ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และสั่งให้สภาชะลอ การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ทำให้ประชาธิปไตยแบบเลวๆ ของทักษิณ และนปช. ต้องสะดุด
ประชาธิปไตยที่โกงแล้ว ขอเงินคืนได้ ด้วยการออกกฎหมาย
มิหนำซ้ำยัง ขอเขียน “คำพิพากษา” สั่งให้พ้นผิดไปจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกด้วย
คำถามใหญ่ก็คือ การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การปกครองลักษณะอื่นที่มิใช่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ ขอยืนยันศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการรับคำร้องตาม มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ที่มาตราดังกล่าวถือเป็นมาตรการป้องกัน หลังมีผู้กล่าวหา ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การปกครองลักษณะอื่น ซึ่งข้อเท็จจริงต้องมีการไต่สวนต่อไป หลังพบว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นไปได้ในการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา
แต่ก่อนหน้านี้ พลพรรคเพื่อไทยพากันสรรเสริญเยินยอการพิจารณา พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ฉบับของรัฐบาล
นั่นหมายความว่า ประชาธิปไตยของพรรคเพื่อไทย ก็คือ ความคิดของพวกเขา คือความถูกต้องทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ยึดอำนาจนิติบัญญัติ ออกกฎหมายเพื่อคืนเงินให้หัวหน้าพรรคตัวจริง และนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมด
ให้น้องสาวยึดอำนาจบริหารประเทศ โดยเอาภาษีของคนทั้งประเทศ มาปรนเปรอพรรคพวก ( แทนที่จะเอาเงินทักษิณ )
แต่ทักษิณ กำลังจะยึดอำนาจศาล ขียนคำพิพากษาให้ตัวเอง “ถูกต้อง” ตามกฎหมาย
แต่เมื่อข้อสงสัยเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกตรวจสอบ เพราะไม่มีคนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทย จะไม่แก้ไขหมวดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
นั่นทำให้มีคำร้องรวม 5 คำร้อง ถึงศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย คำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และคณะ ,นายวันธงชัย ชำนาญกิจ , นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ,นายวรินทร์ เทียมจรัส และ นายบวร ยสินทร และคณะ กรณีคณะรัฐมนตรี รัฐสภา พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ,รวมทั้งนายสุนัย จุลพงศธร และคณะ และนายภราดร ปริศนานันทกุล และคณะ ผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
“ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ให้สิทธิแก่ผู้ที่ทราบถึงการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่อมมีสิทธิให้มีการตรวจสอบการกระทำดังกล่าว จึงมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาทั้ง 5 คำร้อง โดยให้รวมพิจารณาคำร้องไปในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา”
ทำให้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งรัฐสภา รอการดำเนินเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
โดยศาลนัดคู่กรณีไต่สวน 5-6 ก.ค.นี้
จนทำให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. นัดรวมพลหน้ารัฐสภา เพื่อรวบรวมรายชื่อ 20,000 คน เสนอถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แต่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนอย่าง วสันต์
นางธิดา ถาวรเศรษฐ แดงจอมปลอมเต้นเป็นเจ้าเข้า เพราะเธอคิดว่า นี่ไม่ใช่หลักการประชาธิปไตยเลวๆ แบบเผาเมืองแล้วได้เป็นรัฐมนตรี
นั่นทำให้พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์คัดค้านทันที
“จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ท่าทีของพรรค ต่อคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ชะลอการลงมติโหวตรับหลักการในวาระที่ 3 ออกไปก่อน ว่า
“ พรรคเพื่อไทยได้พิจารณากรณีคำสั่งดังกล่าวแล้วเห็นว่า บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 มีความชัดเจนในลายลักษณ์อักษรว่า การร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 68 ต้องร้องผ่านอัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยในเบื้องต้น หากเห็นว่ามีกรณีการกระทำตามมาตรา 68 อัยการสูงสุดจะเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ”
นั่นคือ ข้อโต้แย้งของพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า “บุคคล” ที่ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ไม่ถูกต้อง”
โดยพรรคเพื่อไทย “ไม่แย้ง” ในเนื้อหาสาระว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ไม่แปลกที่ “วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยืนกรานอย่างนิ่มๆ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติ ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้ เพราะหากไม่ชะลอ การไต่สวนของศาลฯ ก็จะไร้ผล
“เหตุผลสำคัญคือ ผู้ยื่นคำร้องระบุในเนื้อหาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบใหม่ ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า สมควรหรือไม่ที่จะต้องตรวจสอบ เพื่อให้ความมั่นใจต่อสังคม เพราะหากมีสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้วพลิกประเทศจริง จะทำอย่างไร ”
ที่สำคัญข้อโต้แย้งตามมาตรา 68 นั้น วสันต์ เปิดตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญว่า “ขอให้ไปดูรัฐธรรมนูญฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ จะชัดเจน ว่า การยื่นคำร้อง เป็นเรื่องของผู้ทราบ ไม่ใช่เรื่องของอัยการสูงสุด ( อสส. ) เพียงอย่างเดียว”
วสันต์ ยังอธิบายอีกว่า “ ศาลจึงอยากที่จะรู้ว่า คนเหล่านี้ (ส.ส.ร.) มีความคิดในเรื่องรูปแบบของการปกครองอย่างไร เช่น ถ้าบอกว่าจะไม่แตะสถาบันฯ แต่ทำไมถึงไม่ยกเว้นในหมวด 1 หมวด 2 ไว้ อย่างนี้มันต้องชัดเจน และต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน และผู้ที่ร้องมา”
นั่นหมายความว่า การยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมีการเปลี่ยนแปลงหมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
ส่งผลแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง ได้แถลงท่าทีพันธมิตรฯ ภายหลังการประชุม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า จะออกมาชุมนุมอีกครั้ง หากเกิดเงื่อนไข 2 ประการ คือ หากมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และการนำ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าที่ประชุมสภา
“ พื้นฐานพันธมิตรฯ เราจะออกมานำประชาชนรวมตัวชุมนุม ในเงื่อนไข 2 เรื่อง ประกอบด้วย 1 ) มีกระบวนการหรือการดำเนินการที่กระทำโดยรัฐบาล หรือรัฐสภา ที่จะทำให้เป็นการทำลายหรือการสั่นคลอนสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ มาตรา 112 หรือการลดพระราชอำนาจ อันนี้ชัดเจน ถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้จะออกมาทันที 2 ) เมื่อใดที่มีการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อยกโทษความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก เพื่อให้พ้นความผิด เราก็จะออกมาชุมนุมเช่นกัน” สนธิ แถลง 2 เงื่อนไขสำคัญ
แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งก็คือ เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเชื่อกันอย่างกลายๆ ว่า การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เงื่อนไขอีกข้อก็คือ การคืนเงิน และนิรโทษกรรมให้ทักษิณ
หลายคนเชื่อว่า พฤติกรรมของทักษิณ ชินวัตร เป็นพฤติกรรมที่ค้นหาความดีได้ยาก
แม้กระทั่ง “กรณ์ จาติกวณิช” ส.ส.ประชาธิปัตย์ อดีต รมว.คลัง ได้เขียนข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij ว่า "ใครเป็นโจรกันแน่" เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา
โดยระบุว่า “หนึ่งอาทิตย์ในทางการเมืองมันช่างยาวนาน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทักษิณบอกลาชาวเสื้อแดง และประกาศว่าเป็นการ 'โฟนอิน' เที่ยวสุดท้าย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคำร้องว่า วิธีการแก้รัฐธรรมนูญของทักษิณ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทักษิณประมาทประชาชนมากเกินไป ไม่คิดว่าคนไทยจะออกมาต่อต้านการ 'ล้างผิด' ตัวเองมากถึงขนาดนี้ จึงต้องหันกลับไปพึ่งมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง และการ 'โฟนอิน' เมื่อวานนี้ คงมีความลนลานในใจมาก เพราะทักษิณพูดเละเทะ มากเป็นพิเศษ”
“ ทักษิณบ่นว่า รัฐบาลกำลังตั้งใจทำงาน แต่มีคนมาปล่อยข่าวปฏิวัติ นอกจาก จตุพรแล้ว ผมไม่เห็นใครออกมาพูดข่าวนี้สักคน จนผมเริ่มกังวลว่า ถ้าการออกกฎหมายเถื่อนเหล่านี้ไม่สำเร็จ ทักษิณจะปฏิวัติตัวเองเพื่อดันกฎหมายเหล่านี้หรือไม่ ทักษิณ ด่าคู่ต่อสู้ว่า ต้อง 'รักษากฎหมาย' แล้วก็ด่าศาลรัฐธรรมนูญว่า 'ไม่มีคุณธรรมในการรักษากฎหมาย' เพราะว่าไม่ได้ดังใจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ผมยังจำได้ เมื่อสามเดือนก่อนชมศาลนักหนา ในวันที่ศาลออกมายืนยันการออกพระราชกำหนดกู้เงินโดยรัฐบาล สรุปทักษิณ ก็คือทักษิณ เอาแต่ได้ตลอดกาล แต่ที่มั่วที่สุด คือ การพูดถึงเงิน 46,000 ล้านบาท ที่ศาลฎีกาพิพากษายึดเป็นของหลวง เพราะเป็นเงินที่ได้มาจากการทุจริตโกงชาติโกงเมือง ทักษิณบอกว่าก่อนเล่นการเมือง 'ผมมีตังค์มาก่อน' และ 46,000ล้านนั้น 'เป็นเงินที่ผมถูกขโมยไป'
กรณ์ ยังอธิบายอย่างสรุปรวบยอดได้อย่างเห็นภาพว่า ศาลฎีกาฯได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า ทักษิณซุกหุ้นอย่างผิดกฎหมาย และใช้อำนาจทางการเมือง “เอื้อประโยชน์” ให้กับบริษัทของตัวเอง เช่น เรื่องเอื้อไม่ให้ AIS ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตบ้าง โดยให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ่ายแทน หรือเรื่องการแก้สัมปทานเพื่อให้ AIS จ่ายส่วนแบ่งรายได้ในระบบ pre-paid น้อยลง
แปลไทยเป็นไทยก็คือ ทักษิณโกงมานั่นเอง โกงโดยออกกฎ ระเบียบ กฎหมายใส่พานบริษัทของเขาเอง
“ ทั้งหมดทำให้บริษัทกำไรมหาศาล และทำให้ราคาหุ้นที่ทักษิณ 'แอบ' ถืออยู่ขึ้นมาจากประมาณ 30,000 ล้าน เป็น 76,000 ล้าน และนั่นคือที่มาของคำพิพากษายึดส่วนต่าง 46,000ล้าน ทักษิณ 'มีตังค์มาก่อน' จริงครับ แต่ 46,000 ล้านนี้มา 'โกงทีหลัง' ที่ศาลได้คืนทุนเดิมให้ ผมว่าก็เมตตาแล้ว วันนี้ยังมีหน้ามาด่าศาล ว่าเป็นโจรอีก” กรณ์ เขียนสรุปไว้ตอนท้าย
นั่นทำให้ ทักษิณ พูดผ่านทางโทรศัพท์ภายในงาน “ครึ่งทศวรรษความจริงวันนี้” ซึ่งจัดโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่อาคารธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า
“ ต้องไปถาม พลตรี จำลอง ที่มายืนประท้วงผม วันที่มาเชิญไปเป็น รมว.ต่างประเทศ ปี 37 เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผมประกาศมีทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้าน ผมมีตังค์ค้าขายร่ำรวยมาก่อน ไม่ใช่ต้มใครมาก่อน แล้วมาเป็นนักการเมืองที่มีตังค์ เด็กรุ่นหลังคิดว่า ผมเข้ามาการเมืองมีแต่เงินหายไป เงิน 4.6 หมื่นล้าน ไม่ได้ปล้นใครมา แต่เขาปล้นผมไป ต้องการให้เข้าใจว่า เป็นเงินของผม ของครอบครัว ที่ถูกขโมยไป ปล้นไป”
ทักษิณไม่ได้ปล้น แต่โกง....และเป็นโคตรโกงเสียด้วย เพราะก่อนหน้านั้น ทักษิณ มีทรัพย์สินแค่ 23,878 ล้านบาทเท่านั้น
สงครามล้างคนชั่ว จึงต้องเริ่มขึ้น !!