ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ด้วยความเคลื่อนไหวอันทรงพลังของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ประสานกับแนวร่วมที่ยึดพื้นที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถทำหน้าที่ “สภาทาส” เปิดประชุมโหวตผ่าน “กฎหมายอัปยศ” ฉบับดังกล่าวได้
ท้ายที่สุด “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ดื้อแพ่งหวังเดินหน้าเปิดประชุมเอาใจ “นายใหญ่” จำต้องออกคำสั่งให้เลื่อนการประชุมพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ทำให้ปฏิทินการเมืองที่พรรคเพื่อไทยวางไว้ต้องทอดเวลาออกไปแบบไร้จุดหมาย
ถือเป็นการสั่งสอนรัฐบาลที่จ้องใช้ “อำนาจบาตรใหญ่” ทำทุกวิถีทางเพื่อแสวงประโยชน์ให้ “นช.แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีอาญา และแสดงให้เห็น “พลังอันบริสุทธิ์” ของประชาชนผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ที่พร้อมออกมาหยุดยั้งการสร้าง “ตราบาป” ทำลายชาติบ้านเมืองเพียงเพื่อคนคนเดียว
ที่สำคัญ “นายห้างดูไบ” คงต้องสังคายนา “วอร์รูม” ของตัวเองเสียใหม่ เพราะโดนเป่าหู ประเมินมวลชน “พันธมิตรฯ” ต่ำสุดขีด ถึงชะล่าใจรีบร้อนหวัง “ปิดเกม” ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองให้เสร็จโดยเร็ว แต่การณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นปลุก “ยักษ์หลับ” ให้ตื่นขึ้นมามาป้องปกชาติบ้านเมือง
ทำเอา “นช.ทักษิณ” ที่สู้อุตส่าห์บินมาเกาะติดสถานการณ์อยู่ที่ “แดนลอดช่อง” ประเทศสิงคโปร์ ต้องควันออกหูสั่งใช้ “ไม้แข็ง” เข้ากำราบผู้ชุมนุม และเปิดทางให้ ส.ส.เข้าไปโหวต กฎหมายให้ตัวเองให้ได้ แต่ “แนวหน้า” อย่าง “พล.ต.ท.วินัย ทองสอง” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ต่อกรกับกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่หน้างานในวันนั้น ไม่รับไม้ต่อ และเลือกที่จะถอย ไม่เข้าชาร์จเข้าเคลียร์อย่างที่ “นายใหญ่” สั่ง สุดท้ายก็ถูกเด้งดึ้งไปช่วยราชการที่ สตช.
กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้รัฐบาลต้อง “ยกเครื่อง” ปรับกระบวนทัพในการรับมือ “พันธมิตรฯ” ครั้งใหญ่
เพราะการถอยในวันนั้นของฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นเพียงการถอยครึ่งก้าว รอจังหวะเดินหน้าต่อ เมื่อยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมรัฐสภา ก็ยังมีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะ “ลักไก่” นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสู่วาระการประชุมอีกในวันไหนก็ได้ ฝ่าย “พันธมิตรฯ” จึงต้องซอยเท้ารอดูความชัดเจน และ พร้อมที่จะเป่านกหวีดเรียกพลมาชุมนุมอีกหน
แจ็คพอตจึงไปลงที่ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” หรือ บช.น. ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการชุมนุม และเป็นที่มาของ “คำสั่งด่วน” ของ “บิ๊กอ๊อบ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ให้ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 มาเสียบแทนที่ พล.ต.ท.วินัย ผบช.น. พ่วงไปด้วย “มือปราบหูดำ” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ที่ได้ไปไปนั่งตบยุงด้วยกันที่ สตช. 30 วัน
สะท้อนให้เป็นถึงความไม่พอใจในผลงานของ “วินัย - วิชัย” ที่ยอมศิโรราบไม่สามารถรับมือ “พันธมิตรฯ” ได้
การเข้ามาของ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ จึงน่าสนใจยิ่ง
เพราะถึงขั้น “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ในภาวะที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมใส่เกียร์ห้าแบบนี้ ย่อมต้องการเห็นผลเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืน
ไม่แปลกที่จะเห็น “บิ๊กแจ๊ส” ทันทีที่เข้ามารับตำแหน่ง โชว์ฟิตปั๋ง สั่งจัดฝึกทบทวนแผน “กรกฎ 52” ไว้เตรียมรับมือม็อบไปแล้ว 3 วันซ้อน ระดมอาวุธควบคุมฝูงชนมาครบครัน ทั้งกระบอง กระสุนยาง หรือแก๊สน้ำตา ตรงตามตำราสลายม็อบแบบที่ไม่ต้องตีความเลย
บวกกับภาพลักษณ์-ชื่อเสียงของ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ รู้โดยทั่วกันว่าเป็นนายตำรวจ “สายเหยี่ยว” ประเภทบู๊ดุดัน และทำงานถึงลูกถึงคน อย่างสมัยที่เคยเป็นใหญ่อยู่ในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็สนองงานแบบกล้าได้กล้าเสียจนได้ “บำเหน็จ” โยกจาก จ.นราธิวาส มาเป็นใหญ่ที่เมืองตราด
ว่ากันว่า การโยกย้ายสลับขุนศึกรอบนี้ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สตช. อาศัยจังหวะกที่ “บิ๊กนัย” เพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิถนนพิชัย ต่อสายไปอ้อนกับ “คนเมืองนอก” เพื่อให้เห็นด้วยกับไอเดียนี้ โดยเสนอให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ซึ่งเป็นนายตำรวจคนสนิท ให้เข้ามารับงานควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมแทน
พร้อมการันตีว่า หากถึง “จุดวิกฤต” ก็พร้อมจัดการขั้นรุนแรงผู้ชุมนุม
ทำเอา “นายใหญ่” ลิงโลดเหมือนได้พลอย เพราะผิดหวังกับความ “ใจมด” ของ พล.ต.ท.วินัย ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยของเมียตัวเอง จึงกด “ไฟเขียว” ผ่านให้ออกคำสั่งด่วน แบบที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ค่อยเต็มใจ เพราะเหมือนถูกลูบคมที่ “รองฯเหลิม” เข้ามาจุ้นจ้านในอาณาจักรตัวเอง
ผนวกกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่เคยมีข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม หวังดันก้น พล.ต.ต.คำรณวิทย์ มานั่ง ผบช.น. คุมตำรวจในเมืองหลวง แต่ก็ไม่อาจต้านแรงส่ง พล.ต.ท.วินัย ที่เข้าวิน จากอิทธิพลของบ้านจันทร์ส่องหล้าไปได้ จน พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ต้องผิดหวัง และไปนั่งเป็น รอง.ผบช.ภ.1 อยู่ที่เดิม ทั้งที่ตำแหน่ง ผบช.ภ.1 ยังว่าง ก็ยังได้เป็นแค่ “รักษาการ” เท่านั้น ประจวบเหมาะเคราะห์ดีที่เกิดเรื่องม็อบขึ้นมา จึงมีโอกาสได้มารักษาการในนครบาลแทน
สำนวนไทยว่า ได้คืบก็จะเอาศอก เพราะไม่ทันไรก็มีข่าวแว่วว่าในวงประชุม “คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ” หรือ ก.ตร.นัดพิเศษ ศุกร์ที่ 8 มิ.ย.นี้ “สารวัตรเหลิม” ประธาน ก.ตร. เตรียมนำเรื่องความล้มเหลวกับการจัดการ “พันธมิตรฯ” เข้าที่ประชุม และอาจจะใช้โอกาสนี้ดัน “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เด็กในคาถา ให้ยึดเก้าอี้ “ผบช.น.” อย่างเต็มตัว ไม่ต้องนั่งรักษาการต่อไปอีก พร้อมด้วย “พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา” รอง ผบช.ภ.1 นรต.รุ่น 30 เพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ให้เข้ามาเป็น รอง ผบช.น. เข้ามารับผิดชอบดูแลการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม.แทนที่ พล.ต.ต.วิชัย ด้วย ส่วน พล.ต.ท.วินัย ก็ถูกส่งออกปีกไปนั่ง ผบช.ภ.1 แทน
งานนี้ “บิ๊กแจ๊ส” อาจได้นั่ง ผบช.น.เต็มตูดแบบไม่นึกไม่ฝันมาก่อน
กลายเป็นลาภก้อนใหญ่ที่ได้รับตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงาน เหมือน “แรงอัดฉีด” ให้ทำงานควบคุมผู้ชุมนุมอย่างเต็มที่ เฉียบขาด
ยิ่งหากเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. และฝ่ายตำรวจสามารถป้องกันหัวหาดหน้ารัฐสภา เปิดทางให้ ส.ส.เข้าประชุมได้ และผ่านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯได้สำเร็จ
รางวัลหรือความดีความชอบที่ตามมา คงมีอีกเพียบ!!