หลังจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อยับยั้งการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่มีเนื้อหาเพื่อช่วยทักษิณให้พ้นผิด และคืนเงิน 46,000 ล้านบาทให้ตระกูลชินวัตร
มีความเห็นจากศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ในชื่อ Kasian Tejapira ศาสตราจารย์ใช้ชื่อหัวข้อว่า “พลังแปลกปลอมจะไม่สามารถชนะอย่างยั่งยืนในระบอบเสรีประชาธิปไตย”
มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
“คิดอย่างซีเรียส การปิดล้อมสภาก็คือการปิดล้อมช่องทางการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน และการรัฐประหารก็คือการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนไป อย่างแรกทำให้ประชาธิปไตยเป็นอัมพาต อย่างหลังเป็นการสังหารประชาธิปไตย ทั้งสองประการมุ่งทำให้อำนาจของประชาชน impotent คือหมดสมรรถภาพ เหมือนบุคคลง่อยเปลี้ยเสียขาพิการ มีชีวิตแต่ไม่มีอำนาจเหนือตนเอง ดูแลจัดการปกครองตนเองไม่ได้
ในทางกลับกัน สภาที่ลงมติผิดพลาด ก็คือการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนอย่างผิดพลาด เมื่อใดที่ประชาชนตระหนักว่ามันผิดพลาด เมื่อนั้นประชาชนก็จะเลือกคณะพรรคผู้แทนชุดใหม่หรือยึดนโยบายใหม่เข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากประชาชนไม่คิดเช่นนั้น กลุ่มเสียงข้างน้อยก็มีสิทธิเสรีภาพจะรณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าประชาชนเสียงข้างมากจะเปลี่ยนใจมาเห็นด้วยกับตน
การที่พันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสีและประชาธิปัตย์เลือกใช้วิธีแรกสะท้อนว่าพวกเขาไม่เชื่อประชาชน (ว่าจะคิดเองเป็นและเปลี่ยนใจได้หากเห็นจริงว่าสิ่งใดถูกต้อง) ไม่เชื่อตนเอง (ว่าจะสามารถใช้เหตุผลข้อเท็จจริงเปลี่ยนใจประชาชนได้) ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพ (ว่าเป็นช่องทางให้ต่อสู้ด้วยเหตุผลเพื่อเปลี่ยนใจประชาชนอย่างสันติ) และไม่เชื่อประชาธิปไตย (ว่าเป็นระบบที่เปิดให้ประชาชนแก้ไขข้อผิดพลาดได้ด้วยการเลือกตัวแทนใหม่หากต้องการ)
ไม่มีทางที่กลุ่มบุคคลที่ไม่เชื่อประชาชน ไม่เชื่อตนเอง ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพและไม่เชื่อประชาธิปไตย จะชนะในระบอบเสรีประชาธิปไตยได้ ต่อให้ปิดสภา ยึดอำนาจ ก็ไม่นานและไม่ยั่งยืน ได้แต่ชะลอวันพ่ายแพ้ราบคาบออกไปด้วยการทำลายตนเอง ทำลายคนอื่น ทำลายระบบเท่านั้น”
......
ข้อกล่าวหาของศาสตราจารย์ต่อพันธมิตรฯ นั้นเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก ผมนำข้อความของศาสตราจารย์ข้างบนนั้นทุกถ้อยคำตัวอักษรมานำเสนอในเฟซบุ๊กของผมแล้วมีความเห็นของผมต่อท้ายว่า
“ข้างบนนั้นเป็นความเห็นของศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกษียร เตชะพีระ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชียวนะครับ
อ่านแล้วไม่แปลกเลยที่ได้ฉายาว่า “จตุพรทางวิชาการ”
ความจริงผมตอบสั้นพอก็ได้ว่า “ปัญญาอ่อน”
ประชาธิปไตยของเกษียรคือ เมื่อส.ส.ได้อำนาจแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ถ้าไม่ดีอีก 4 ปีค่อยมาเลือกใหม่ โคตรโง่บรมเลย
ประชาธิปไตยนั้นมันไม่ได้มีแค่ในสภาแล้วอำนาจประชาชนมันแค่เข้าไปกาบัตรเลือกตั้งโว้ย ท่านศาสตราจารย์
ที่ประชาชนเขาออกมาแสดงพลังนั่นแหละโว้ยที่เขาเชื่อในเสรีภาพของตัวเอง เขาเชื่อประชาธิปไตย และเชื่อว่าประชาชนสามารถกำหนดการเมืองให้อยู่ในครรลองที่ถูกต้องได้ เขาเชื่อว่าการออกมาขับไล่การใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมคือความชอบธรรมของประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ทำให้ถูกใจเกษียรโว้ย
......
คนที่รู้จักศาสตราจารย์ดีคนหนึ่ง พูดกับผมเมื่อได้อ่านความเห็นของศาสตราจารย์ว่า “น่าเสียดาย เพราะอคติเพียงอย่างเดียวทำให้คนเราคับแคบและเป็นไปได้ถึงขนาดนี้”
ส่วนน้ำเสียงของผมหากใครอ่านแล้วก็รู้สึกว่าจะออกอาการเอะอะพาโวยเหมือนกับจิ๊กโก๋ปากซอย ไม่สำรวมที่จะตอบโต้กับคนที่มีตำแหน่งทางวิชาการขนาดนั้น ผมก็ยินดียอมรับข้อกล่าวหานั้นโดยดุษฎี แต่ถ้าใครได้ไปติดตามน้ำเสียงเย้ยหยันเหยียดหยามพันธมิตรฯ หรือบุคคลอื่นของศาสตราจารย์เสมอมา ก็คงจะเข้าใจท่าทีของผมบ้าง
เอาเถอะครับ การตั้งคำถามต่อความคิดของศาสตราจารย์ของผมนั้น เกิดจากความเห็นของศาสตราจารย์ที่แปลความได้ว่า ประชาชนเมื่อไม่พอใจการทำงานของผู้แทนทางออกเดียวที่ประชาชนมี คือ เลือกผู้แทนชุดใหม่ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ตลกมาก เพราะเท่ากับมันอธิบายว่า นักการเมืองเมื่อได้รับอำนาจเข้ามาในสภาแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ส่วนประชาชนทำได้แค่ถึงเวลาค่อยเลือกคนใหม่พรรคใหม่เท่านั้นเอง
มีคนบอกว่า ศาสตราจารย์ตอบคำถามของผมกลับมาในเฟซบุ๊ก เมื่อผมเข้าไปดูกลับพบว่า แทนที่จะโต้แย้งผม ศาสตราจารย์กลับตั้งคำถามใหม่กลับมาว่า
"ด้วยความอิดหนาระอาใจ คงมีแต่คน “โคตรฉลาดบรมเลย” อย่างบก.บห.เอเอสทีวี (คงต้องทำความดีความชอบไว้มากถึงทะยานไต่เต้าขึ้นมากินตำแหน่งนำในสื่อคุณภาพสุดยอดอย่างเอเอสทีวีได้ ทำอะไรมหัศจรรย์มามั่งเนาะถึงได้ถูกใจเฮียลิ้มขนาดนั้น?) เท่านั้นที่คิดพิสดารไปได้ว่าวิธีการอนาธิปไตยแบบที่พันธมิตรฯ เคยใช้มาแล้วสองครั้งสามคราจะบำรุงรักษาประชาธิปไตยและประเทศชาติบ้านเมืองได้ ขณะที่ความเป็นจริง 1) บ้านเมืองประสบความเสียหายหนักหน่วงอับอายขายขี้หน้าเขาไปทั้งโลก 2) สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่ได้ผล แพ้เลือกตั้งให้ฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี 3) บก.บห.และคณะต้องคดีอาญาอุกฉกรรจ์ติดตัวอีนุงตุงนังหลายคดี ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายของแผ่นดินอย่างน่าสมเพชเวทนา
ก็ขอให้เป็นไปตามกรรมที่กระทำเถิดนะครับ ท่าน “โจเซฟ เกิบเบิลส์แห่งท่าพระอาทิตย์”
......
น้ำเสียงที่ศาสตราจารย์เหยียดหยามผมเป็นการส่วนตัวนั้นก็ช่างเถอะ ป่วยการที่ผมจะตอบด้วยตัวเอง แต่ศาสตราจารย์น่าจะถามคนที่ทำงานในวงการนี้หรือไม่ก็เพื่อนนักวิชาการที่รู้จักผมได้ ที่สำคัญผมทำงานในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 2526 ตอนนั้นผมไม่มั่นใจว่า ศาสตราจารย์กลับออกจากป่ามาเรียนมหาวิทยาลัยใหม่หรือยัง
แต่ผมจะตอบคำถาม 3 ข้อของศาสตราจารย์
1. ถ้าการกระทำของพันธมิตรฯ ขายหน้าทั่วโลก วิธีการเอาปืนเอ็ม 79 มายิงจนพันธมิตรฯ ตายนับสิบจนต้องหนีไปที่ปลอดภัย เป็นวิธีของอารยชนหรือ เหตุการณ์ที่ทำไทยเสียชื่อทั่วโลก คือ เหตุการณ์บุกทำลายที่ประชุมอาเซียน+จนผู้นำชาติต่างๆ พากันหนีตาย การชุมนุมติดอาวุธเผาบ้านเผาเมืองเป็นอนาธิปไตยหรือไม่ ทำไมศาสตราจารย์จึงไม่เคยพูดถึงเลย
2. คำถามนี้สุดมั่วเพราะพันธมิตรฯ ไม่เคยลงเลือกตั้ง พันธมิตรฯ ไม่ใช่พรรคการเมือง และปฏิเสธการลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ พันธมิตรฯ ประกาศโหวตโนปฏิเสธนักการเมืองทุกพรรค จะเหมาเอาความพ่ายแพ้ของ ปชป.มารวมกับพันธมิตรฯ ก็คงจะไม่ได้
3. ที่พันธมิตรฯ โดนข้อหาก่อการร้ายก็เพราะอำนาจรัฐ ผมไปรับฟังข้อกล่าวหาต่อตัวเองก็รู้ว่าตำรวจมั่วแต่งนิยาย และข้อหาก่อการร้ายก็มาจากการไปแจ้งความของเหวง แต่นั่นก็ช่างเถอะ พันธมิตรฯ ประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่หนีและไม่เอานิรโทษกรรม เห็นแต่พวกเสื้อแดงต่างหากที่เรียกร้องให้นิรโทษกรรมตัวเอง
ผมไม่อยากตอแยกับศาสตราจารย์หรอกครับ เพราะผมเหมือนกับหญ้าแพรกเมื่อเทียบกับศาสตราจารย์ผู้สูงส่ง แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งในฐานะความเป็นมนุษย์ ผมคิดว่า ผมมีสิทธิที่จะตอบโต้กับข้อกล่าวหาที่บิดเบือนให้ร้ายองค์กรและแนวทางที่ผมร่วมต่อสู้
มีความเห็นจากศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ในชื่อ Kasian Tejapira ศาสตราจารย์ใช้ชื่อหัวข้อว่า “พลังแปลกปลอมจะไม่สามารถชนะอย่างยั่งยืนในระบอบเสรีประชาธิปไตย”
มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
“คิดอย่างซีเรียส การปิดล้อมสภาก็คือการปิดล้อมช่องทางการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน และการรัฐประหารก็คือการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนไป อย่างแรกทำให้ประชาธิปไตยเป็นอัมพาต อย่างหลังเป็นการสังหารประชาธิปไตย ทั้งสองประการมุ่งทำให้อำนาจของประชาชน impotent คือหมดสมรรถภาพ เหมือนบุคคลง่อยเปลี้ยเสียขาพิการ มีชีวิตแต่ไม่มีอำนาจเหนือตนเอง ดูแลจัดการปกครองตนเองไม่ได้
ในทางกลับกัน สภาที่ลงมติผิดพลาด ก็คือการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนอย่างผิดพลาด เมื่อใดที่ประชาชนตระหนักว่ามันผิดพลาด เมื่อนั้นประชาชนก็จะเลือกคณะพรรคผู้แทนชุดใหม่หรือยึดนโยบายใหม่เข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากประชาชนไม่คิดเช่นนั้น กลุ่มเสียงข้างน้อยก็มีสิทธิเสรีภาพจะรณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าประชาชนเสียงข้างมากจะเปลี่ยนใจมาเห็นด้วยกับตน
การที่พันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสีและประชาธิปัตย์เลือกใช้วิธีแรกสะท้อนว่าพวกเขาไม่เชื่อประชาชน (ว่าจะคิดเองเป็นและเปลี่ยนใจได้หากเห็นจริงว่าสิ่งใดถูกต้อง) ไม่เชื่อตนเอง (ว่าจะสามารถใช้เหตุผลข้อเท็จจริงเปลี่ยนใจประชาชนได้) ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพ (ว่าเป็นช่องทางให้ต่อสู้ด้วยเหตุผลเพื่อเปลี่ยนใจประชาชนอย่างสันติ) และไม่เชื่อประชาธิปไตย (ว่าเป็นระบบที่เปิดให้ประชาชนแก้ไขข้อผิดพลาดได้ด้วยการเลือกตัวแทนใหม่หากต้องการ)
ไม่มีทางที่กลุ่มบุคคลที่ไม่เชื่อประชาชน ไม่เชื่อตนเอง ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพและไม่เชื่อประชาธิปไตย จะชนะในระบอบเสรีประชาธิปไตยได้ ต่อให้ปิดสภา ยึดอำนาจ ก็ไม่นานและไม่ยั่งยืน ได้แต่ชะลอวันพ่ายแพ้ราบคาบออกไปด้วยการทำลายตนเอง ทำลายคนอื่น ทำลายระบบเท่านั้น”
......
ข้อกล่าวหาของศาสตราจารย์ต่อพันธมิตรฯ นั้นเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก ผมนำข้อความของศาสตราจารย์ข้างบนนั้นทุกถ้อยคำตัวอักษรมานำเสนอในเฟซบุ๊กของผมแล้วมีความเห็นของผมต่อท้ายว่า
“ข้างบนนั้นเป็นความเห็นของศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกษียร เตชะพีระ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชียวนะครับ
อ่านแล้วไม่แปลกเลยที่ได้ฉายาว่า “จตุพรทางวิชาการ”
ความจริงผมตอบสั้นพอก็ได้ว่า “ปัญญาอ่อน”
ประชาธิปไตยของเกษียรคือ เมื่อส.ส.ได้อำนาจแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ถ้าไม่ดีอีก 4 ปีค่อยมาเลือกใหม่ โคตรโง่บรมเลย
ประชาธิปไตยนั้นมันไม่ได้มีแค่ในสภาแล้วอำนาจประชาชนมันแค่เข้าไปกาบัตรเลือกตั้งโว้ย ท่านศาสตราจารย์
ที่ประชาชนเขาออกมาแสดงพลังนั่นแหละโว้ยที่เขาเชื่อในเสรีภาพของตัวเอง เขาเชื่อประชาธิปไตย และเชื่อว่าประชาชนสามารถกำหนดการเมืองให้อยู่ในครรลองที่ถูกต้องได้ เขาเชื่อว่าการออกมาขับไล่การใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมคือความชอบธรรมของประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ทำให้ถูกใจเกษียรโว้ย
......
คนที่รู้จักศาสตราจารย์ดีคนหนึ่ง พูดกับผมเมื่อได้อ่านความเห็นของศาสตราจารย์ว่า “น่าเสียดาย เพราะอคติเพียงอย่างเดียวทำให้คนเราคับแคบและเป็นไปได้ถึงขนาดนี้”
ส่วนน้ำเสียงของผมหากใครอ่านแล้วก็รู้สึกว่าจะออกอาการเอะอะพาโวยเหมือนกับจิ๊กโก๋ปากซอย ไม่สำรวมที่จะตอบโต้กับคนที่มีตำแหน่งทางวิชาการขนาดนั้น ผมก็ยินดียอมรับข้อกล่าวหานั้นโดยดุษฎี แต่ถ้าใครได้ไปติดตามน้ำเสียงเย้ยหยันเหยียดหยามพันธมิตรฯ หรือบุคคลอื่นของศาสตราจารย์เสมอมา ก็คงจะเข้าใจท่าทีของผมบ้าง
เอาเถอะครับ การตั้งคำถามต่อความคิดของศาสตราจารย์ของผมนั้น เกิดจากความเห็นของศาสตราจารย์ที่แปลความได้ว่า ประชาชนเมื่อไม่พอใจการทำงานของผู้แทนทางออกเดียวที่ประชาชนมี คือ เลือกผู้แทนชุดใหม่ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ตลกมาก เพราะเท่ากับมันอธิบายว่า นักการเมืองเมื่อได้รับอำนาจเข้ามาในสภาแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ส่วนประชาชนทำได้แค่ถึงเวลาค่อยเลือกคนใหม่พรรคใหม่เท่านั้นเอง
มีคนบอกว่า ศาสตราจารย์ตอบคำถามของผมกลับมาในเฟซบุ๊ก เมื่อผมเข้าไปดูกลับพบว่า แทนที่จะโต้แย้งผม ศาสตราจารย์กลับตั้งคำถามใหม่กลับมาว่า
"ด้วยความอิดหนาระอาใจ คงมีแต่คน “โคตรฉลาดบรมเลย” อย่างบก.บห.เอเอสทีวี (คงต้องทำความดีความชอบไว้มากถึงทะยานไต่เต้าขึ้นมากินตำแหน่งนำในสื่อคุณภาพสุดยอดอย่างเอเอสทีวีได้ ทำอะไรมหัศจรรย์มามั่งเนาะถึงได้ถูกใจเฮียลิ้มขนาดนั้น?) เท่านั้นที่คิดพิสดารไปได้ว่าวิธีการอนาธิปไตยแบบที่พันธมิตรฯ เคยใช้มาแล้วสองครั้งสามคราจะบำรุงรักษาประชาธิปไตยและประเทศชาติบ้านเมืองได้ ขณะที่ความเป็นจริง 1) บ้านเมืองประสบความเสียหายหนักหน่วงอับอายขายขี้หน้าเขาไปทั้งโลก 2) สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่ได้ผล แพ้เลือกตั้งให้ฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี 3) บก.บห.และคณะต้องคดีอาญาอุกฉกรรจ์ติดตัวอีนุงตุงนังหลายคดี ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายของแผ่นดินอย่างน่าสมเพชเวทนา
ก็ขอให้เป็นไปตามกรรมที่กระทำเถิดนะครับ ท่าน “โจเซฟ เกิบเบิลส์แห่งท่าพระอาทิตย์”
......
น้ำเสียงที่ศาสตราจารย์เหยียดหยามผมเป็นการส่วนตัวนั้นก็ช่างเถอะ ป่วยการที่ผมจะตอบด้วยตัวเอง แต่ศาสตราจารย์น่าจะถามคนที่ทำงานในวงการนี้หรือไม่ก็เพื่อนนักวิชาการที่รู้จักผมได้ ที่สำคัญผมทำงานในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 2526 ตอนนั้นผมไม่มั่นใจว่า ศาสตราจารย์กลับออกจากป่ามาเรียนมหาวิทยาลัยใหม่หรือยัง
แต่ผมจะตอบคำถาม 3 ข้อของศาสตราจารย์
1. ถ้าการกระทำของพันธมิตรฯ ขายหน้าทั่วโลก วิธีการเอาปืนเอ็ม 79 มายิงจนพันธมิตรฯ ตายนับสิบจนต้องหนีไปที่ปลอดภัย เป็นวิธีของอารยชนหรือ เหตุการณ์ที่ทำไทยเสียชื่อทั่วโลก คือ เหตุการณ์บุกทำลายที่ประชุมอาเซียน+จนผู้นำชาติต่างๆ พากันหนีตาย การชุมนุมติดอาวุธเผาบ้านเผาเมืองเป็นอนาธิปไตยหรือไม่ ทำไมศาสตราจารย์จึงไม่เคยพูดถึงเลย
2. คำถามนี้สุดมั่วเพราะพันธมิตรฯ ไม่เคยลงเลือกตั้ง พันธมิตรฯ ไม่ใช่พรรคการเมือง และปฏิเสธการลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ พันธมิตรฯ ประกาศโหวตโนปฏิเสธนักการเมืองทุกพรรค จะเหมาเอาความพ่ายแพ้ของ ปชป.มารวมกับพันธมิตรฯ ก็คงจะไม่ได้
3. ที่พันธมิตรฯ โดนข้อหาก่อการร้ายก็เพราะอำนาจรัฐ ผมไปรับฟังข้อกล่าวหาต่อตัวเองก็รู้ว่าตำรวจมั่วแต่งนิยาย และข้อหาก่อการร้ายก็มาจากการไปแจ้งความของเหวง แต่นั่นก็ช่างเถอะ พันธมิตรฯ ประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่หนีและไม่เอานิรโทษกรรม เห็นแต่พวกเสื้อแดงต่างหากที่เรียกร้องให้นิรโทษกรรมตัวเอง
ผมไม่อยากตอแยกับศาสตราจารย์หรอกครับ เพราะผมเหมือนกับหญ้าแพรกเมื่อเทียบกับศาสตราจารย์ผู้สูงส่ง แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งในฐานะความเป็นมนุษย์ ผมคิดว่า ผมมีสิทธิที่จะตอบโต้กับข้อกล่าวหาที่บิดเบือนให้ร้ายองค์กรและแนวทางที่ผมร่วมต่อสู้