เมื่อเป็นปัญญาชนแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ
ความวิบัติของตนเองและสังคมจึงเป็นปลายทางที่เห็นได้
ความวุ่นวายทางการเมืองในระยะหลังที่เกิดขึ้นมาส่วนหนึ่งมาจากยุทธวิธี “พูดดำให้กลายเป็นขาว” ของแกนนำ นปช.หลังจากการออกมาก่อความไม่สงบเผาบ้านเมืองของคนเสื้อแดงร่วมกับกองกำลังคนเสื้อดำที่ใช้อาวุธกับทหารและประชาชนทั้งที่ราชประสงค์และราชดำเนิน แทนที่จะเป็นจำเลยของสังคมกลับกลายเป็นทหารและฝ่ายรัฐบาลเสียเอง
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถโกหกทุกคนได้ทุกเวลา เรื่องโกหกของสามเกลอ “ความจริงวันนี้ (ซะเมื่อไร)” จึงไม่สามารถขายได้อีกต่อไป แต่ประชาชนคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความจริงอยู่ดีเพราะสื่อส่วนใหญ่ไม่ทำงาน
นักวิชาการปัญญาชนแดงก็เช่นกัน มีส่วนเป็นผู้สร้างวาทกรรมเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการกระทำของทักษิณและสร้างความไขว้เขวหลงผิดให้เกิดขึ้นในสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นตัวอย่างในช่วงเริ่มแรกที่ปัญญาชนแดงออกมายืนเข้าข้างทักษิณและขบวนการล้มเจ้าอย่างหลบเลี่ยงภายใต้ชื่อ “เที่ยงคืน” เช่นเดียวกับวรเจตน์และพวกในช่วงแรกที่ออกมา โดยอาศัยการวิพากษ์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์เป็นข้ออ้างอำพรางและเป็นตัวเปิดอย่างไม่ต้องเหนียมอายในภายหลังในการเรียกร้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือชาญวิทย์และพวกในเรื่องปราสาทพระวิหาร หรือวุฒิสาร ตันไชยและพวกในเรื่องข้อเสนอปรองดอง และอีกหลายๆๆๆ คนที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ
ประเด็นหลักที่มักนำมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณและก่อให้เกิดความไขว้เขวไปในทางที่ผิดก็คือ (1) เป็นเสรีภาพทางวิชาการ และ(2) รัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 เป็นสิ่งผิด ดังนั้นการกระทำอะไรของคณะรัฐประหารก็จะผิดไปหมดหรือที่รู้จักกันในชื่อของทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษ
ทฤษฎี (2) นี้มีที่มาจากการนำเอากระพี้ทางความรู้ของฝรั่งมาใช้โดยไม่ได้ดูบริบทข้อเท็จจริงของประเทศไทยแต่อย่างใดของปัญญาชนแดง เพราะอ้างอิง “ฝรั่ง” ในกระบวนการดำเนินคดีโดยมิชอบ เช่น เอาหลักฐานจากการดักฟังทางโทรศัพท์จำเลยอย่างผิดกฎหมายมาใช้ดำเนินคดี เมื่อที่มาของหลักฐานที่จะมาลงโทษได้มาอย่างผิด ผลผลิตหรือคำพิพากษาลงโทษจำเลยก็ต้องถูกปฏิเสธไปด้วย เปรียบได้กับเมื่อต้นไม้มีพิษผลของมันก็ย่อมจะมีพิษไปด้วย
การพยายามอาศัยทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษจึงถูกนำมาอ้างเสมอๆ เพื่อไม่ยอมรับประกาศของคณะปฏิวัติว่าเป็นกฎหมายเพื่อที่จะปฏิเสธ คตส.และสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณพ้นผิด
แต่สิ่งที่เป็นความจอมปลอมและหลอกลวงให้สังคมไขว้เขวก็คือ การดำเนินงานของ คตส.ซึ่งเป็นผลผลิตของคณะรัฐประหารนั้นมิได้เป็นผลไม้พิษ หรือ เป็น “ความเป็นธรรมของผู้ชนะ” ดังในรายงานการศึกษาเรื่องปรองดองของวุฒิสารแต่อย่างใดไม่
เหตุก็คือ คตส. มิได้ใช้กฎหมายพิเศษใดมากล่าวโทษทักษิณ หรือตั้งตนให้มีอำนาจเป็นทั้งอัยการและศาลในเวลาเดียวกันไม่ นอกจากนี้ ฐานความผิดที่ทักษิณถูกกล่าวโทษก็เป็นข้อหาคอร์รัปชันที่มีอยู่และนำมาใช้กับอีกหลายๆ คนที่ไม่ต้องเป็นถึงนายกฯ ก็ถูกกล่าวหาได้ แล้วใครละที่เป็นผู้ฟ้องและผู้ตัดสินลงโทษทักษิณ ก็เป็นอัยการและศาลเหมือนเช่นปกติ มิใช่ คตส.
ในเชิงตรรกะ หาก คตส.เป็นผลไม้พิษเพราะเป็นผลผลิตจากคณะรัฐประหาร กกต.ก็ต้องเป็นพิษ การเลือกตั้งที่ กกต.จัดก็เป็นพิษ แล้ว ส.ส.ที่มาจากการจัดเลือกตั้งของ กกต.จะเป็นพิษด้วยหรือไม่? หรือว่าจะเป็นเฉพาะ คตส.เพราะไม่ใช่พวก?
แต่ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของปัญญาชนแดงได้แสดงออกว่า มิได้มีหลักฐานดังที่นักวิชาการพึงมีที่อาศัยหลักฐานข้อเท็จจริงประกอบในการวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป หรือใช้เสรีภาพทางวิชาการในทางที่ถูกที่ควร
เมื่อเสียงส่วนใหญ่ในสภาบิดเบือนข้อเท็จจริงว่ากฎหมายปรองดองไม่ใช่กฎหมายการเงิน ทั้งที่หากผ่านไปได้จะมีผลทำให้ต้องมีการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านให้คนโกงไป โดยตีความด้วยเสียงข้างมากว่า “หมู” ที่หามเข้าสภาเป็น “หมา” แต่ปัญญาชนแดงนิ่งเฉยดูดายไม่ขัดข้องโต้แย้ง แต่กลับลุกขึ้นเต้นโดยพลันเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ามีอำนาจรับเรื่องตาม ม. 68 เพื่อตรวจสอบการแก้รัฐธรรมนูญไว้พิจารณา หลักการของนักวิชาการแดงเหล่านั้นอยู่ที่ใด ทำไมจึงเลือกที่จะเชื่อ หรือมีสองมาตรฐาน?
หากปัญญาชนแดงจะมี “รสนิยม” ไม่ชอบรัฐประหาร เกลียดเจ้า ก็คงเป็น “ความเห็น” ส่วนตน แต่การนิ่งเฉยไม่ออกมาคัดค้านกฎหมายปรองดองที่ไม่แตกต่างไปจากการ “รัฐประหาร” โดยรัฐสภาแทนที่ทหารเคยทำในวันเดียวกับที่ยื่นรายชื่อเพื่อเสนอแก้กฎหมายหมิ่นเจ้าก็เป็นใบเสร็จที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าตนเองมี “ธง” อยู่ในใจล่วงหน้าแล้วหรือไม่ มีความสุจริตในสัมมาอาชีพในฐานะนักวิชาการมากน้อยเพียงใด มิพักจะต้องให้สังคมชี้พฤติกรรมอีกว่า “รับงาน รับเงิน” มาหรือไม่
เมื่อมิได้ใช้เสรีภาพทางวิชาการอย่างสุจริต ปราศจากหลักการ การจะออกมาแสดงความคิดเห็นก็ขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ เฉกเช่นเดียวกับทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษที่กล่าวหาผู้อื่นมาโดยตลอด ความเห็นคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนักวิชาการปัญญาชนแดงจึงขาดความน่าเชื่อถือไปโดยสิ้น
การเสนอกฎหมายที่ยกเลิกการกระทำของ คตส.ที่ได้ทำไปจนถึงขั้นสิ้นสุดมีคำพิพากษาออกมาแล้วก็ให้ถือเสมือนว่าไม่เคยมีคำพิพากษาโดยมั่วมากับการยกเลิกความผิดอื่นๆ นั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของผู้เสนอกฎหมาย เป็นการล้มล้างหลักนิติรัฐนิติธรรมโดยสิ้นเหตุก็เนื่องจากหากจะยกเลิกฐานความผิดคอร์รัปชันเพื่อให้ทักษิณพ้นผิดแต่เพียงลำพังก็คงไม่มีใครในสังคมเอาด้วย ปัญญาชนแดงเมื่อเลือกที่จะนิ่งเฉยแล้วจะมีหน้าไปสอนเด็กในเรื่องหลักนิติรัฐนิติธรรมต่อไปได้อย่างไร
การยุยงให้คนเสื้อแดงออกมาทำการจลาจลก่อความวุ่นวาย การยิงนักข่าวต่างชาติ การสังหารในวัดประทุมฯ โดยอ้างว่าทหารมีส่วนร่วม หรือการแจ้งข้อหา พธม.ที่เกินความเป็นจริงล้วนเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการวางแผนเป็นอย่างดีที่จะให้มีผู้กระทำผิดมากกลุ่มเข้าไว้เพื่อ “มั่ว” เสนอกฎหมายโดยอ้างความปรองดองให้กับทุกกลุ่มโดยไม่สนใจว่าจะไปละเมิดทำให้คนอื่นเจ็บตาย ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วต้องการหาทางยกเลิกความผิดให้กับตนเองเท่านั้น
การโทร.เข้ามาอ้างว่าถูกปล้นเงิน 4.6 หมื่นล้านไปของทักษิณโดยอ้างว่าร่ำรวยมีอยู่เดิมจะมายึดเงินที่เป็นของเขาที่หามาเองนี้ได้อย่างไรเป็นใบเสร็จที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าทักษิณนั้นซุกความร่ำรวยไม่แจ้งในบัญชีทรัพย์สินว่าตนเองเป็นเจ้าของชินคอร์ปมาตั้งแต่ต้น สอดคล้องกับที่ศาลฯ ตัดสิน หาได้มีผู้อื่น เช่น ลูกตนเองหรือ “ปู” เป็นเจ้าของถือหุ้นแต่อย่างใดไม่ ถึงขั้นนี้แล้ว วรเจตน์จะไปแก้ต่างให้เขาทำไมอีก?
พฤติกรรมการสร้างวาทกรรมให้สังคมไขว้เขวหลงผิดของปัญญาชนแดงที่ผ่านมา จึงมีส่วนทำให้คนดีทุกคน “แพ้” คนที่ “พูดดำให้กลายเป็นขาว” มืออาชีพ เช่น ทักษิณและสามเกลอ “ความจริงวันนี้ (ซะเมื่อไร)” แม้ถีบหัวเรือส่งคนเสื้อแดงทิ้งขึ้นเขา “ปรองดอง” ไปแล้วยังสามารถ “กลับกลอก” บอกว่าสัญญาณไม่ดีได้อีกครั้ง
ปัญญาชนทั้งหลายจึงควรตระหนักว่า หากไร้ซึ่งหลักการที่ชอบธรรมในการชี้ถูกผิดก็ไม่ต่างอะไรจากปัญญาชนแดง
ความวิบัติของตนเองและสังคมจึงเป็นปลายทางที่เห็นได้
ความวุ่นวายทางการเมืองในระยะหลังที่เกิดขึ้นมาส่วนหนึ่งมาจากยุทธวิธี “พูดดำให้กลายเป็นขาว” ของแกนนำ นปช.หลังจากการออกมาก่อความไม่สงบเผาบ้านเมืองของคนเสื้อแดงร่วมกับกองกำลังคนเสื้อดำที่ใช้อาวุธกับทหารและประชาชนทั้งที่ราชประสงค์และราชดำเนิน แทนที่จะเป็นจำเลยของสังคมกลับกลายเป็นทหารและฝ่ายรัฐบาลเสียเอง
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถโกหกทุกคนได้ทุกเวลา เรื่องโกหกของสามเกลอ “ความจริงวันนี้ (ซะเมื่อไร)” จึงไม่สามารถขายได้อีกต่อไป แต่ประชาชนคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความจริงอยู่ดีเพราะสื่อส่วนใหญ่ไม่ทำงาน
นักวิชาการปัญญาชนแดงก็เช่นกัน มีส่วนเป็นผู้สร้างวาทกรรมเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการกระทำของทักษิณและสร้างความไขว้เขวหลงผิดให้เกิดขึ้นในสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นตัวอย่างในช่วงเริ่มแรกที่ปัญญาชนแดงออกมายืนเข้าข้างทักษิณและขบวนการล้มเจ้าอย่างหลบเลี่ยงภายใต้ชื่อ “เที่ยงคืน” เช่นเดียวกับวรเจตน์และพวกในช่วงแรกที่ออกมา โดยอาศัยการวิพากษ์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์เป็นข้ออ้างอำพรางและเป็นตัวเปิดอย่างไม่ต้องเหนียมอายในภายหลังในการเรียกร้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือชาญวิทย์และพวกในเรื่องปราสาทพระวิหาร หรือวุฒิสาร ตันไชยและพวกในเรื่องข้อเสนอปรองดอง และอีกหลายๆๆๆ คนที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ
ประเด็นหลักที่มักนำมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณและก่อให้เกิดความไขว้เขวไปในทางที่ผิดก็คือ (1) เป็นเสรีภาพทางวิชาการ และ(2) รัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 เป็นสิ่งผิด ดังนั้นการกระทำอะไรของคณะรัฐประหารก็จะผิดไปหมดหรือที่รู้จักกันในชื่อของทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษ
ทฤษฎี (2) นี้มีที่มาจากการนำเอากระพี้ทางความรู้ของฝรั่งมาใช้โดยไม่ได้ดูบริบทข้อเท็จจริงของประเทศไทยแต่อย่างใดของปัญญาชนแดง เพราะอ้างอิง “ฝรั่ง” ในกระบวนการดำเนินคดีโดยมิชอบ เช่น เอาหลักฐานจากการดักฟังทางโทรศัพท์จำเลยอย่างผิดกฎหมายมาใช้ดำเนินคดี เมื่อที่มาของหลักฐานที่จะมาลงโทษได้มาอย่างผิด ผลผลิตหรือคำพิพากษาลงโทษจำเลยก็ต้องถูกปฏิเสธไปด้วย เปรียบได้กับเมื่อต้นไม้มีพิษผลของมันก็ย่อมจะมีพิษไปด้วย
การพยายามอาศัยทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษจึงถูกนำมาอ้างเสมอๆ เพื่อไม่ยอมรับประกาศของคณะปฏิวัติว่าเป็นกฎหมายเพื่อที่จะปฏิเสธ คตส.และสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณพ้นผิด
แต่สิ่งที่เป็นความจอมปลอมและหลอกลวงให้สังคมไขว้เขวก็คือ การดำเนินงานของ คตส.ซึ่งเป็นผลผลิตของคณะรัฐประหารนั้นมิได้เป็นผลไม้พิษ หรือ เป็น “ความเป็นธรรมของผู้ชนะ” ดังในรายงานการศึกษาเรื่องปรองดองของวุฒิสารแต่อย่างใดไม่
เหตุก็คือ คตส. มิได้ใช้กฎหมายพิเศษใดมากล่าวโทษทักษิณ หรือตั้งตนให้มีอำนาจเป็นทั้งอัยการและศาลในเวลาเดียวกันไม่ นอกจากนี้ ฐานความผิดที่ทักษิณถูกกล่าวโทษก็เป็นข้อหาคอร์รัปชันที่มีอยู่และนำมาใช้กับอีกหลายๆ คนที่ไม่ต้องเป็นถึงนายกฯ ก็ถูกกล่าวหาได้ แล้วใครละที่เป็นผู้ฟ้องและผู้ตัดสินลงโทษทักษิณ ก็เป็นอัยการและศาลเหมือนเช่นปกติ มิใช่ คตส.
ในเชิงตรรกะ หาก คตส.เป็นผลไม้พิษเพราะเป็นผลผลิตจากคณะรัฐประหาร กกต.ก็ต้องเป็นพิษ การเลือกตั้งที่ กกต.จัดก็เป็นพิษ แล้ว ส.ส.ที่มาจากการจัดเลือกตั้งของ กกต.จะเป็นพิษด้วยหรือไม่? หรือว่าจะเป็นเฉพาะ คตส.เพราะไม่ใช่พวก?
แต่ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของปัญญาชนแดงได้แสดงออกว่า มิได้มีหลักฐานดังที่นักวิชาการพึงมีที่อาศัยหลักฐานข้อเท็จจริงประกอบในการวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป หรือใช้เสรีภาพทางวิชาการในทางที่ถูกที่ควร
เมื่อเสียงส่วนใหญ่ในสภาบิดเบือนข้อเท็จจริงว่ากฎหมายปรองดองไม่ใช่กฎหมายการเงิน ทั้งที่หากผ่านไปได้จะมีผลทำให้ต้องมีการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านให้คนโกงไป โดยตีความด้วยเสียงข้างมากว่า “หมู” ที่หามเข้าสภาเป็น “หมา” แต่ปัญญาชนแดงนิ่งเฉยดูดายไม่ขัดข้องโต้แย้ง แต่กลับลุกขึ้นเต้นโดยพลันเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ามีอำนาจรับเรื่องตาม ม. 68 เพื่อตรวจสอบการแก้รัฐธรรมนูญไว้พิจารณา หลักการของนักวิชาการแดงเหล่านั้นอยู่ที่ใด ทำไมจึงเลือกที่จะเชื่อ หรือมีสองมาตรฐาน?
หากปัญญาชนแดงจะมี “รสนิยม” ไม่ชอบรัฐประหาร เกลียดเจ้า ก็คงเป็น “ความเห็น” ส่วนตน แต่การนิ่งเฉยไม่ออกมาคัดค้านกฎหมายปรองดองที่ไม่แตกต่างไปจากการ “รัฐประหาร” โดยรัฐสภาแทนที่ทหารเคยทำในวันเดียวกับที่ยื่นรายชื่อเพื่อเสนอแก้กฎหมายหมิ่นเจ้าก็เป็นใบเสร็จที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าตนเองมี “ธง” อยู่ในใจล่วงหน้าแล้วหรือไม่ มีความสุจริตในสัมมาอาชีพในฐานะนักวิชาการมากน้อยเพียงใด มิพักจะต้องให้สังคมชี้พฤติกรรมอีกว่า “รับงาน รับเงิน” มาหรือไม่
เมื่อมิได้ใช้เสรีภาพทางวิชาการอย่างสุจริต ปราศจากหลักการ การจะออกมาแสดงความคิดเห็นก็ขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ เฉกเช่นเดียวกับทฤษฎีต้น-ผลไม้พิษที่กล่าวหาผู้อื่นมาโดยตลอด ความเห็นคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนักวิชาการปัญญาชนแดงจึงขาดความน่าเชื่อถือไปโดยสิ้น
การเสนอกฎหมายที่ยกเลิกการกระทำของ คตส.ที่ได้ทำไปจนถึงขั้นสิ้นสุดมีคำพิพากษาออกมาแล้วก็ให้ถือเสมือนว่าไม่เคยมีคำพิพากษาโดยมั่วมากับการยกเลิกความผิดอื่นๆ นั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของผู้เสนอกฎหมาย เป็นการล้มล้างหลักนิติรัฐนิติธรรมโดยสิ้นเหตุก็เนื่องจากหากจะยกเลิกฐานความผิดคอร์รัปชันเพื่อให้ทักษิณพ้นผิดแต่เพียงลำพังก็คงไม่มีใครในสังคมเอาด้วย ปัญญาชนแดงเมื่อเลือกที่จะนิ่งเฉยแล้วจะมีหน้าไปสอนเด็กในเรื่องหลักนิติรัฐนิติธรรมต่อไปได้อย่างไร
การยุยงให้คนเสื้อแดงออกมาทำการจลาจลก่อความวุ่นวาย การยิงนักข่าวต่างชาติ การสังหารในวัดประทุมฯ โดยอ้างว่าทหารมีส่วนร่วม หรือการแจ้งข้อหา พธม.ที่เกินความเป็นจริงล้วนเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการวางแผนเป็นอย่างดีที่จะให้มีผู้กระทำผิดมากกลุ่มเข้าไว้เพื่อ “มั่ว” เสนอกฎหมายโดยอ้างความปรองดองให้กับทุกกลุ่มโดยไม่สนใจว่าจะไปละเมิดทำให้คนอื่นเจ็บตาย ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วต้องการหาทางยกเลิกความผิดให้กับตนเองเท่านั้น
การโทร.เข้ามาอ้างว่าถูกปล้นเงิน 4.6 หมื่นล้านไปของทักษิณโดยอ้างว่าร่ำรวยมีอยู่เดิมจะมายึดเงินที่เป็นของเขาที่หามาเองนี้ได้อย่างไรเป็นใบเสร็จที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าทักษิณนั้นซุกความร่ำรวยไม่แจ้งในบัญชีทรัพย์สินว่าตนเองเป็นเจ้าของชินคอร์ปมาตั้งแต่ต้น สอดคล้องกับที่ศาลฯ ตัดสิน หาได้มีผู้อื่น เช่น ลูกตนเองหรือ “ปู” เป็นเจ้าของถือหุ้นแต่อย่างใดไม่ ถึงขั้นนี้แล้ว วรเจตน์จะไปแก้ต่างให้เขาทำไมอีก?
พฤติกรรมการสร้างวาทกรรมให้สังคมไขว้เขวหลงผิดของปัญญาชนแดงที่ผ่านมา จึงมีส่วนทำให้คนดีทุกคน “แพ้” คนที่ “พูดดำให้กลายเป็นขาว” มืออาชีพ เช่น ทักษิณและสามเกลอ “ความจริงวันนี้ (ซะเมื่อไร)” แม้ถีบหัวเรือส่งคนเสื้อแดงทิ้งขึ้นเขา “ปรองดอง” ไปแล้วยังสามารถ “กลับกลอก” บอกว่าสัญญาณไม่ดีได้อีกครั้ง
ปัญญาชนทั้งหลายจึงควรตระหนักว่า หากไร้ซึ่งหลักการที่ชอบธรรมในการชี้ถูกผิดก็ไม่ต่างอะไรจากปัญญาชนแดง