วันนี้สภาผู้แทนราษฎรจะประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สภาชุดนี้ได้แสดงความขยันขันแข็งด้วยการขยายวันประชุมเพื่อที่จะออกกฎหมายเพื่อพ่อแม้ว ทักษิณ ชินวัตร ของพวกเขา นั่นก็คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งความจริงไม่ใช่การแก้ไข หากเป็นการจัดให้มี ส.ส.ร.เพื่อให้มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา แล้วจะฉีกรัฐธรรมนูญเก่า พุทธศักราช 2550 ทิ้ง และร่างพ.ร.บ.อีก 4 ฉบับที่มีเนื้อหาไม่ต่างกัน พวกเขาเรียกมันว่า ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง แต่ความจริงมันคือร่างพ.ร.บ.ปอกลอก หรือร่างพ.ร.บ.ล้างผิดให้พ่อแม้วของพวกมัน
ร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ค้างเติ่งอยู่ในสภา เนื่องจาก
1. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลใช้เสียงข้างมาก เอาชนะฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์จนกระทั่งสามารถผ่านวาระที่ 2 เป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งกำหนดเอาไว้แล้วเป็นวันที่ 5 มิถุนายน ก็จะลงมติวาระที่ 3 มันเหมือนหมูอยู่ในอวย เหมือนพิราบนึ่งอยู่ในจาน พลันที่กำลังเอื้อมมือจะเอาเข้าปาก หมูในอวยก็ลุกขึ้นวิ่ง พิราบที่ดูประหนึ่งทอดเสร็จแล้ว โผบินไปจากจาน
เพราะวันที่ 1 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของคณะบุคคลและบุคคลต่างๆ 5 รายที่ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลน่าจะเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 พวกเขาจึงใช้สิทธิในการที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวเสีย
ศาลรับคำร้องเอาไว้เพื่อพิจารณา และแจ้งต่อเลขาธิการรัฐสภา ให้แจ้งต่อประธานรัฐสภาให้เลื่อนการลงมติวาระที่ 3 ออกไปก่อนจนกว่าศาลจะได้วินิจฉัยเรื่องนี้ และให้รัฐบาล คณะบุคคลต่างๆ ที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยื่นคำให้การแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ
การที่ศาลรับคำร้องสร้างความเป็นเดือดเป็นแค้นแก่บรรดาลิ่วล้อทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างยิ่ง ทางหนึ่งพวกเขาตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 ท่าน เว้นนายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนเดียวที่บรรดาลิ่วล้อทักษิณ ชินวัตร ชื่นชอบเป็นพิเศษ อีกทางหนึ่งพวกเขามีความเห็นว่า รัฐสภาไม่ควรรับฟังมติศาล เพราะศาลไม่มีอำนาจที่จะมาสั่งสภา ควรที่จะลงมติวาระที่ 3 ไปเลย เป็นไงเป็นกัน
วันนี้แหละที่เราจะได้รู้ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานรัฐสภาจะตัดสินใจอย่างไร จะเดินหน้าลงมติวาระที่ 3 หรือจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง พิจารณาคำให้การของผู้ถูกร้องแล้ววินิจฉัยออกมา
ถ้าหากเดินหน้าก็ค่อนข้างจะเสี่ยง ถ้าหากศาลท่านเห็นว่า การแก้ไขมาตรา 291 ดังกล่าว เป็นเรื่องที่ทำได้ นั่นก็แล้วไป แต่ถ้าหากศาลเห็นเจตนาที่จะดึงดันลงมติให้ได้ ทั้งที่จะเลื่อนออกไปอีกสักเดือน/สองเดือนก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด
นี่เป็นเรื่องที่รัฐสภาจะต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
การเลื่อนออกไปอีกสักเดือนครึ่งเดือน คนที่เดือดร้อนคือ พ่อแม้ว ทักษิณ ชินวัตร ผู้เสมือนบิดาบังเกิดเกล้าที่ทุรนทุรายอยากจะกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ แต่ไม่ห่วงเลยว่า บรรดาลิ่วล้อ บรรดาลูกๆ จะประสบชะตากรรมอย่างไร ถ้ายังดึงดันเดินหน้าไม่ฟังศาล
2. ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ร่างกฎหมายนี้เสนอเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ทั้งที่ก่อนเสนอร่างกฎหมายนี้ บ้านเมืองก็เป็นปกติดี แต่พอเสนอร่างกฎหมายนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาเท่านั้นแหละ ประชาชนนับพันนับหมื่นก็ออกมาคัดค้านอย่างแข็งขัน จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรชะลอการพิจารณาเอาไว้จนถึงวันนี้
รออยู่แต่เพียงว่า ประชาชนเผลอเมื่อไร สภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงส่วนใหญ่ก็จะอาศัยความหน้าด้านนำมาพิจารณา
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขา
ในซีกของผู้ที่รับใช้ ทักษิณ ชินวัตรนั้นมีนักกฎหมายมากมาย หาใช่มีเพียง เฉลิม อยู่บำรุง ดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย แต่คนเดียวก็หาไม่ พงษ์เทพ ก็ดี พีรพันธุ์ ก็ดี ได้ชื่อว่าเป็น อาจารย์สอนวิชากฎหมายด้วยซ้ำ เห็นก็เห็น รู้ก็รู้ว่า ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ที่ล้มล้างคำพิพากษาของศาลสถิตยุติธรรมจะผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้อย่างไร ขื่อแปของบ้านเมืองจะอยู่ที่ไหน
คนที่ศาลตัดสินไปแล้วว่าเผาศาลากลางจังหวัด ยิงวัดพระแก้ว เผาร้านค้าที่ราชประสงค์ ช่อง 3 ฯลฯ ก็จะได้รับการปล่อยตัวออกมาเสมือนไม่ได้กระทำความผิด
หรือเพื่อผู้เป็นเสมือนบิดาบังเกิดเกล้าแล้วเกิดอาการหน้ามืดตามัว มองไม่เห็นสัจธรรม มองไม่เห็นความถูกต้องดีงาม ยอมได้ทุกอย่าง ไม่รู้สึกละอายตัวเองหรือทุเรศตัวเองบ้างเลยหรือ?
คิดหรือว่าผ่านกฎหมายอย่างนี้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงที่รักความเป็นธรรมจะยอมง่ายๆ
อย่างแย่ที่สุดก็ต้องมีคนร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญบ้างละน่าสัก 4-5 รายเหมือนกรณีที่มีการปู้ยี่ปู้ยำรัฐธรรมนูญ
ร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ค้างเติ่งอยู่ในสภา เนื่องจาก
1. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลใช้เสียงข้างมาก เอาชนะฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์จนกระทั่งสามารถผ่านวาระที่ 2 เป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งกำหนดเอาไว้แล้วเป็นวันที่ 5 มิถุนายน ก็จะลงมติวาระที่ 3 มันเหมือนหมูอยู่ในอวย เหมือนพิราบนึ่งอยู่ในจาน พลันที่กำลังเอื้อมมือจะเอาเข้าปาก หมูในอวยก็ลุกขึ้นวิ่ง พิราบที่ดูประหนึ่งทอดเสร็จแล้ว โผบินไปจากจาน
เพราะวันที่ 1 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของคณะบุคคลและบุคคลต่างๆ 5 รายที่ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลน่าจะเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 พวกเขาจึงใช้สิทธิในการที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวเสีย
ศาลรับคำร้องเอาไว้เพื่อพิจารณา และแจ้งต่อเลขาธิการรัฐสภา ให้แจ้งต่อประธานรัฐสภาให้เลื่อนการลงมติวาระที่ 3 ออกไปก่อนจนกว่าศาลจะได้วินิจฉัยเรื่องนี้ และให้รัฐบาล คณะบุคคลต่างๆ ที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยื่นคำให้การแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ
การที่ศาลรับคำร้องสร้างความเป็นเดือดเป็นแค้นแก่บรรดาลิ่วล้อทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างยิ่ง ทางหนึ่งพวกเขาตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 ท่าน เว้นนายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนเดียวที่บรรดาลิ่วล้อทักษิณ ชินวัตร ชื่นชอบเป็นพิเศษ อีกทางหนึ่งพวกเขามีความเห็นว่า รัฐสภาไม่ควรรับฟังมติศาล เพราะศาลไม่มีอำนาจที่จะมาสั่งสภา ควรที่จะลงมติวาระที่ 3 ไปเลย เป็นไงเป็นกัน
วันนี้แหละที่เราจะได้รู้ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานรัฐสภาจะตัดสินใจอย่างไร จะเดินหน้าลงมติวาระที่ 3 หรือจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง พิจารณาคำให้การของผู้ถูกร้องแล้ววินิจฉัยออกมา
ถ้าหากเดินหน้าก็ค่อนข้างจะเสี่ยง ถ้าหากศาลท่านเห็นว่า การแก้ไขมาตรา 291 ดังกล่าว เป็นเรื่องที่ทำได้ นั่นก็แล้วไป แต่ถ้าหากศาลเห็นเจตนาที่จะดึงดันลงมติให้ได้ ทั้งที่จะเลื่อนออกไปอีกสักเดือน/สองเดือนก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด
นี่เป็นเรื่องที่รัฐสภาจะต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
การเลื่อนออกไปอีกสักเดือนครึ่งเดือน คนที่เดือดร้อนคือ พ่อแม้ว ทักษิณ ชินวัตร ผู้เสมือนบิดาบังเกิดเกล้าที่ทุรนทุรายอยากจะกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ แต่ไม่ห่วงเลยว่า บรรดาลิ่วล้อ บรรดาลูกๆ จะประสบชะตากรรมอย่างไร ถ้ายังดึงดันเดินหน้าไม่ฟังศาล
2. ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ร่างกฎหมายนี้เสนอเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ทั้งที่ก่อนเสนอร่างกฎหมายนี้ บ้านเมืองก็เป็นปกติดี แต่พอเสนอร่างกฎหมายนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาเท่านั้นแหละ ประชาชนนับพันนับหมื่นก็ออกมาคัดค้านอย่างแข็งขัน จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรชะลอการพิจารณาเอาไว้จนถึงวันนี้
รออยู่แต่เพียงว่า ประชาชนเผลอเมื่อไร สภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงส่วนใหญ่ก็จะอาศัยความหน้าด้านนำมาพิจารณา
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขา
ในซีกของผู้ที่รับใช้ ทักษิณ ชินวัตรนั้นมีนักกฎหมายมากมาย หาใช่มีเพียง เฉลิม อยู่บำรุง ดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย แต่คนเดียวก็หาไม่ พงษ์เทพ ก็ดี พีรพันธุ์ ก็ดี ได้ชื่อว่าเป็น อาจารย์สอนวิชากฎหมายด้วยซ้ำ เห็นก็เห็น รู้ก็รู้ว่า ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ที่ล้มล้างคำพิพากษาของศาลสถิตยุติธรรมจะผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้อย่างไร ขื่อแปของบ้านเมืองจะอยู่ที่ไหน
คนที่ศาลตัดสินไปแล้วว่าเผาศาลากลางจังหวัด ยิงวัดพระแก้ว เผาร้านค้าที่ราชประสงค์ ช่อง 3 ฯลฯ ก็จะได้รับการปล่อยตัวออกมาเสมือนไม่ได้กระทำความผิด
หรือเพื่อผู้เป็นเสมือนบิดาบังเกิดเกล้าแล้วเกิดอาการหน้ามืดตามัว มองไม่เห็นสัจธรรม มองไม่เห็นความถูกต้องดีงาม ยอมได้ทุกอย่าง ไม่รู้สึกละอายตัวเองหรือทุเรศตัวเองบ้างเลยหรือ?
คิดหรือว่าผ่านกฎหมายอย่างนี้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงที่รักความเป็นธรรมจะยอมง่ายๆ
อย่างแย่ที่สุดก็ต้องมีคนร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญบ้างละน่าสัก 4-5 รายเหมือนกรณีที่มีการปู้ยี่ปู้ยำรัฐธรรมนูญ