ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศอีกหนึ่งครั้งกับวงการสีกาสี กับเหตุการณ์ที่ผู้ควบคุมการสอบคัดเลือกบุคคลภายนอกจบวุฒิ ม.6 (หรือเทียบเท่า) เข้าเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน หลายสนามสอบทั่วประเทศ ที่เกิดข่าวใหญ่โตสามารถจับกุมบรรดาผู้ทุจริต พร้อมของกลางได้เป็นจำนวนมาก บางแห่งจับกุมได้นับร้อย ๆ คน พร้อมกับกลโกงในสารพัดรูปแบบที่น่าตกใจ เพราะคงจะไม่มีใครคาดคิดว่าขบวนการและผู้เข้าสอบไปรับราชการตำรวจ จะมีรูปแบบกลโกงข้อสอบแยบยลชนิดที่โจรต้องอายเลยทีเดียว
และหากจะว่าไปแล้วการสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบธรรมดาแต่เป็นการสอบครั้งประวัติศาสตร์ในวงการสีกากีเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่เคยมีการรับ บุคคลภายนอกเข้าเป็นตำรวจครั้งเดียวมากถึง 10,000 อัตรา แบ่งเป็น สายงานป้องกันปราบปราม รับ 9,500 อัตรา (ชาย 9,050 อัตรา หญิง 450 อัตรา) และ สายงานอำนวยการและสนับสนุน รับ 500 อัตรา (ทั้งชายและหญิง) ส่งผลทำให้มีผู้สมัครสอบมากถึง 278,063 คน
ต้นสายปลายเหตุก็คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พยายามเพิ่มกำลังพลจากเดิมที่มีกว่า 2 แสนนาย เติมเข้าไปอีก 1 หมื่นอัตรา ในปีงบประมาณ 2555 โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ให้เหตุผลว่านายตำรวจชั้นประทวนยังขาดแคลนอยู่มากเพราะมีส่วนสำคัญในการควบคุมอาชญากรรม ขณะที่นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรมีปริมาณเพียงพอ
โดยทางกองบัญชาการศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดสอบพร้อมกันไปทั่วประเทศ จำนวน 13 สนามสอบ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ก่อนการสอบทาง พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผบช.ศ. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จักรกฤษศณ์ สิงห์ศิลารักษ์ ผบก.กองการสอบ และคณะกรรมการ ได้ประชุมวางแผนป้องกันการทุจริตค่อนข้างเข้มงวด ชนิดเรียกว่าเป็นพิเศษมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากมีผู้เข้าสอบกว่า 2 แสนคน และศูนย์สอบยังกระจายทั่วประเทศ เห็นได้ชัดจากข้อสอบ มีการออกมาทั้งหมด 8 ชุด วิชาที่สอบประกอบด้วย ความสามารถทั่วไป, ภาษาไทย, คอมพิวเตอร์,งานสารบรรณ, พ.ร.ฎ. บริหารกิจการบ้านเมือง, พ.ร.บ.ตำรวจ และจริยธรรมและยังมีบาร์โค้ด จำนวน 7 หลักกำกับไว้ ซึ่งผู้ที่เข้าสอบจะไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองได้ข้อสอบชุดไหน แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนจะไม่ได้นำพาสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ฉาวโฉ่เขย่าวงการสีกาสีครั้งนี้ ปรากฏว่าระหว่างที่ทำการสอบอยู่นั้น เครื่องจับความถี่ของคณะกรรมการนำมาตรวจจับการส่งคลื่นในบริเวณใกล้เคียงห้องสอบ พบว่ามีการส่งสัญญาณคลื่นเป็นระยะๆ จึงคาดว่าน่าจะมีการส่งสัญญาณเฉลยข้อสอบ ให้กับผู้เข้าสอบ ทางคณะกรรมการจึงไปตรวจจับและสามารถยึดอุปกรณ์ โดยทุกรายที่จับได้จะซุกเครื่องรับสัญญาณสั่น ลักษณะคล้ายแบตเตอรี่ขนาดกว้าง 1 นิ้ว ยาว1 นิ้ว ห่อหุ้มด้วยเทปพันสีฟ้า เครื่องนี้จะรับสัญญาณเป็นจังหวะ โดยการซุกซ่อนปิดทับด้วยพลาสเตอร์ติดซ่อนตามจุดซ่อนเร้นของร่างกาย บางรายซุกตามร่องก้น แก้มก้น ขาหนีบ บางรายซุกเข้าไปในอวัยวะเพศ ปิดพลาสเตอร์ทับซ่อนใต้กางเกงใน
ทั้งที่จะว่าไปแล้วก่อนเข้าห้องสอบก็มีกฎข้อบังคับให้ก่อนเข้าสอบ โดยที่ผู้เข้าสอบทุกคนต้องเปลี่ยนชุดเป็น เสื้อยืดคอกลมแบบไม่มีกระดุมโลหะ กางเกงวอร์มที่ไม่มีกระดุมโลหะ เช่นกัน ถอดรองเท้าถุงเท้า ก่อนเข้าห้องสอบ แต่ที่เป็นทีเด็ดทำให้มีการจับกุมได้แบบมโหฬารคาดไม่ถึงก็คือ ทุกคนต้องผ่านการตรวจร่างกายด้วยเครื่องสแกนโลหะ คาดว่าบรรดาแก๊งโกงการสอบอาจจะตายใจ จึงยังใช้รูปแบบกลวิธีการเดิม ๆ แอบนำ เครื่องสั่น ขนาดเท่ากับแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ซุกซ่อนเข้ามา บางคนแปะเอาไว้ที่ก้น หรือซุกไว้ในอวัยวะเพศ สุดท้ายก็ไม่ผ่านพ้นการตรวจของเครื่องสแกนโลหะ เจ้าหน้าที่จึงตรวจร่างกายบรรดาผู้เข้าสอบที่มีพิรุธและเครื่องสแกนโลหะเสียงดังเป็นกรณีพิเศษ
มีรายงานว่า มีการตรวจพบผู้เข้าสอบซุกซ่อนอุปกรณ์รับสัญญาณสั่นไว้ตามร่างกาย ใน 3 หน่วยสอบ รวม 196 รายซึ่งเครื่องที่พบเป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมดโดยหน่วยสอบกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 บช.ภ.2) พบ 95 ราย ที่สนามสอบโรงเรียนชลกันยานุกูล 30 ราย สนามสอบโรงเรียนบ้านสวนจันทร์นุสรณ์ 65 ราย หน่วยสอบกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (บช.ภ.5) จำนวน4 ราย ที่สนามสอบโรงเรียนลำปางกัลยานี3 ราย สนามสอบโรงเรียนอาชีวศึกษาลำปาง 1 ราย หน่วยสอบกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6(บช.ภ.6) รวม 97 ราย ผลการตรวจค้นเบื้องต้นของวันที่ 10 มิ.ย. ทำให้สามารถจับกุมผู้ทุจริตก่อนจะเข้าสอบได้มากถึง 312 คน แยกเป็นพื้นที่ของ บช.ภ.6 สนามสอบใน จ.นครสวรรค์ 179 ราย, บช.ภ.2 สนามสอบ จ.ชลบุรี 95 ราย, บช.ภ.3 สนามสอบ จ.นครราชสีมา 34 ราย, บช.ภ.5 สนามสอบ จ.ลำปาง 4 ราย ข้อมูลที่น่าตกใจก็คือในครั้งนี้สามารถจับผู้ทุจริตสอบทั่วประเทศได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ที่ทีเด็ดไปกว่านั้นก็คือในจำนวนที่ทางตำรวจก็ได้ขยายผลสืบสวน เป็นการใหญ่ก็ยังได้ไปจับกุมหัวโจกของขบวนการโกงข้อสอบตำรวจ ซึ่งปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรโคราช นำโดย พ.ต.อ.วชิรวิทย์ กฤตฤทธิ์ศักดิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชลาสินธ์ ชลาลัย ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สภ.นครราชสีมา ได้นำหมายเรียกเข้าเชิญตัวนายดาชัย อุชุโกศลการ ผู้สมัครนายก อบจ.ลำปาง หมายเลข 2 ขณะกำลังเดินหาเสียงที่ตลาดบ้านฟ่อน ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง เข้าทำการสอบสวนที่ สภ.เมืองลำปาง ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
จากนั้นตำรวจนำตัวนายดาชัย ออกจาก สภ.เมืองลำปาง โดยรถตู้ของตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ท่ามกลางกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบคุ้มเข้ม ไปตรวจค้นทุกพื้นที่ของที่ทำการสนามฟุตซอลลำปางยูไนเต็ด เลขที่ 555 ถนนทางขึ้นวัดม่อนพญาแช่ ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง และเป็นที่ตั้งสำนักงานกลุ่มพลังลำปาง สถานีวิทยุชุมชนกลุ่มพลังลำปาง ศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งนายก อบจ.ลำปาง ของนายดาชัย ด้วย และมีห้องนอนส่วนตัวของนายดาชัย อยู่ในอาคารที่มี 2 ชั้น เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม เกี่ยวกับคดีทุจริตการสอบดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังนำนายดาชัย ไปร่วมตรวจค้นบ้านส่วนตัวที่บ้านเกิดในอำเภองาว และบ้านญาติ อีก 4 หลัง ใน ต.ปงเตา อ.งาว จ.ลำปาจากการค้นบ้านสองหลังแรกนั้น ไม่พบหลักฐาน ที่จะเชื่อมโยงในคดีฉ้อโกงประชาชน ที่โยงกับคดีทุจริตสอบตำรวจชั้นประทวน ประจำปี 2555 ที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาและผู้ทุจริตสอบ กว่า 20 คน พร้อมด้วยของกลาง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา และผู้ต้องหาซัดทอดถึงนายดาชัย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาทำการจับกุมในครั้งนี้
ส่วนบ้านหลังสุดท้ายเลขที่ 18/1 ม.2 ต.ปงเตา อ.งาว ของนายดาชัยนั้น ทางตำรวจ พบเอกสาร เพื่อประกอบใบสมัครสอบคัดเลือกตำรวจชั้นประทวน เพื่อแต่งตั้งเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร จำนวน 22 ใบ วางอยู่ในชั้นวางเอกสาร ภายในห้องนอนจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ นายดาชัยกล่าวปฏิเสธว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทว่า ตั้งแต่ตนเองตั้งใจลงสมัครนายก อบจ.ลำปาง ก็ถูกโยงกับหลายคดีมาโดยตลอด ทั้งเรื่องยาเสพติด บ่อนพนัน การตัดไม้ และอีกหลายเรื่อง และมาครั้งนี้ก็ถูกโยงกับเรื่องทุจริตการสอบอีก ซึ่งไม่ท้อและพร้อมเดินหน้าหาเสียงต่อทันที หลังไปประกันตัวที่ สภ.นครราชสีมา แล้ว
นายดาชัย ระบุด้วยว่า การนำหมายเรียกข้าให้ปากคำในคดีดังกล่าวของตำรวจนครราชสีมาครั้งนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด เนื่องจากผู้ที่ถูกจับในการสอบที่โคราชซัดทอดว่า เครื่องส่งสัญญาณที่ซื้อมานั้นซื้อมาจากผู้ต้องหาสองคนซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภองาว จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดียวกันก็อาจจะมีการโยงใยมาถึงตนเอวด้วยก็เป็นได้
สำหรับนายดาชัย อุชุโกศลการ ปัจจุบันอายุ 41 ปี ประกอบอาชีพเป็น นักธุรกิจ และเคยเปิดโรงเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพมหานคร และมีธุรกิจหอพัก ทั้งในลำปาง และต่างจังหวัดหลายแห่ง ก่อนที่จะกลับบ้านเกิดที่ อ.งาว แล้วถูกชักชวนเข้าสู่การเมืองท้องถิ่นลำปาง ด้วยการลงสมัคร ส.อบจ.เขต1 อ.งาว ในนามกลุ่มแม่วัง สังกัดเด็กบ้านสวนของนายไพโรจน์ โล่สุนทร และที่ถูกจับตามอง ก็เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมาด้วยการเริ่มก่อตั้งสโมสรและสนามฟุตซอลขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือก็ว่าได้ กระทั่งได้รับการผลักดันให้นั่งในตำแหน่งรองประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย อีกทั้งยังพบด้วยว่าเคยบินไปพบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากตัวเลขแล้วย่อมเป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เบื้องต้นเป็นตัวเลขสูงขนาดนี้ได้ นั้นย่อมหมายความว่า ขบวนการแก๊งโกงข้อสอบตำรวจต้องมีรูปแบบกลโกงที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน อาทิ หนึ่งในผู้ต้องหาเปิดเผยข้อมูลกับชุดสืบสวนว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการโกงข้อสอบสามารถซื้อข้อสอบตัวจริงได้ในราคาชุดละ 3 ล้านบาท โดยจะได้ข้อสอบมาก่อนการสอบจริงเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากข้อสอบจะพิมพ์เสร็จช่วงเช้ามืดของวันสอบ
ที่สำคัญคือขณะนี้มีข้อมูลว่ายังมีขบวนการใหญ่อยู่แถวหน้ารามฯ โดยคนที่อยู่เบื้องหลังมีเงินเป็น 100 ล้าน ซึ่งนับว่าเป็นรายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
สำหรับวิธีการโกงข้อสอบนั้นจะใช้รหัสการสั่นของตัวเครื่องรับสัญญาณในการบอกคำตอบให้กับผู้เข้าสอบ โดยผู้ที่ได้ข้อสอบตัวจริงมาจะเป็นผู้ทำข้อสอบด้วยวิธีการนับสระและวรรณยุกต์ของคำถามข้อแรกในแต่ละชุดเพื่อนำมาเป็นรหัสบอกให้กับผู้ที่เข้าสอบว่า คำตอบที่กำลังจะบอกเป็นคำตอบของข้อสอบชุดไหน แม้ข้อสอบทั้งหมดจะมีมากถึง 8 ชุด แต่ทั้งหมดก็เป็นข้อสอบเดียวกันเพียงแต่สลับข้อกันเท่านั้น วิธีการนับสระและวรรณยุกต์ของคำถามจึงเป็นสิ่งที่สามารถบอกว่า คำตอบที่ถูกส่งไปให้ผู้เข้าสอบเป็นคำตอบของชุดไหน
นอกจากนี้ อีกวิธีการโกงสอบที่ทำกันมาก คือการจ้างคนที่เรียกกันว่า "มือปืน" ประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรก รับจ้างเข้าไปสอบแล้วฉกข้อสอบออกมา ระหว่างทำข้อสอบพวกนี้จะออกอุบายป่วยหนักหรือเข้าห้องน้ำ ทำทุกทางเพื่อเอาข้อสอบออกมา บางครั้งซ่อนกล้องเล็กๆ อาทิ กล้องกระดุม กล้องปากกา กล้องดินสอ และกล้องยางลบ เป็นต้น เข้าห้องสอบ เพื่อถ่ายข้อสอบออกมาแล้วส่งสัญญาณภาพให้ "มือปืน" อีกคน ทำหน้าที่เฉลย โดยมี "มือปืน" อีกคนทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ผู้ที่เข้าสอบผ่านอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ ที่ส่วนใหญ่เป็นสัญญาณสั่น ซักซ้อมกันมาอย่างดี ส่งผ่านสัญญาณคลื่นสั้น คลื่นรีโมต หรือกระทั่งสัญญาณโทรศัพท์
หรือจะเป็นการส่งมือดีเข้าไปดูข้อสอบก่อน กล่าวคือลักษณะนี้เป็นจะเป็นคนของแก๊งโกงข้อสอบที่ส่งคนรับจ้างสอบโดยเฉพาะ ซึ่งโดยจะแฝงตัวเข้าไปสอบจริง ประเด็นหลักสำคัญคือเพื่อจดจำข้อสอบและนำคำตอบมาให้ผู้ส่งสัญญาณ เพื่อที่จะส่งสัญญาณกลับเข้าไปให้ผู้เข้าสอบตัวจริง แต่มือปืน ต้องพยายามรีบทำข้อสอบเพื่อออกทันทีตามเวลาขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อจำคำตอบออกมาให้ผู้สัญญาณไปเฉลยให้ผู้ที่เข้าสอบส่วนใหญ่อยู่ มือปืน ที่ส่งเข้าไปไม่ใช่มีแค่คนเดียว แต่ละส่งเข้าไปทีละหลายคน ตามรายวิชาที่คนนั้นถนัด เช่นวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ สังคม ฯลฯ
ขณะที่บางครั้งการโกงข้อสอบก็ใช้คนน้อยกว่านั้น คือให้ผู้เข้าสอบซุกซ่อนกล้องกระดุมเล็กๆ เข้าไป และส่งสัญญาณภาพมาให้ผู้ที่ทำหน้าที่เฉลยให้ข้างนอก แล้วรอรับสัญญาณคำตอบ ซึ่งคนส่งสัญญาณก็จะประจำอยู่บริเวณรอบสนามสอบโดยห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
นอกจากนั้น นายกรกฎ กิจนาค หนึ่งหัวหน้าแก๊งขบวนการโกงข้อสอบก็ยังให้การยอมรับว่า จะเป็นคนติดต่อหาลูกค้าจากเฟซบุ๊ก หลังรับงานมาแล้วจะว่าจ้างบุคคลสวมรอยเป็นผู้มีสิทธิ์สอบตัวจริงเข้าไปสอบแทน และปลอมแปลงบัตรประชาชนให้ตัวแทนที่เข้าสอบทุกคน โดยให้ค่าจ้างสอบแทนรายละ 22,000 บาท จ่ายก่อน 2,000 บาท หากสอบผ่านจะได้รับเงินส่วนที่เหลืออีก 20,000 บาท จากนั้นนัดหมายตัวแทนมาพบกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เหมารถตู้เดินทางลงมา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และเข้าพักโรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ 1 คืน กระทั่งเช้าเดินทางมาที่สนามสอบเพื่อเตรียมยื่นเอกสารเข้าสอบ แต่เกิดความผิดพลาดกับผู้จ้างวาน ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบเอกสารพบพิรุธจนนำไปสู่การจับกุมได้ยกแก๊งดังกล่าว
แต่ทีเด็ดที่จากการสืบสวนแล้วพบข้อมูลตรงกัน ในหลายกลุ่มของแก๊งโกงข้อสอบตำรวจพบว่า ข้อมูลตรงกันว่า มีผู้มาติดต่อว่าจะช่วยให้สอบได้โดยต้องจ่ายเงิน 30,000 บาทก้อนแรก แล้วได้เครื่องนี้มาติดตอนเข้าสอบ มีการซักซ้อมการส่งสัญญาณกัน และจากนี้หากสอบได้จะต้องจ่ายอีก 470,000 บาท รวมแล้ว 500,000 บาทแลกกับการสอบเข้าได้
ในมุมเดียวกันหากใครจะคิดไปว่าเงินกว่าครึ่งล้านเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่สำหรับผู้ที่กำลังโกงเพื่อให้ได้เป็นตำรวจนั้น ต้องบอกว่า เป็นจำนวนไม่มากแม้แต่น้อย แถมยังเป็นการลงทุนที่แสนจะคุ้มค่าหากมองไปถึงอนาคตที่จะเหยียบไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่โต ก็มีเวลาที่จะถอนทุนคืนอีกมากในภายภาคหน้าที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์
ไม่ต้องออกข่าวใหญ่โตประชาชนก็พอจะทราบเป็นอย่างดีว่าการทุจริตของตำรวจมีมาอย่างต่อเนื่อง รีดเงิน รับส่วย เกี่ยวพันกับยาเสพติด ซึ่งถ้าเทียบกับเม็ดเงินเพียงไม่กี่แสนที่ต้องเสียให้การโกงข้อสอบเรียกว่าเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ข้ามฟากมาที่หัวเรือใหญ่ในการรับผิดชอบครั้งนี้ ภายหลังมีการจับกุมผู้เข้าสอบได้พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เตรียมทุจริตจำนวนมากเป็นครั้งประวัติศาสตร์ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มีคำสั่งในวันที่ 11 มิ.ย. ให้ระงับการตรวจข้อสอบทั้งหมดไว้ก่อนชั่วคราว พร้อมกำชับให้เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายผู้กระทำผิดทันที เพราะมีบุคคลเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหลายกลุ่ม จึงต้องรีบกระชากหน้ากากของผู้ที่อยู่ในกระบวนการทั้งหมดออกมาให้ได้
จากนั้นในวันที่ 12 มิ.ย. หลังจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อสรุปการสืบสวนการทุจริตการสอบ ก็ได้ตัดสินใจมีคำสั่งให้ยกเลิกการสอบเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. เพื่อความโปร่งใสและยุติธรรม นอกจากนี้ยังให้ตั้งชุดพนักงานสอบสวน 4 ชุดขึ้นมาร่วมคลี่คลายคดีทั้งหมด ส่วนกำหนดการสอบใหม่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
"รู้ตัวผู้อยู่เบื้องหลังหมดแล้วเชื่อว่าเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มกวดวิชา รวมถึงมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องที่สามารถจับกุมตัวได้แล้ว ยืนยันว่า ข้อสอบไม่ได้รั่วออกไปอย่างแน่นอน ตำรวจรู้ขั้นตอนการทำงานของกลุ่มทุจริตนี้แล้วทำมาหลายครั้ง ไม่ใช่เฉพาะการสอบตำรวจเท่านั้น พวกคุณร่ำรวยมากเป็นร้อยล้านแล้ว ฉะนั้นจะไม่ปล่อยให้กระทำผิดซ้ำอีกจะดำ เนิน คดีอย่างแน่นอน" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์จะต้องทำมากกว่านี้ก็คือ อย่าดีแต่โม้และลากคอผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนเสื้อแดง ติวเตอร์ดัง ตำรวจระดับนายพลหรือที่ปรึกษารัฐมนตรี มาลงโทษให้จงได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับการสอบตำรวจ หากแต่เคยเกิดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และไม่เคยสาวถึงตัวการที่แท้จริงแม้แต่ครั้งเดียว
ที่สำคัญคือเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ตัวการใหญ่ของแก๊งโกงข้อสอบไม่น่าจะมีแค่ตำรวจระดับประทวนหรือระดับชั้นสัญญาบัตรตัวจ้อยๆ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเท่านั้น หากแต่เชื่อว่า มีนายตำรวจระดับ “นายพล” รู้เห็นเป็นใจ มิหนำซ้ำจะ เป็นหัวโจกใหญ่เสีย ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์กล้าที่จะจัดการหรือไม่เท่านั้น
นี่ไม่นับรวมถึงการรับเงินรับทองเพื่อให้ได้เข้ารับราชการเป็นตำรวจโดยที่การสอบเป็นเพียงพิธีกรรมอำพราง ซึ่งมีเสียงร่ำลือว่ามีระดับ “บิ๊ก” ทำเป็นขบวนการอย่างเป็นล่ำเป็นสันเช่นกัน
ดังนั้นแล้วจงอย่าได้แปลกใจหากประชาชนที่หมดศรัทธากับองค์กรตำรวจไปมากต่อมากแล้ว และยิ่งเกิดเหตุการณ์ข่าวใหญ่โตอย่างนี้ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศแล้ว จะไม่เหลือความศรัทธาให้แก่องค์กรสีกาสีอีกต่อไป ก็เอาแค่ว่าแค่สอบเข้าก็โกงกันหนักหน่วงขนาดนี้แล้ว แล้วถ้าหากคนเหล่านี้เล็ดลอดมาเป็นตำรวจจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา คำตอบก็มีในตัวเองอยู่แล้ว