วงใย รักและปรารถนาดีในตัวดอกโศก ไม่ต่างจากเมื่อ 10 ปี ก่อนสมัยดอกโศกยังเป็นเด็ก
ครั้งนั้นเด็กหญิงดอกโศก รดน้ำต้นไม้ ขณะที่คุณนายประดับ สอนให้ดอกโศกพลิกใบไม้ดูตัวแมลง หรือเพลี้ยแป้งที่ยอดใบไม้
“เอาใจเขามาใส่ใจเราตลอดเวลา ถ้าเจ้าเป็นต้นไม้ เจ้าก็อยากให้เจ้าของรดน้ำเต็มที่ อยากให้เจ้าของเก็บแมลงที่กำลังกัดกินยอดอ่อนของเจ้า”
เด็กหญิงดอกโศกเก็บใบไม้ที่ถูกตัวแมลงกัดจนแหว่งวิ่น ชูให้คุณนายประดับดู ยิ้มแป้น
งานเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณนายประดับยื่นเงินให้ดอกโศกสองร้อยบาท ค่าจ้างทำงาน
“ดอกโศกเจ้าเป็นต้นไม้ที่กำลังเติบโต ถึงไม่มีใครรดน้ำหรือจับ แมลง เจ้าก็โตด้วยตัวเองได้ จำไว้นะลูก”
เป็นน้ำเสียงอาทรที่แสนคุ้นเคย ดอกโศกไหว้รับเงินมา มองดูแบงค์ใบละร้อย 2 ใบในมือแน่วนิ่ง
“ค่ะ หนูจะโตด้วยตัวของหนูเอง”
ใกล้รุ่ง เวลา ตี 4 ดอกโศกทำขนมหน้าตั้งอยู่ สมใจทำส่วนของตัวเอง แล้วหยุดมองหลานอย่างสงสาร
สมปองนั่งอ้าปากหาวแบบไม่ทำแต่ลุกมาเชียร์ หาวหวอดๆ จนสุดปาก
เสียงกรนของสมหวังและสมหมายแข่งกันดังลั่น สามคนขำๆ
วันหนึ่ง อัศนัยขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ บริเวณร้านขนมดอกโศกและยาย แล้วส่งเงินให้หมื่น หนึ่งพันหนึ่ง
“โหตั้งพันเหมาหมดใช่มั้ยครับคุณนัย” หมื่นสาระแน ตามประสา
“ไอ้บ้าเอ๊ย คิดเหรอว่าเขาจะขายให้แกคนเดียว เดี๋ยวเขาก็ว่าให้หรอกว่าสุรุ่ยสุร่าย” อัศนัยว่า
“จริง แล้วทำยังไงละฮะคุณนัย”
“ไปคิดดู ยังไงๆ ก็ซื้อให้หมดพันให้ได้”
“ซื้อหมดพันให้ได้ ก็ต้องซื้อหลายหนสิฮะคุณนัย”
อัศนัยเหล่บ่าวจอมทะลึ่ง “ไม่เคยโง่นี่”
“แฮ่ะ...ฮะ ก็แค่ไม่ฉลาดฮะ” หมื่นว่า อัศนัยส่ายหน้า
ดอกโศกกำลังขายขนมอยู่ มีลูกค้ารอซื้อรอรับอยู่หลายคน พอขายเสร็จเงยหน้าขึ้นมา พบนัยน์ตาอัศนัยที่จ้องอยู่
“แม่ค้าขนม...มีอะไรบ้างจ๊ะ”
“มีหลายอย่างค่ะ”
“เหมาหมดได้มั้ย”
“ไม่ได้ค่ะ” ดอกโศกบอก
สวนทางกับสมใจที่ตอบพร้อมกัน “ได้ค่า...”
“ยังไงกันแน่”
“เอาเลยคุณนัย” สมใจเชียร์
“ไม่ได้จ้ะยาย ลูกค้าคนอื่นจะได้ทานบ้าง อีกอย่างซื้อหมดนี่มัน...สุรุ่ยสุร่าย”
อัศนัยรอพูดพร้อมดอกโศก “สุรุ่ยสุร่าย”
หมื่นเดินยิ้มเข้ามา “คุณหนู....ซื้อหนม”
ดอกโศกท้วงทันที “พี่หมื่นอย่าเรียกหนูว่าคุณหนู...หนูขอร้อง”
“ใครขอร้องนะครับ” หมื่นยอกย้อน
“หนู” ดอกโศกบอก ไม่ทันคิด
“อ้าว ก็หนูขอร้อง ผมเรียกคุณหนูก็ถูกแล้วนี่ครับ”
ระหว่างนั้นบรรดาคนที่หมื่นไปจ้างให้มาซื้อขนมเมื่อครู่ เดินดาหน้าเข้ามาแล้ว ปฏิบัติเหมายกร้านเริ่มขึ้น
แต่ละคนมาถึงก็ทำหน้าที่ขันแข็ง
“เอาทุกอย่าง อย่างละหนึ่ง” คนแรกเริ่มทันที
“อย่างละหนึ่งห่อ... ทุกอย่าง” อีกคนบอก
คนที่ 3 “หนึ่ง....” ชูมือ แล้วบอก “ทุกอย่าง”
คนที่ 4 บอกไม่รอช้า “ด้วย”
ดอกโศกมอง
คนที่ 5“ทุกอย่าง...อย่างละหนึ่ง”
ดอกโศกกับสมใจ มองไป เห็นเข้าแถวรอคิวซื้ออยู่อีกหลายคน
“พวกนั้น...เอาอะไรมั่ง...เหมือนกันป๊ะ”
ทุกคนประสานเสียง “เหมือนกัน...ทุกอย่างๆ ละหนึ่ง”
ดอกโศกนึกรู้ทันที หันขวับมาทางอัศนัย ที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่...ความแตก “คุณนัย”
หลังจากนั้นไม่นาน สองคนเดินมาที่ริมน้ำ ดอกโศกถือหนังสือเรียนในมือ
ดอกโศกเอ่ยขอร้องออกมา “อย่าทำอีกนะคะ”
อัศนัยไขสือ “ทำอะไร”
ดอกโศกมอง ค้อนนิดๆ “ยังจะถาม”
“ดอกโศก...คุณนัยพูดจริงๆ จากหัวใจเลยนะ”
ดอกโศกตอบอย่างรู้ทัน “ไม่อยากให้ดอกโศกขายขนม”
“คุณนัยรู้ว่าดอกโศกจะพูดเรื่องเป็นอิสระ อยากทำชีวิตให้มีประโยชน์...มีค่า อยากช่วยยาย หรืออีกหลายๆเหตุผล แต่ขอให้ดอกโศกเอนทรานซ์ก่อนได้มั้ย คุณนัยเป็นห่วงกลัวสอบไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” ดอกโศกบอกเสียงเบา
“รู้ว่าเก่ง แต่...”
“ไม่ใช่ค่ะ เพราะดอกโศกจะไม่เอนทรานซ์”
อัศนัยนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่เคยคิดเรื่องนี้ “ไม่ได้”
ดอกโศกถอนหายใจ “ไม่ใช่ค่ะ”
อัศนัยสวนคำออกมา “อย่าคิดเลยเรื่องไม่เอนทรานซ์ คุณนัยไม่มีวันยอม”
“ไม่เอนทรานซ์แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เรียนมหาวิทยาลัย” ดอกโศกแจง
“หมายความว่าไง จะเรียนมหาวิทยาลัยเปิดงั้นเหรอ”
“ค่ะ ดอกโศกจะเรียนรามหรือไม่ก็สุโขทัย” น้ำเสียงจริงจังของดอกโศกบอกให้รู้ว่าคิดมาดีแล้ว
อัศนัยนิ่ง ตรึกตรองอยู่สักครู่หนึ่ง “เหตุผล”
“ดอกโศกกลัวเหมือนคุณนัยกลัว กลัวสอบไม่ได้”
“หยุดขายขนมไปเรียนกวดวิชา สอบให้ได้ก่อน” อัศนัยบอก
“ไม่ค่ะ”
อัศนัยถอนใจ หมั่นไส้จนอยากจับตัวเขย่านัก
อัศนัยพูดด้วยน้ำเสียงจับได้ว่าเริ่มมีอารมณ์
“พอเสียทีเถอะ เรื่องดื้อรั้นไม่ฟังใครเลยอย่างนี้ เห็นความหวังดีของคนอื่นบ้าง”
ดอกโศกนิ่งเงียบ
“เห็นมั้ย...เห็นว่าคุณนัยหวังดีมั้ย” น้ำเสียงเจือความน้อยใจนิดๆ
“ทำไมถึงคิดว่าดอกโศกไม่เห็น”
“อย่างนี้หรือเห็นพูดอะไรเคยฟังบ้างมั้ย ฮึ ดอกโศก...รู้มั้ยว่าฉันเสียใจตลอดมาหลายครั้งหลายหนแล้วที่เธอไม่ฟังฉันเลย...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฉันไม่มีความหมายกับเธอ ไม่มีฉันเธอก็ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไร ฉันสิฉันไม่มีเธอฉันไม่รู้จะอยู่ยังไง” อัศนัยพรุ่งพรูคำพูดออกมาเหมือนสายน้ำไหล...โดยไม่รู้ตัว
ดอกโศกตะลึง
“พอกันที...โตแล้วไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยว...ก็ได้”
อัศนัยหันหลังกลับเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกยังยืนนิ่งอึ้ง
อัศนัยขึ้นรถ ปิดประตูดังปังด้วยอารมณ์แรง สตาร์ทรถ เข้าเกียร์แล้ว ดอกโศกเปิดประตูขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ดึงเข็มขัดมาคาด เป็นการแสดงให้รู้ว่าจะไปด้วย
อัศนัยมองไปข้างหน้า สีหน้ายังเครียดจัด
สักครู่หนึ่งดอกโศกหันมาไหว้ที่แขน อัศนัยหน้าคลายความเครียดลงไปบ้าง
ค่ำแล้ว อัศนัยขับรถมาเรื่อยๆ ผ่านบริเวณพระบรมรูปทรงม้า และหลายสถานที่ ที่อวดความงามในยามค่ำคืนสวยคืนนี้ มาถึงบริเวณท้องสนามหลวง ในมุมที่แลเห็นพระบรมมหาราชวัง
รถแล่นเข้ามาจอดนิ่งข้างถนน สีหน้าอัศนัยเวลานี้ฉายชัดว่า ข่มอารมณ์จนสงบลงเรียบร้อยแล้ว
อัศนัยหันมาทางดอกโศก “เคยมาแถวนี้เวลากลางคืนมั้ย”
“ไม่เคยค่ะ.....สวย”
“ขอลงไปเดินสักครู่ โทร.บอกปองว่า...จะพาไปส่งค่ำหน่อยประมาณสองทุ่ม”
“ค่ะ”
อัศนัยกับดอกโศกลงรถเดินมา ใกล้ๆ นั้น มีเก้าอี้นั่ง อัศนัยเดินมาสีหน้าท่าทางครุ่นคิดตรึกตรอง ขณะที่ดอกโศกกำลังโทรศัพท์อยู่ด้านหลัง
ดอกโศกเดินมาถึงตัว “น้าปองวิ่งรถอยู่แถวนี้”
“อ้อ ก็เลยบอกให้มารับ” เสียงอัศนัยมีอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว
“เปล่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ ทำไมไม่บอก” ประชดประชันชัดเจน
“ก็....มากับคุณนัย ต้องกลับกับคุณนัย”
“ไม่จำเป็น”
“จำเป็นค่ะ”
“จำเป็นยังไง ไม่ทำอะไรๆ ตั้งหลายอย่างที่มันจำเป็น ไม่ทำอีกอย่างจะแปลกอะไร”
“ดอกโศกขอโทษคุณนัย ต่อไปนี้จะไม่ดื้อกับคุณนัยอีกจะทำทุกอย่างที่คุณนัยบอกให้ทำ แต่ดอกโศกหวังว่าคุณนัยจะเข้าใจความจำเป็นของดอกโศก ก่อนที่จะสั่งให้ทำอะไร”
“อ้อ งั้นก็หมายความว่าที่ปฏิเสธไม่ยอมทำอะไรๆ ตั้งหลายอย่างตั้งแต่โตขึ้นมานี่ เพราะเห็นว่าฉันไม่มีความคิดใช่มั้ยที่ไปขอให้เธอทำอย่างนั้น” อัศนัยของขึ้น ปรี๊ดเต็มที่
“คุณนัยโกรธอีกแล้ว”
“เธอมาเป็นฉันมั้ย แล้วจะรู้ว่าทำไมฉันถึงโกรธ” เดินห่างออกไป อัศนัยพยายามระงับอารมณ์ตัวเองยามนี้
ดอกโศกยืนนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
อัศนัยเดินกลับมา คำพูดพรุ่งพรูออกมา โกรธมาก “ทำไมที่ฉันขอให้เธอไปเรียนพิเศษเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันผิดมากนักเหรอ หรือที่ฉันขอให้เธอไปอยู่บ้านฉันมันไม่ดียังไงในเมื่อฉันหวังดีเธอจะได้เรียนหนังสือให้เต็มที่ ตอนนั้นจะต้องใช้เงินช่วยป้อมเหมือนกันไม่ยอมท่าเดียว ค่าเล่าเรียนอีกทำไมฉันจะช่วยเธอถึงไม่รับ แล้วเวลานี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าทุกอย่างที่ฉันเสนอให้นั้นเธอมองว่าฉันไม่มีความคิด”
ร่างดอกโศกสั่นสะท้าน ที่เห็นอัศนัยโกรธ “คุณนัย...จะฟังดอกโศกมั้ยคะ”
อัศนัยหยุดชะงัก อยากพูดอะไรอีก แต่ต้องหยุด “ก็พูดมาสิ”
“ที่ดอกโศกไม่รับความเมตตาของคุณนัย ไม่ได้หมายความว่าคุณนัยไม่ได้ให้ คุณนัยให้แล้วให้ทั้งหมดดอกโศกรับอยู่ในใจแล้วค่ะ” ดอกโศกยกมือแตะที่หัวใจตัวเอง “ทุกอย่างอยู่ในนี้”
“ฉันไม่เข้าใจอย่าพูดอะไรให้เข้าใจยากเลยฉันตามไม่ทัน”
“ดอกโศกไม่อยากเป็นคนที่รับของคุณนัยทุกอย่าง อะไรๆ ก็แบมือขอคุณนัย อยากช่วยตัวเองจนถึงที่สุดก่อน”
“จะอะไรกันนักหนาผู้ใหญ่ช่วย เราเป็นเด็ก” อัศนัยพูดในมุมตน
“ดอกโศกเป็นคนจน เป็นคนไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย เป็นคนไร้ค่าจริงๆ คนเขามองคนจนเหมือนเศษขยะ แต่ถ้าเราแบมือรับทุกอย่างที่คนให้เรา จะยิ่งกว่าเศษขยะ” น้ำเสียงดอกโศกแน่วนิ่งนัก
อัศนัยนิ่งงันไป
“ดอกโศกอยากเป็นคนมีศักดิ์ศรีค่ะ เพราะไม่อยากให้ใครมาดูถูก ดอกโศกต้องไม่ดูถูกตัวเอง”
อัศนัยครางออกมาเบาๆ “ดอกโศก”
“เชื่อนะคะ ว่าความเมตตาของคุณนัยอยู่ในใจทุกอย่าง ดอกโศกจะไม่ลืมตลอดชีวิต”
อัศนัยพูดไม่ออก เหมือนถูกแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ
“กลับบ้าน”
อัศนัยวางมือบนบ่าดอกโศก กอดไว้หลวมๆ พาเดินไปทีรถ
ภายในรถ สองคนนั่งนิ่งๆ ต่างใช้ความคิด
แล้วอัศนัยก็โน้มตัวเอื้อมมือมาคาดเข็มขัดให้ดอกโศก เตรียมจะสตาร์ทรถ
“ดอกโศกจะช่วยตัวเองเรื่องเรียนให้มากที่สุดก่อน เรียนรามหรือสุโขทัย จะมีเวลาทำงานหาเงินเรียนด้วย ถ้าหาไม่พอจะขอคุณนัย ดอกโศกสัญญาว่าจะไม่...”
อัศนัยหันมาแตะนิ้วที่ปากดอกโศก
สองหัวใจมองนัยน์ตาสบกันนิ่ง ใบหน้าอยู่ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจกันและกัน สายตาดอกโศกเผยความในใจจนหมดสิ้น
อัศนัยจูบแผ่วๆ ที่แก้มสวย ดอกโศกหลับตา อัศนัยจูบนิ่งอยู่สักครู่
อัศนัยถอนจูบ นั่งพิงพนัก รู้สึกตัวตกใจในการกระทำของตัวเอง อัศนัยหันไปสองมือจับมือดอกโศกไว้มั่น
“ดอกโศก คุณนัยขอโทษ”
พูดไม่ทันจบคำ ดอกโศกพลิกมืออัศนัย แล้วยกขึ้นแนบแก้มแต่ไม่สบตา แสดงความรักด้วยกิริยานั้น
อัศนัยหัวใจแทบละลาย ความรักความผูกพันแต่เก่าก่อนพลุ่งขึ้นมาจนล้นอก
อัศนัยก้มลงจูบมือดอกโศกเบาๆ แล้วไล่เลื่อนไปที่ปลายนิ้ว จูบนิ่งๆ อยู่สักครู่ แล้วค่อยๆ เลื่อนไปที่แก้มใกล้ปาก
“ดอกโศก.....ดอกโศกของคุณนัย” อัศนัยกระซิบเสียงเบาหวิว
สองมืออัศนัยประคองใบหน้าดอกโศกไว้ มองจ้องเข้าไปในดวงตา ดอกโศกสบตา
อัศนัยดึงดอกโศกมาแนบอกอย่างนุ่มนวล และทะนุถนอม ดอกโศกหลับตา สักครู่น้ำตาก็หยดที่ปลายตา สะอื้นแผ่วๆ อัศนัยรับรู้ว่าดอกโศกร้องไห้ แม้ว่าจะไม่เห็น
“ร้องไห้ทำไม”
ดอกโศกส่ายหน้า พยายามเบือนหนี แต่อัศนัยยึดไว้ อัศนัยไล้เช็ดน้ำตาให้ด้วยหลังมือ
“หือม์..” ถามซ้ำเสียงนุ่ม
ดอกโศกยังส่ายหน้า และพยายามหลบ อัศนัยหัวเราะเบาๆ พิงพนัก สีหน้ายังยิ้มน้อยๆ
ดอกโศกค้อนนิดๆ แล้วขยับตัวห่างออกมา อัศนัย จับแขนทันท่วงที ดอกโศกไม่ยอม ดึงตัวไป
“จะหนีไปไหน”
ดอกโศกขืนตัวนิดๆ
อัศนัยชะโงกหน้าเข้าไปจนใกล้ “คิดเหรอว่าจะหนีพ้น”
ภายในห้องวาดรูปที่บ้านอัศนัย
อัศนัยยังอยู่กิริยาเดียวกับที่ในรถ คือหน้าใกล้ดอกโศกที่นั่งเบนๆ หน้าหนี ทำให้อัศนัยยิ่งรุกเข้าไปมากขึ้น
“คุณนัย....” ดอกโศกพูดเสียงแผ่วมาก
“ยังไม่ตอบคำถาม....หนีคุณนัยพ้นเหรอ” อัศนัยคาดคั้น
“พ้นค่ะ”
“เชื่อว่าหนีพ้นถ้าอยากหนี แต่ไม่พ้นเพราะไม่อยากหนี”
ดอกโศกตวัดตาค้อนนิดๆ
“ว่าไง...อยากหนีคุณนัยรึเปล่า”
ดอกโศกส่ายหน้าไม่ยอมสบตา
“ไม่อยาก...” อัศนัยจับคางเชยขึ้น “ตอบสิ...”
ดอกโศกส่ายหน้า อัศนัย หัวเราะดัง สุขใจนัก ดอกโศกมองตาคว่ำ
“เออ....อายเป็นหรือนี่” อัศนัยขำ
ดอกโศกขยับตัว แต่ถูกอัศนัยจับตัวให้นั่งนิ่งๆ เพื่อจัดท่าให้
“อยู่เฉยๆ นะ คุณนัยจะวาดรูปดอกโศก จะเป็นรูปแรกที่ดอกโศกนั่งเป็นแบบให้คุณนัยวาด”
“ก็ไม่เคยขอ” ดอกโศกว่า
“เค๊ย” อัศนัยเสียงสูง
“ไม่เคย”
“นี่ไง....กำลังขอ”
“ฮึ” ดอกโศกค้อนแต่ยิ้มขำ
อัศนัยจับตัวจัดท่าให้เหมาะเจาะ แล้วเดินกลับมาที่เก้าอี้วาด หยิบโทรศัพท์หมุน พูดเสียงเบาๆ “ปอง อยู่ไหน...ถึงบ้านแล้วเหรอ จะพาดอกโศกไปส่งสักสามทุ่มนะ”
อัศนัยกดวางสาน เดินมาหยิบดินสอร่าง เล็ง แล้วลงมือ มองไปมองมาสักครู่ เดินมาที่ดอกโศกแตะหน้าให้อยู่ในองศาหนึ่ง
อัศนัยก้มลงพูดใกล้ๆ “ทำหน้าอย่างเมื่อกี้ได้มั้ย”
“อย่างไหนคะ”
“ในรถ...หน้าของคนกำลังรัก”
“เอ๊ะ..” ดอกโศกงงงวย
“คิดถึงคุณนัยนะ... คิดถึงอย่างที่คิดถึงคุณนัยเมื่อกี้”
ได้ฟังแล้วสีหน้าดอกโศก เปลี่ยนเป็นคนที่ตกอยู่ในห้วงรักอย่างลึกซึ้ง
อัศนัยร่างภาพอย่างคล่องแคล่ว สีหน้าดอกโศกยามนี้ เผยความรู้สึกผ่านสายตา เสมือนเป็นหน้าต่างหัวใจ หวานปนเศร้านิดๆ แต่รักเต็มหัวใจ
เป็นร่างรูปของดอกโศกที่เห็นเค้าๆ แล้ว อัศนัยถือดินสอนิ่ง มองดอกโศกนิ่งอยู่
ดอกโศกเหมือนอยู่ในภวังค์ อัศนัยเดินมาคุกเข่าตรงหน้า เงยหน้ามองดอกโศกที่ก้มลงมอง
อัศนัยเผยอตัวขึ้นไปหาดอกโศก สองมือประคองใบหน้า มองสบตานิ่ง
สองคนไม่รู้ว่าเวลานั้น ปรียากมลยืนมองผ่านหน้าเข้ามา สายตาเข้ม...เครียดจัด แล้วหันหลังกลับ เดินออกจากตัวบ้าน ออกประตูบ้านไป
สีหน้านั้นเยียบเย็น สายตาเป็นประกาย ราวกับนางเสือที่หวงคู่ของมัน
สองคนเดินกลับเข้าบ้าน อัศนัยเดินมาส่งพลางชำเลืองดูดอกโศกตลอดเวลา ดอกโศก รู้ตัวว่าถูกมอง เดินๆ ไปสักครู่...หยุด
“หยุดทำไม” อัศนัยสงสัย
“คุณนัยมอง ดอกโศกเดินไม่ถูก”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ มองอย่างเอ็นดูจัด ดอกโศกก้มหน้าเขิน
“ไป...ไป ไม่มองแล้ว..เอ้า..หน้าเดิน”
อัศนัยกับดอกโศกเดินเคียงมาด้วยกัน ไม่จูงมือต่างคนต่างเดิน สมปองมองอยู่ สองคนเดินมาจนถึงสมปองที่คอยอยู่
“น้าปองมาคอยหนูเหรอ นี่ยังไม่สามทุ่มเลยนะจ๊ะ”
“เปล่าค้อย...เดินเล่น” สมปองเสียงสูง
ดอกโศกจ้อง อัศนัยก็จ้อง สมปองเลยเก้อๆ “เอ๊า...จ้องอะไรเหรอ...ไปไหนกันมา”
“ไปบ้านคุณนัย” ดอกโศกตอบ
“ฮ้า...ไปทำไมกลับจนดึกไปทำอะไรกัน” สมปองพูดสิ่งที่กำลังคิด
“ปอง...ปอง” อัศนัยเรียกน้ำเสียงปรามอยู่ในที
“อะไรเหรอฮะ” สมปองถาม
“ถามอย่างนี้จะให้ตอบว่าไง”
“เปล่าฮะ....แฮ่ะ...ไม่ตอบก็ได้ฮะ”
“ฉันพาดอกโศกไปทานข้าว แล้วฉันก็วาดรูปดอกโศก”
“อุ๊ย คุณนัยเมื่อไหร่จะวาดรูปผมมั่งฮะ” สมปองคึกคักขึ้นมา
“อยากเป็นนักเหรอ ...ทอมน่ะ พยายามจริ๊ง” อัศนัยแซวคืน
“ขนาดว่าทำท่าเป็นยังโดนแทบตาย ถ้าไม่ทำท่าว่าเป็นมีหวังโดนฆ่า ข่มขืนเรียบร้อย”
ดอกโศกสวนคำ เสียงไม่ชอบใจเลย “น้าปอง...พูดเล่นแบบนี้อีกแล้วหนูไม่ชอบเลย”
“เรื่องจริงโศก อย่าหนีความจริงไปได้ไง คนจ้องข่มขืนผู้หญิงมีเต็มบ้านเต็มเมือง น้าวิ่งรถกะดึกๆ ด้วย..ไป..กลับบ้าน ยายชะเง้อแล้วมั่ง” พูดจบสมปองก็เดินห่างออกไป
ดอกโศกหันมาไหว้ลาอัศนัย อัศนัยแตะมือที่ไหว้อย่างแผ่วเบา “เดินดีๆ”
“ค่ะ” ดอกโศกดึงมือออก
อัศนัยจับมือรั้งไว้ก่อน “เดี๋ยว”
“คะ?”
“คุณนัยคงจะคิดถึงดอกโศกทั้งคืน”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำอุบอิบ
“ดอกโศกล่ะ”
ดอกโศกอึกอัก “เอ่อ...”
“หือม์”
“ยังไม่ทราบค่ะ”
“ทำไมล่ะ...ต้องรู้สิ” อัศนัยซักไซ้
“ยังไม่เช้านี่คะ” ดอกโศกว่า
อัศนัยจับปลายจมูกดอกโศกสั่นนิดๆ “นึกแล้วไม่มีผิด ดอกโศกตัวจริง”
ดอกโศกหัวเราะเสียงหวาน
“คุณนัยเดินไปส่งนะ”
“ไม่ต้องค่ะ...เดินไปเอง”
“พรุ่งนี้คุณนัยจะมาหาตอนขายขนมเสร็จ”
“พรุ่งนี้ดอกโศกทำงานที่บ้านคุณนาย”
“คุณนัยจะไปรับ”
ดอกโศกรับคำ “ค่ะ”
“O.K. เดินดีๆ คุณนัยจะยืนคอยครงนี้นะ”
ดอกโศกยิ้มหวานให้ “ค่ะ”
อัศนัยขยับตัวเข้าไป มองรอยยิ้มหวานซึ้งนั้นอย่างลืมตัว ดอกโศกเขินจัดเดินหนีไปทันที
อัศนัยหัวเราะเบาๆ ยืนมองตาม และกำลังจะหันหลังกลับ!
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.
ดอกโศก ตอนที่ 11 (ต่อ)
เป็นอีกคราครั้งที่ป้อมสร้างปัญหาให้ชีวิตดอกโศกยุ่งยากมากขึ้นไปอีก เมื่อในเวลาเดียวกันนั้นป้อมวิ่งหนีโครมครามมา ดอกโศกหันไปเห็น ยิ่งตกใจเมื่อเห็นเป็นอ๊อด นักเลงหัวโจกในซอยบ้านวิ่งไล่ตามมาติดๆ
“ป้อม”
อ๊อดจะตามป้อม ดอกโศกขวางไว้ เกิดการโต้เถียง ถาม กันไปมา
“เฮ้ย...หลีกไปนังโศก”
ดอกโศกถามทันที “เรื่องอะไรเนี่ย”
“ไอ้ป้อมมันเบี้ยวชั้น”
“เบี้ยวเรื่องอะไร”
“เถอะน่าแกไม่ต้องรู้หรอก”
“บอกเถอะฉันช่วยป้อมได้”
“โธ่เอ้ย” นักเลงอ๊อดปัดตัวโศกจนร่างกระเด็นไป แล้ววิ่งตามป้อม
“ดอกโศก” อัศนัยรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง
แต่ไม่ทัน ดอกโศกลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเรียกป้อม...แล้ววิ่งตามนักเลงชื่ออ๊อดไป สมปองได้ยินเสียงเอะเอะวิ่งกลับมาก็วิ่งตามไปด้วย
นักเลงอ๊อดต่อยป้อมโครมใหญ่ เหวี่ยงร่างป้อมกระเด็น แล้วตามไปกระทืบซ้ำอีกทีอย่างแรง จากนั้นนักเลงก็วิ่งหนีไป
“ป้อม” ดอกโศกเข้าไปประคอง
“ไอ้อ๊อด...มึง” สมปองโผนทะยานตามไป
“น้าปอง...อย่าตาม” ดอกโศกร้องห้าม
มีเสียงดังผลัวะ ตามด้วยเสียงสมปองร้องดัง โอ๊ย ดอกโศกมองตามเห็นสมปองเดินกลับคลำแก้มมาเลย
“น้าปอง”
“มันตบ ไม่เป็นไร...ไม่เจ็บ..อูย” สมปองบอก น้ำเสียงเคืองแค้น
ดอกโศกช้อนร่างป้อมขึ้นมานอนตัก ป้อมตาลาย เกือบไม่ได้สติแล้ว
“ป้อม...ป้อม...ไปหาหมอนะ”
“ไม่..ต้อง” ป้อมปฏิเสธ
“เจ็บมากมั้ยป้อม”
อัศนัยมาถึง มองดอกโศก นัยน์ตาเห็นแววหวั่นไหวนิดหน่อย
“คุณนัย...ช่วยป้อมด้วยค่ะ..ช่วยด้วย”
สีหน้าอัศนัยมีแววอึดอัด แต่แค่พริบตา “ไปหาหมอเถอะ”
ไม่นานหลังจากนั้น ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดอกโศกอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของป้อมที่ทำแผลมาแล้ว และกำลังลงนอนบนเตียงผู้ป่วย อัศนัยกับสมปอง ยืนคอยอยู่หน้าห้อง ไกลออกมาหน่อย
“ป้อม...ทำไมมีเรื่องอีกล่ะ ไหนสัญญาแล้วไง”
“ไม่ได้ผิดสัญญาเลยโศก”
“แล้วทำไม”
ป้อมไม่ตอบนิ่งอึ้งไป
“ทำไม เขาถึงมาซ้อมเอาล่ะ
“เพราะว่า....มันว่าป้อมไปแย่งแฟนมัน”
“แย่งรึเปล่าล่ะ”
“เปล่า...ไม่ได้แย่งจริงๆ ไม่ได้ยุ่งด้วยเลย”
อัศนัยได้ยิน หันมามองทันที มองอย่างเพ่งเล็ง
สมปองบ่นพึมพำ “นังนุ้ยมันชอบไอ้ป้อม”
“ใคร” อัศนัยถามสมปอง
“เมียไอ้อ๊อด”
“เค้ายุ่งกะป้อมได้เพราะป้อมไม่ได้ปฏิเสธใช่มั้ยล่ะ” ดอกโศกรู้จักเพื่อนรักคนเดียวในชีวิตดี
“ไม่...ไม่เคย ไม่เคยรักใครเลย” ป้อมจ้องหน้าดอกโศกนิ่งๆ
อัศนัยเพ่งมอง สายตาระแวง
“นอนพักแล้วกัน...กินยาซะด้วย พรุ่งนี้มาดูใหม่”
ดอกโศกลุกขึ้นมา อัศนัยคอยอยู่
“โศกรีบไปเถอะยายคอยอยู่”
ดอกโศกไหว้อัศนัย “ขอบคุณนะคะ” หันไปมองป้อมอีกครั้ง
ภายในใจอัศนัยหวั่นไหวขึ้นมา คว้าแขนดอกโศกอย่างแรง ส่งตัวให้สมปองไป แล้วตัวเองเดินจากไปทันที
ดอกโศกหันมามอง สีหน้างง สายตาสงสัย
ปรียากมลกลับมาที่คอนโด นั่งซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ตัวใหญ่ ซุกร่างลงแทบจะหายเข้าไปในโซฟา ไหล่ห่อ มือกุมขมับ ท่าทีเศร้าสร้อย
แต่สีหน้านั้นฉายชัดว่า จะไม่มีวันยอมแพ้นังเด็กกะโปโลนั่นแน่ๆ!!
ภาพอัศนัยกับดอกโศกที่เห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน กระแทกใจอย่างรุนแรง ปรียากมลกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว วางแก้วอย่างแรงระบายความรู้สึก
ปรียากมลเดินไปเดินมา มือถือแก้วเหล้า แต่แล้วกลับนั่งลงแรงๆ เหวี่ยงหมอนที่วางอยู่ตรงนั้นไปสุดแรง ยกขาข้างหนึ่งชันเข่าบนเก้าอี้ กิริยาเริ่มออกแบบชาวบ้าน!
ปรียากมลนั่งเก้าอี้สภาพเริ่มเมาเล็กๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“ฮัลโหล” ปรียากมลเริ่มพูดอ้อแอ้นิดๆ “นี่คุณตระกูล ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเป็นคนโทร...ไม่ใช่คุณ” กดปิด แล้วขว้างโทรศัพท์ไปแรงๆ หงุดหงิดปนฉุน และพาล
ปรียากมลนอนซบตัว สะอื้นออกมาอย่างแรง
เวลาเดียวกันดอกโศกนอนคว่ำ หน้าแนบหมอน ยังไม่หลับ สมปองนอนเงียบๆ นัยน์ตาดอกโศกวาววับเหมือนแสงดาว สักครู่เดียว ภาพปรียากมลจูบอัศนัย แวบขึ้นมาในมโนนึก
สีหน้าดอกโศกสลดลง ความสงสัยปะทุว่าจริงๆ แล้วระหว่างอัศนัยกับปรียากมลคือความสัมพันธ์อะไรกันแน่
ดอกโศกมาทำงานที่บ้านคุณนายประดับในวันรุ่งขึ้น เวลานั้นดอกโศกกวาดใบไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ รวดเร็ว พอเสร็จก็หันไปรดน้ำต้นไม้ ไม่นานก็เห็นดอกโศกม้วนสายยางเก็บ
“ดอกโศก นี่น้ำหมักชีวภาพ ผสมสองฝากับน้ำถังหนึ่ง แล้วเข้าเอาไปรดต้นไม้ใบแถบนี้ก่อน” คุณนายประดับบอก พลางชี้ไปที่ต้นไม้ทางหนึ่ง “ต้องค่อยๆ ทำไปทีละส่วนนะ”
ดอกโศกรับถังน้ำชีวภาพ ระหว่างนั้นมืออัศนัย เอื้อมมารับถังน้ำที่ค่อนข้างหนักนั้น
“เอ๊า...มาเมื่อไหร่เนี่ยพ่อคุณ” คุณนายประดับทักทาย
อัศนัยไหว้ “ผมช่วยน่ะครับ”
“ไม่ต้องค่ะ” ดอกโศกว่า
“คุณนัยช่วยคุณนาย ไม่ได้ช่วยดอกโศกนี่”
คุณนายประดับพาตัวเองมาอยู่ในห้องรับแขกในบ้าน มองออกไป พิศวงเล็กๆ ในความสัมพันธ์
ระหว่างนั้น อัศนัยกำลังช่วยดอกโศกรดน้ำหมักชีวภาพ รดลงตรงโคนไม้ประดับใบสวยๆ คุณนายประดับเพ่งมอง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
อัศนัยรดน้ำแล้วพูดเย้าแหย่ ดอกโศกอายนิดๆ ก้มหน้า ส่ายหน้า เมื่ออัศนัยพูดอะไรบางอย่าง
ถึงตรงนี้คุณนายประดับเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างไร
อัศนัยรดน้ำเรื่อยไป เดินลับสายตาคุณนายประดับแล้ว ดอกโศกก้มๆ เงยๆ ดูตัวแมลง รู้ตัวอีกที ก็ถูกกอดจนเต็มอ้อม
“คุณนัยเดี๋ยวคุณนายเห็นค่ะ”
อัศนัยอ้าง “ต้นนี่บังอยู่ทั้งต้น”
“ดอกโศกจะไปตรงโน้น”
“ไม่ให้ไป...ตรงนั้นไม่มีอะไรบัง...คุณนายเห็นชัดแจ๋ว”
“อ้อ ชอบทำอะไรลับหลัง”
อัศนัยหมั่นไส้ จับจมูกสั่นยี “อีกแล้ว ว่าคุณนัยอีกแล้ว ต้องทำโทษ”
“ถ้าคุณนัยทำโทษดอกโศกคุณนัยก็มีโทษเหมือนกัน คุณนายจะทำโทษคุณนัย”
อัศนัยหัวเราะชอบใจ “เมื่อไหร่จะตามดอกโศกทันน้อ..”
“ตามทันตั้งนานแล้ว...ไม่ตามเอง” ดอกโศกยิ้มนิดๆ
“จริงหรือ?”
ดอกโศกถามตามใจสั่ง “มัวแต่ไปตามใคร”
“ไม่ตามใคร...ตามดอกโศกคนเดียว”
“ไม่จริงค่ะ”
“จริง...จริงอย่างแน่นอน” ในสีหน้าที่ยิ้มพรายน้ำเสียงอัศนัยจริงจังนัก
ดอกโศกมองลึกเข้าไปในดวงตาอัศนัย สายตาค้นหาความจริง อัศนัยมองสบตา บอกด้วยสายตา
อัศนัยย้ำ “คุณนัยมีดอกโศกคนเดียว”
ดอกโศกตัดสินใจถามตรงตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “คุณปรียากมลล่ะคะ”
สายตาอัศนัยและสีหน้ามั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงเลย “ไม่มีปรียากมลอีกแล้ว ต่อไปมีแต่ดอกโศกเท่านั้น
“ถ้าดอกโศกถามคุณปรียากมลจะได้คำตอบเดียวกันมั้ยคะ”
“ถามคุณนัยคนเดียวก็พอคุณนัยตอบอย่างนี้แล้วยังจะหาคำตอบจากใครอีก”
ดอกโศกนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “ค่ะ”
“หมายความว่ายังไง...ค่ะ”
“ดอกโศกเชื่อคุณนัยค่ะ” พูดพลางก้มหน้า
อัศนัยแตะเชยคางดอกโศกเบาๆ ให้เงยขึ้นมองหน้า และจูบแก้มเบาๆ โดยไม่สวมกอดไม่แตะต้องตัว แค่ชะโงกหน้าไปจูบ
“ชื่นใจ...” อัศนัยพูดนัยน์ตาพราว
ในบ้านคุณนายประดับ ดอกโศกไหว้รับเงิน สีหน้ายังอิ่มสุข
“ออกจากนี่กลับบ้านเลยใช่มั้ย” คุณนายประดับถามดอกโศก แต่มองหน้าอัศนัย มีความหมายเป็นเชิงว่าอย่าพาดอกโศกไปไกล
“ครับ” อัศนัยรับคำ
“ขอแวะซื้อของนะคะ”
คุณนายประดับเป็นห่วงไม่หาย “ซื้ออะไรอีก ทำไมไม่รีบกลับไปหายาย”
“ซื้อของใส่บาตรให้คุณตาค่ะ”
เช้าตรู่วันต่อมา อัศนัยวิ่งลงบันไดรวดเร็ว เรียกเสียงดัง
“หมื่น....ไอ้หมื่น” หมื่นวิ่งลงมา
“เอารถออก”
“คุณนัยจะไปไหนแต่เช้าคะ ยังไม่หกโมงเลย ทำไมแต่งตัวอย่างนั้นไม่ไปทำงานหรือ” หมื่นวิ่งออกไป
“เดี๋ยวกลับมาแต่ง...ไอ้หมื่น” ตะโกนเรียก...ให้ไว
ที่แท้อัศนัยกำลังช่วยดอกโศกใส่บาตร พระรูปเดียว อัศนัยจงใจหยิบของคู่กับดอกโศก ใส่บาตรพระ
ชำเลืองมองดอกโศกตลอดเวลา
พระให้พรเบาๆ แล้วไป
อัศนัยเก็บของ พูดลอยๆ “ใส่บาตรด้วยไปตลอดชีวิตได้มั้ย”
“ดอกโศกไปทำขนมต่อ”
“ได้มั้ย ทำไมไม่ตอบ” อัศนัยคาดคั้น
“ถ้าไม่ได้ดอกโศกก็ตอบไปแล้วสิคะว่าไม่ได้” เดินหนีไปทันที
อัศนัยพูดตามหลัง “ดอกโศกตัวจริงแฮะ”
เวลาต่อมาอัศนัยผิวปากเบาๆ ถือกุญแจรถก้าวออกมา โยนกุญแจลอยละลิ่วให้หมื่น ที่วิ่งเลิ่กลั่กออกมาจากข้างในอย่างแม่นยำ หันมาแล้วต้องชะงักกึก หน้าเสียเหมือนกัน
เห็นปรียากมลนั่งคอย สีหน้าเคร่งขรึม อัศนัยเห็นแล้วรู้เลยว่าปรียากมลรู้แล้ว
“ไปไหนมา” ปรียากมลถามทั้งที่รู้
“ไป...ธุระ”
“ธุระอะไรแต่เช้าขนาดนี้”
“อะไรกันคุณธุระเขามีเวลาเฉพาะด้วยหรือ”
“งั้นก็บอกมาสิว่าคุณไปทำธุระอะไร...กับใคร?”
นอกจากไม่ยอมตอบ อัศนัยยังเดินหลีกปรียากมล ขึ้นบันไดเร็วรี่
ปรียากลมวิ่งตามทันที ดึงแขนอัศนัยอย่างแรง อัศนัยหันกลับมายืนเผชิญหน้ามองจ้องกันสักครู่ อัศนัยนั้นไม่กลัวและพร้อมที่จะเผชิญ
ขณะที่ปรียากมล ยังพูดไม่ออกได้แต่จ้องมอง สายตาเจ็บช้ำ
อัศนัย จึงหันหลังกลับขึ้นบันไดเดินไปอย่างสง่า ไม่ยี่หระ
ปรียากมลเห็นทีท่า กรี๊ดทันที ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว อัศนัยสาวเท้าเร็วขึ้น ปรียากมลตามติด
ถึงห้องนอน อัศนัยเปิดประตูเข้าไป แต่ไม่ปิดประตู ปรียากมลตามเข้าไป
อัศนัยเดินไปเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าชุดทำงาน จะเข้าห้องน้ำ ปรียากมลขวางไว้ทันที
“ผมมีงานด่วนเช้านี้ ขอโทษปรียากมลผมต้องรีบไป”
“ต้องรีบไปแล้วคุณไปไหนต้องแต่เช้า”
“ผมบอกคุณแล้ว”
ปรียากมลประชด “หรือว่าคุณรีบตอนที่เจอฉัน”
อัศนัยทำท่าจะปิดประตู
“คุณไม่อยากเจอฉันเพราะอะไร มีอะไรที่ปิดบัง มีอะไรในใจ”
“ปรียากมลผมจะรีบไป ผมขอโทษ”
“ขอโทษฉันเรื่องอื่น” ปรียากมลจี้ติด
อัศนัยทำท่าอัดอั้น
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น คุณรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไรใช่มั้ย บอกมาสิว่าคุณต้องขอโทษฉันเรื่องอื่น”
ที่สุดอัศนัยเดินมานั่ง พยายามสงบอารมณ์ “เรื่องอะไร”
“อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง” ปรียากมลเข้ามาผลักแล้วตีตัวอัศนัย “อย่า..ทำ..เป็นไม่รู้เรื่อง” สะอึกขึ้นมาในอก ส่วนมือก็ตบตีอยู่ไปมา
อัศนัยพยายามจับ...หลีกหนี “พอแล้วปรียากมลพูดกันดีๆ นะ” เอี้ยวตัวหลบมือ “พอแล้ว...เป็นอะไรเนี้ย”
ปรียากมลอัดอั้น “ฉันเป็นอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าฉันเห็น....ฉันเห็น” สะอึกสะอื้นขึ้นมา “เห็นคุณกับมัน ไหนบอกว่าไม่ใช่ไง... ไม่มีอะไรไง...อ๊ายยย” ปรียากมลกรี๊ดขึ้นมาแบบเก็บไม่ไหวแล้ว “ฉันเห็นกับตา...ข้างล่างในห้องวาดรูป...คุณจะปฏิเสธมั้ย”
อัศนัยถอนหายใจใหญ่ทีเดียว “ไม่ ผมไม่ปฏิเสธ”
“ไหนบอกว่าไม่มีอะไร” ปรียากมลเยาะ
“ผมไม่เคยพูดไม่จริง”
“หมายความว่าไง”
“หมายความว่า ผมบอกคุณว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร”
“จะให้ฉันเชื่อเหรอ...แดมน์ (damn) ...ฉันไม่เชื่อ”
“เป็นความจริงปรียากมล...เชื่อผมเถอะ”
“คุณกำลังจะบอกว่าเด็กนั่นยั่วคุณจนคุณ...ซึ่งเคยประกาศว่าไม่มีอะไร...ก็เลยจำเป็นต้องมีอะไรงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่...ผมกำลังจะบอกคุณว่าผมไม่ได้โกหกคุณ แต่บางครั้งคนเราอาจจะรู้ใจตัวเองในวินาทีใดวินาทีหนึ่งโดยไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้”
ปรียากมลหน้าเครียดเต็มที่แล้ว “คุณกำลังจะบอกว่าคุณเพิ่งจะรู้ว่าคุณรักมัน..งั้นเหรอ คิดว่าฉันจะเชื่อสิ...ฉันคงเป็นบ้าไปแล้วถ้าฉันเชื่อคุณ”
“ปรียากมล นั่นคือความจริง ผมขอย้ำว่าคือความจริง...” น้ำเสียงอัศนัยแผ่วลงไปอีก สีหน้ารู้สึกผิด “ฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ขอให้เชื่อผมไม่เคยโกหกคุณ”
ปรียากมลโกรธจัด สะบัดมือตบเบาๆ แบบอดใจไม่ได้
อัศนัยหน้าสะบัดไปแต่ยืนนิ่ง
“โกหก...โกหก...คนเลว อย่าพูดเลยเรื่องเพิ่งรู้ตัว ทุเรศ..ต่อให้อมพระมาสาบานก็ไม่เชื่อ ในเมื่อฉัน...ฉันนี่แหละ” ปรียากมลตบอกตัวเองแรงๆ คำพูดพรั่งพรู “ยังดูออก แล้วคุณจะไม่รู้ตัวได้ยังไง นังเด็กนั่นเหมือนกันมันก็รู้...รู้ว่ามันรักคุณแล้วคุณก็รักมัน มันทำเป็นไร้เดียงสา ส่วนคุณก็ทำเป็นผู้ใหญ่ใจดีเอ็นดูเด็ก ทุเรศทั้งคู่”
อัศนัยเถียงไม่ออก
“คุณมันไม่เป็นลูกผู้ชาย ฉันถามคุณ ถ้าคุณยอมรับตั้งแต่ตอนนั้นฉันจะต้องมาเปลืองตัวเปลืองใจกับคุณมั้ย นี่นานเท่าไหร่...เกือบ 3 ปี เกือบ 3 ปีนะที่คุณตบตาฉัน ทำไม...ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้อัศนัย”
“เราเคยพูดกันรู้เรื่องนะปรียากมล ข้อตกลงระหว่างเรา คุณรู้ คุณยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นไปเท่าที่เราตกลงกัน”
ปรียากมลซักอย่างมีอารมณ์ “ว่าไง...ไหนคุณบอกฉันอีกทีว่าข้อตกลงว่าไง”
อัศนัยไม่สะท้านเสียงเรียบแต่มั่นคง “ข้อตกลงว่าเราจะคบกันจนกว่าเราจะรักกันมากพอที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ปรียากมลด่าออกมา “เห็นแก่ตัว...คุณเป็นผู้ชายคุณเป็นฝ่ายได้นี่”
“ถ้าผมเป็นอย่างที่ผมเป็นคือเห็นแก่ตัว ผมก็เห็นแก่ตัวมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง คุณเลือกที่จะให้ผมเป็นอย่างนั้นนะปรียากมล”
โดนย้อนกลับปรียากมลสะอื้นแรง
“คุณว่าผมเป็นฝ่ายได้...ถ้าคำว่าได้ คือคำว่าสุข คุณไม่ได้ด้วยหรือ ผมไม่อยากให้คุณพูดเรื่องผู้ชายหรือผู้หญิง มันไม่ใช่เรื่องเพศ มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เป็นคนเท่าๆ กัน มาตกลงกันที่จะคบกันแบบนี้”
“แล้วมันล่ะ คุณกับมันมีข้อตกลงอะไร”
“ไม่มี”
ปรียากมลไม่เชื่อ “ไม่จริง”
“ทุกอย่างที่ผมพูดวันนี้คุณเชื่อได้ปรียากมล”
“คุณจะแต่งงานกับมันหรือ”
“ผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งงาน”
“คุณเลือกมันใช่มั้ย” ปรียากมลยังอยากฟัง คำตอบที่รู้อยู่แล้ว
“ถ้าให้ผมตอบเดี๋ยวนี้ ใช่...ผมเลือกดอกโศก”
ปรียากมลแทบกระอัก รู้สึกปั่นป่วนในใจจนอกแทบระเบิด ทนไม่ได้จนต้องกรี๊ดออกมาเบาๆ แล้วพุ่งตัวเข้าหาอัศนัย ทั้งตีทั้งผลักทั้งกระชากทั้งเหวี่ยง
อัศนัยเฉยยืนนิ่ง ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ปรียากมลน้ำตาไหลเต็มหน้า สะอื้นสุดแรง รู้แล้วว่าตัวเองสิ้นหวัง!
ในที่สุด ปรียากมลก็ถอยออกมา ยืนหอบ น้ำตาเต็มหน้า
ปรียากมลพูดอยู่ในคอ เหมือนกระซิบกับตัวเอง “ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่มันจะได้คุณไป”
พูดจบปรียากมลหันหลังกลับ เดินตัวตรงคอตั้งบ่าออกประตูไป
ปรียากมล ยืนอยู่บันไดชั้นบน ยืนนิ่งมองบันได เหมือนจะทำอะไรสักอย่างแล้วจัดผมให้เรียบ จัดเสื้อผ้า เดินลงบันไดช้าๆ สีหน้าพร้อมที่จะสู้กับดอกโศก
พอถึงบันไดชั้นล่าง เรียก “หมื่น... หมื่น”
ปรียากมลยืนรออยู่หน้าตึก หมื่นออกมา
“หมื่น ฉันจะกลับบ้าน เอารถออกให้หน่อย”
หมื่นประหลาดใจ “ครับ เอ๊ะ คุณเพิ่งมา”
“เออหมื่น ขนมของดอกโศกอร่อยดีนะ ขายที่ไหนรู้มั้ย” ถามสีหน้ายิ้มแย้ม
ปรียากมลขึ้นรถ หมื่นวิ่งไปเปิดประตู
ปรียากมลนิ่งสงบอารมณ์อยู่สักครู่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดและคอยสาย
“ฮัลโหล...คุณตระกูล”
รถแล่นออกไปอย่างแรง
ตระกูลพุ่งมาหาทันที กำลังเคาะประตูห้องคอนโด ร้องเรียก
“ปรียากมล” ตระกูลเปิดประตูเข้าไป
ปรียากมลทอดตัวบนโซฟา มือข้างหนึ่งทอดตกอยู่ข้างเก้าอี้ แก้วเหล้าเอียงจะตกอยู่แล้ว ตระกูลปราดเข้าไป หยิบแก้วจากมือ ตกใจนิดๆ
“คุณปรียากมล...เป็นอะไรครับ”
“ฉันมีความทุกข์มาก”
“เรื่องอะไร”
“ไม่บอก คุณอย่ารู้เลย”
“ให้ผมทำอะไร”
“ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว กลัวจะกินเหล้าจนตาย คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“โอเค...แค่นั้นเหรอ” ตระกูลพูดส่อ
ปรียากมลรู้ทันหัวเราะเบาๆ “ถ้าฉันอ่านคนอื่นเหมือนอ่านคุณได้ก็ดีสิ”
“ใคร” ตระกูลถามเร็ว
“แหม คุณตระกูลถามเหมือนกับเป็นสามีฉัน แต่เอาเถอะคุณก็คงรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เอางี้ คุณนั่งเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะดื่มไปเรื่อยๆ ถ้าฉันเมาคุณพาฉันไปนอน” มองจ้องหน้า “อย่ายิ้มแบบนั้น แล้วอย่าคิดจะทำอย่างที่คุณอยากทำด้วย”
“โธ่...ไม่สงสารผมเหรอ” น้ำเสียงอ้อน วอนขอ
“ถ้าคุณอดใจไม่ได้คุณจะไม่ได้พบฉันอีกเลย แต่ถ้าคุณอดใจได้...อย่างลูกผู้ชาย…”
ตระกูลขัดออกมา “โธ่...คุณปรียากมล อดใจได้มันลูกผู้ชายที่ไหนเล้า”
ปรียากมลไม่สน “ถ้าคุณอดใจได้...ต่อไปไม่แน่”
เป็นอีกวันหนึ่งที่ดอกโศกขายขนมมือเป็นระวิง ผมผูกรวบไว้ง่ายๆด้านหลัง หน้าเป็นมัน ขายรวดเร็ว เสียงโต้-ตอบเรียบร้อยไม่มีอารมณ์อื่นเจือปน สมใจเพ่งมองดูหลานรู้สึกสงสารมาก
ระหว่างนั้นรถยนต์คันโก้แล่นมาช้าๆ ภักดิ์ภูมินั่งในรถ มีฉัตรทองนั่งเคียงกันอยู่หลังรถ ขณะผ่านร้านขนม ภักดิ์ภูมิจ้องมอง แล้วสะดุดใจกับกิริยาดอกโศก ทอดสายตาขรึมๆ มองนิ่งๆ
ฉัตรทองนั่งวางท่างามสง่าเต็มที่ สมเป็นสาวมาดมั่น
ฉัตรทองเป็นสาวค่อนข้างเปรี้ยว แต่กิริยามีจังหวะจะโคน แบบคนได้รับการอมรมมาดี อยู่ในสังคมชั้นสูงมาตลอด
“แถวโบสถ์นี้มีของขายเยอะจัง” ฉัตรทองเอ่ยขึ้น
“ทานขนมมั้ยครับน้องฉัตร” ภักดิ์ภูมิถาม เหลือบมองแม่ค้าขนมอีก
“ฉัตรกลัวไม่สะอาดค่ะพี่ภูมิ”
“อือม์....ก็อาจจะจริง พี่ลงไปดูให้มั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ...ฉัตรไม่ทาน” น้ำเสียงเฉียบ บ่งบอกความมั่นใจตัวเองสูง
รถเคลื่อนตัว แล่นอย่างช้าๆ ผ่านดอกโศกที่ขายของไป ภักดิ์ภูมิมองอย่างสนใจ
ภักดิ์ภูมิและฉัตรทองเดินเข้าโบสถ์ เป็นคู่รักที่สวยสมกันด้วยกิริยาการแต่งตัว คนมองอย่างทึ่งหลายคน คุณพ่ออันโตนิโย คุยกับฝรั่งคนหนึ่ง ภายในโบสถ์ยามนั้นมีคนเดินไปมา บ้างไปทำอะไรตรงแท่นบูชา คุยกันอยู่บ้าง ยังไม่ถึงเวลาทำพิธี
“พี่ว่าเราออกไปคอยข้างนอกดีกว่าครับน้องฉัตร” ภักดิ์ภูมิเอ่ยขึ้น
“พี่ภูมิเห็นมิสซิสเบนส์แล้วหรือคะ”
ภักดิ์ภูมิกวาดสายตามองรอบๆ “อาจจะยังไม่มา” แตะแขนเบาๆ ท่วงทีสุภาพ “ไปครับ”
คุณพ่อโบกมือให้ ภักดิ์ภูมิไหว้ “คุณพ่ออันโตนิโย”
คุณพ่อรับไหว้ “ผมเห็นมิสซีสเบนส์เมื่อกี้ คุณนัดไว้ใช่มั้ยคุณภักดิ์ภูมิ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ขณะที่สองคนเดินออกมา ระหว่างนั้นมิสซิสเบนส์เดินมากับเอ็ดดี้พอดี
“คุณภักดิ์ภูมิ” มิสซิสเบนส์จำได้
“มิสซิสเบนส์....สวัสดีครับ” สองคนจับมือกันทักทาย
“สวัสดีค่ะ” มิสซิสเบนส์พูดเสียงแปร่งนิดๆ พอจับสำเนียงได้ว่าเป็นฝรั่งพูด ก่อนจะแนะนำเอ็ดดี้หลานชายกับภักดิ์ภูมิ และแนะนำเอ็ดดี้ให้รู้จักคุณภักดิ์ภูมิ สองชายจับมือกัน
“เพิ่งมาถึงใช่มั้ยครับ ผมเข้าไปในโบสถ์ไม่เห็น” ภักดิ์ภูมิถาม
“เดี๋ยวสวดมนต์เสร็จแล้ว เราพูดธุระกันได้...ที่ไหนดี” มิสซิสเบนส์ถามกลับ
“อ้อ ผมขอแนะนำก่อน นี่ฉัตรทองคู่หมั้นของผมครับ”
“โอ....เธอมีคู่หมั้นแล้ว Congratulations how lovely fiance’…” มิสซิสเบนส์เลือกคำ ฟิอองเซ่ ภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าคู่หมั้น แทนคู่รักในภาษาอังกฤษ เป็นความชื่นชมจากใจว่า ยินดีด้วย เป็นคู่หมั้นที่น่ารักจริง
“ขอบคุณค่ะ คุณพูดไทยชัดมากค่ะมิสซิสเบนส์”
“ขอบใจค่ะ ฉันอยู่ประเทศไทยมาแล้วเกือบ 20 ปี แล้วนะ ประเทศไทยคือบ้านของฉัน” มิสซิสเบนส์บอก
ดอกโศกจัดของขึ้นรถเข็น หลังจากขายหมดแล้ว
“ไปเถอะ ไปดูหนังสือ ยายเอารถกลับเอง” สมใจบอก
“หนูจะไปส่งยายก่อน”
“ไม่ต๊อง..ไม่ต้อง เดี๋ยวยายค่อยเข็นไปได้ ไม่ต้องห่วง”
“งั้นหนูไปโบสถ์นะจ๊ะ”
คล้อยหลังดอกโศกเพียงไม่นาน ปรียากมลเดินมาช้าๆ ท่าทางสุขุมนุ่มนวล
พอมาถึงมองสำรวจไปรอบๆ รับรู้ว่านี่คือสถานที่ที่คุ้นเคยมาก่อน มองผ่านแว่นดำ มองไปหลายๆ ที่ ทั่วบริเวณนั้น
ลูกค้าวิ่งเข้ามา สีหน้าผิดหวัง “อ้าวขนมหมดแล้ว”
ลูกค้าอีกคนถามแม่ค้าข้างๆ “ไปขายที่อื่นหรือเปล่า ป้า...ป้า”
“เขาขายหมดแล้ว ไอ้โศกมันไปโบสถ์แล้วล่ะ”
ปรียากมลได้ยินเต็มๆ หันไปทางโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่
เวลานั้นภักดิ์ภูมิและฉัตรทอง คอยมิสซิสเบนส์อยู่หน้าโบสถ์ สองคนคุยกันเบาๆ ดอกโศกเดินเข้ามาเร็วรี่ ภักดิ์ภูมิเห็นหน้าจำได้ มองจ้องดอกโศก ฉัตรทองหันหลังให้ดอกโศกอยู่ คุยเสียงเบาๆ ไม่รู้เรื่อง
ภักดิ์ภูมิตอบ ขณะที่นัยน์ตาจ้องมองดอกโศก ฉัตรทองไม่สะดุดใจสักนิด ภักดิ์ภูมิมองกระทั่งดอกโศกเดินเข้าโบสถ์ไป
อ่านต่อตอนที่ 12 พรุ่งนี้