สนามบินอู่ตะเภากลับมาโด่งดังอีกครั้ง หลักจากที่สหรัฐอเมริกาเลิกใช้เป็นฐานทัพไปแล้วเมื่อปลายปี พ.ศ. 2518 วันนี้สหรัฐอเมริกาเจ้าเก่ากำลังจะหวนกลับคืนมาที่เดิม ในมาดใหม่ ในนามของนาซ่าตามข้ออ้างเพื่อการสำรวจสภาพภูมิอากาศ และใช้เป็นฐานเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมื่อยามที่เกิดภัยพิบัติในแถบเอเชียอาคเนย์
ข้ออ้างนี้กลายเป็นข้อสงสัยและเป็นที่กังขาจากปัญญาชน และประชาชนทั่วไป แม้จะมีเสียงท้วงติงจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในสภา แต่ก็อ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มปาก เพราะเรื่องเริ่มมาจากตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับกรณีเขาพระวิหาร และ MOU ปี 43 ในยุคของนายชวน หลีกภัย พรรคนี้มักชอบเปิดประตูให้เพื่อนเข้าไปย่องเบา
ไม่มีที่ไหนเขาจะยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าไปตั้งฐานทัพในประเทศที่เป็นเอกราชได้ง่ายๆ อีกต่อไป สงครามในอนาคตจะไม่ต้องสู้รบกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดหนักให้สิ้นเปลือง แต่จะเป็นสงครามชีวภาพ สงครามที่ใช้สภาวะของการเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศมาเป็นอาวุธ การทำลายระบบเศรษฐกิจของศัตรูให้เสียหายย่อยยับ จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น จึงง่ายต่อการเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ในทรัพยากรของประเทศนั้นๆ
เค้าลางของการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ที่อ้างว่าเป็นการชั่วคราวเพียง 2-3 เดือน โดยมาศึกษาเรื่องดินฟ้าอากาศ และนักการเมืองซีกรัฐบาลก็ออกมารับรองความโปร่งใสให้กับสหรัฐอเมริกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยถึงกับออกมาร่ายยาวถึงความเป็นมา และข้อดีที่เราจะได้ ข้อมูลที่ไทยไม่เคยมี เพราะคนไทยคงโง่กว่าเขามากถึงขนาดไม่รู้เรื่องดินฟ้าอากาศของตนเอง บางคนถึงกับบอกว่าสิ่งที่สหรัฐฯ จะนำมานั้นเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่เขาจะเปิดเผยให้
เอาแค่เทคโนโลยีขั้นธรรมดา ที่รู้ได้โดยคนของเราเองยังไม่เคยคิดจะทำ วันนี้ฝนตกในประเทศไทย หมู่บ้านไหน ตำบลใด ปริมาณเท่าไหร่ เรายังบอกไม่ได้ จะตามขึ้นเครื่องบินเขาไปใช้เทคโนโลยีชั้นสูงหาหอกอะไร และใครจะรู้จักเครื่องมือของเขา แล้วเขาจะบอกข้อมูลให้เราทั้งหมดจริงหรือ หรือแม้เขาจะบอก แต่ประชาชนก็คงไม่รู้อยู่ดี
ยุคสงครามเวียดนาม เรามีค่ายรามสูร มีเรดาร์ที่คอยดักฟังความเคลื่อนไหวของศัตรู แต่อเมริกายังไม่เคยบอกอะไรเราเลย แถมเมื่อมีปัญหากับเขมรแดง มันยังใช้ฐานทัพในไทยที่อู่ตะเภาเข้าไปโจมตีเขาโดยไม่บอกเจ้าของประเทศ จนประชาชนต้องออกมาประท้วงให้ขอโทษ และเดินขบวนขับไล่ฐานทัพครั้งใหญ่ เราจึงได้อธิปไตยคืน
เวลาอ้าขาให้เขาเข้ามาแล้ว มันหุบยาก พอยอมกันครั้งแรก มันก็ย่อมมีครั้งต่อๆ ไป แต่จะยืดยาวแค่ไหนไม่มีใครตอบ แต่ถ้าเราไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาใช้พื้นที่ของเรา แล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ให้มันรู้ไป อ้างเสียประโยชน์ เสียโอกาส ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยชน์อะไรและโอกาสของใครกันแน่
รัฐมนตรีกลาโหมของไทยเป็นเจ้าของประเทศคนเดียวหรืออย่างไร ถึงออกมากล่าวหาว่าคนคัดค้านเป็นพวกไม่รักชาติ ใครกันแน่ที่กำลังสมคบกันขายชาติ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อคนคนเดียว ทำบ้านเมืองฉิบหายมาขนาดนี้ยังไม่พอ ปี 2554 รัฐบาลนี้ก็ชักน้ำเข้าลึกจนท่วมบ้านเมืองวินาศสันตะโร จนวันนี้ยังแก้ปัญหากันไม่จบ มาปี 2555 ยังจะชักศึกเข้าบ้านหาเรื่องให้ต้องเดือดร้อนถึงลูกหลาน ไม่รู้จักจดจำ
โครงการ HAARP ที่สหรัฐฯ กำลังทดลองอยู่ที่อลาสก้านั้น ใครเขาก็รู้กันทั่วโลกว่าเป็นการศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศให้กลายเป็นอาวุธ เช่น สร้างพายุเทียม แผ่นดินไหว ฝนถล่ม หิมะละลาย คลื่นยักษ์สึนามิ ฯลฯ นี่คือการท้าทายต่อพระเจ้าด้วยน้ำมือของมนุษย์ซึ่งหวังทำลายล้าง เพื่อความยิ่งใหญ่ และเป็นมหาอำนาจของโลก
เกมทั้งหมดกำหนดมาจากนายใหญ่แห่งดูไบ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของตน การได้วีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา เท่ากับยอมรับอย่างกลายๆ ว่าคดีความทั้งหลายที่ตนเองได้รับ แต่นานาชาติกลับไม่สนใจ จะเป็นข้ออ้างที่สำคัญต่อเวทีโลก ผลประโยชน์เรื่องก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่มีอยู่อย่างมหาศาลในอ่าวไทย เป็นการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ
สิ่งหนึ่งที่ทักษิณวางไว้ก็คือ ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามาคานอำนาจกองทัพไทย เพื่อป้องกันและปราบปรามมิให้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งมีกระแสเรียกร้องให้จัดการระบบการเมืองที่ชั่วร้าย ปิดประเทศและสร้างประเทศใหม่โดยยืนอยู่บนลำแข้งของตนเอง ในวิถีแห่งความพอเพียง สิ่งนี้กระมังที่ทักษิณหวั่นวิตก จึงยอมแลกผลประโยชน์ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง
แต่ละเรื่องที่เสนอมา สร้างแต่ความแตกแยก ด่าประณามคนที่ไม่เห็นด้วย แม้กระทั่งศาลก็ไม่เว้น อย่าเอาแต่ขู่ว่าจะทำสงครามกลางเมือง เอาก็เอาวะ กูก็เบื่อเต็มทน!!
ข้ออ้างนี้กลายเป็นข้อสงสัยและเป็นที่กังขาจากปัญญาชน และประชาชนทั่วไป แม้จะมีเสียงท้วงติงจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในสภา แต่ก็อ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มปาก เพราะเรื่องเริ่มมาจากตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับกรณีเขาพระวิหาร และ MOU ปี 43 ในยุคของนายชวน หลีกภัย พรรคนี้มักชอบเปิดประตูให้เพื่อนเข้าไปย่องเบา
ไม่มีที่ไหนเขาจะยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าไปตั้งฐานทัพในประเทศที่เป็นเอกราชได้ง่ายๆ อีกต่อไป สงครามในอนาคตจะไม่ต้องสู้รบกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดหนักให้สิ้นเปลือง แต่จะเป็นสงครามชีวภาพ สงครามที่ใช้สภาวะของการเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศมาเป็นอาวุธ การทำลายระบบเศรษฐกิจของศัตรูให้เสียหายย่อยยับ จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น จึงง่ายต่อการเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ในทรัพยากรของประเทศนั้นๆ
เค้าลางของการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ที่อ้างว่าเป็นการชั่วคราวเพียง 2-3 เดือน โดยมาศึกษาเรื่องดินฟ้าอากาศ และนักการเมืองซีกรัฐบาลก็ออกมารับรองความโปร่งใสให้กับสหรัฐอเมริกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยถึงกับออกมาร่ายยาวถึงความเป็นมา และข้อดีที่เราจะได้ ข้อมูลที่ไทยไม่เคยมี เพราะคนไทยคงโง่กว่าเขามากถึงขนาดไม่รู้เรื่องดินฟ้าอากาศของตนเอง บางคนถึงกับบอกว่าสิ่งที่สหรัฐฯ จะนำมานั้นเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่เขาจะเปิดเผยให้
เอาแค่เทคโนโลยีขั้นธรรมดา ที่รู้ได้โดยคนของเราเองยังไม่เคยคิดจะทำ วันนี้ฝนตกในประเทศไทย หมู่บ้านไหน ตำบลใด ปริมาณเท่าไหร่ เรายังบอกไม่ได้ จะตามขึ้นเครื่องบินเขาไปใช้เทคโนโลยีชั้นสูงหาหอกอะไร และใครจะรู้จักเครื่องมือของเขา แล้วเขาจะบอกข้อมูลให้เราทั้งหมดจริงหรือ หรือแม้เขาจะบอก แต่ประชาชนก็คงไม่รู้อยู่ดี
ยุคสงครามเวียดนาม เรามีค่ายรามสูร มีเรดาร์ที่คอยดักฟังความเคลื่อนไหวของศัตรู แต่อเมริกายังไม่เคยบอกอะไรเราเลย แถมเมื่อมีปัญหากับเขมรแดง มันยังใช้ฐานทัพในไทยที่อู่ตะเภาเข้าไปโจมตีเขาโดยไม่บอกเจ้าของประเทศ จนประชาชนต้องออกมาประท้วงให้ขอโทษ และเดินขบวนขับไล่ฐานทัพครั้งใหญ่ เราจึงได้อธิปไตยคืน
เวลาอ้าขาให้เขาเข้ามาแล้ว มันหุบยาก พอยอมกันครั้งแรก มันก็ย่อมมีครั้งต่อๆ ไป แต่จะยืดยาวแค่ไหนไม่มีใครตอบ แต่ถ้าเราไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาใช้พื้นที่ของเรา แล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ให้มันรู้ไป อ้างเสียประโยชน์ เสียโอกาส ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยชน์อะไรและโอกาสของใครกันแน่
รัฐมนตรีกลาโหมของไทยเป็นเจ้าของประเทศคนเดียวหรืออย่างไร ถึงออกมากล่าวหาว่าคนคัดค้านเป็นพวกไม่รักชาติ ใครกันแน่ที่กำลังสมคบกันขายชาติ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อคนคนเดียว ทำบ้านเมืองฉิบหายมาขนาดนี้ยังไม่พอ ปี 2554 รัฐบาลนี้ก็ชักน้ำเข้าลึกจนท่วมบ้านเมืองวินาศสันตะโร จนวันนี้ยังแก้ปัญหากันไม่จบ มาปี 2555 ยังจะชักศึกเข้าบ้านหาเรื่องให้ต้องเดือดร้อนถึงลูกหลาน ไม่รู้จักจดจำ
โครงการ HAARP ที่สหรัฐฯ กำลังทดลองอยู่ที่อลาสก้านั้น ใครเขาก็รู้กันทั่วโลกว่าเป็นการศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศให้กลายเป็นอาวุธ เช่น สร้างพายุเทียม แผ่นดินไหว ฝนถล่ม หิมะละลาย คลื่นยักษ์สึนามิ ฯลฯ นี่คือการท้าทายต่อพระเจ้าด้วยน้ำมือของมนุษย์ซึ่งหวังทำลายล้าง เพื่อความยิ่งใหญ่ และเป็นมหาอำนาจของโลก
เกมทั้งหมดกำหนดมาจากนายใหญ่แห่งดูไบ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของตน การได้วีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา เท่ากับยอมรับอย่างกลายๆ ว่าคดีความทั้งหลายที่ตนเองได้รับ แต่นานาชาติกลับไม่สนใจ จะเป็นข้ออ้างที่สำคัญต่อเวทีโลก ผลประโยชน์เรื่องก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่มีอยู่อย่างมหาศาลในอ่าวไทย เป็นการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ
สิ่งหนึ่งที่ทักษิณวางไว้ก็คือ ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามาคานอำนาจกองทัพไทย เพื่อป้องกันและปราบปรามมิให้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งมีกระแสเรียกร้องให้จัดการระบบการเมืองที่ชั่วร้าย ปิดประเทศและสร้างประเทศใหม่โดยยืนอยู่บนลำแข้งของตนเอง ในวิถีแห่งความพอเพียง สิ่งนี้กระมังที่ทักษิณหวั่นวิตก จึงยอมแลกผลประโยชน์ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง
แต่ละเรื่องที่เสนอมา สร้างแต่ความแตกแยก ด่าประณามคนที่ไม่เห็นด้วย แม้กระทั่งศาลก็ไม่เว้น อย่าเอาแต่ขู่ว่าจะทำสงครามกลางเมือง เอาก็เอาวะ กูก็เบื่อเต็มทน!!