ASTVผู้จัดการรายวัน-ผบ.สส.มะกัน เผย “เพนตากอน”ไม่เกี่ยวโครงการนาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา จับมือ “ยิ่งลักษณ์” ด้าน“นักวิชาการ” เผยข้อมูล ปูด! NASA รอรัฐบาลไทยอนุมัติ โครงการบินศึกษาสภาวะฝุ่นละอองในบรรยากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการใหญ่ที่สุดของ NASA ปูยันคำนึงถึงความมั่นคงประเทศก่อนอนุญาต“โซเชียลมีเดีย” ซัด TS เปิดศึกเข้าบ้าน
วานนี้(5 มิ.ย.55) ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้การต้อนรับ พล.อ.มาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ (Martin E. Dampsey ) ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐอเมริกา หรือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐอเมริกาที่ได้เดินทางมาเยือนอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย ระหว่างวันที่ 4-5 มิ.ย. 2555 โดยมีการจัดพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ และจากนั้นได้เข้าพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพ 2 ประเทศ ตลอดจนเพิ่มความร่วมมือด้านการทหาร และการรักษาความมั่นคงในภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวภายหลังการหารือว่า ถือว่าไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์มายาวนานนับเกือบ 180 ปี มีความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และจะร่วมมือกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าทั้งการฝึกร่วมเทคโนโลยีต่าง ๆ
พล.อ.เดมพ์ซี่ย์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เยือนเมืองไทย และได้พบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน โดยสหรัฐอเมริกาจะให้ความสนใจในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาไปให้ความสนใจที่อื่น ดีใจที่จะมาสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในฐานะมิตรประเทศ
เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน)เข้าไปเกี่ยวข้องโปรแกรมนาซ่าเกี่ยวกับการตรวจสภาพอากาศที่อู่ตะเภา พล.อ.เดมพ์ซี่ย์ กล่าวว่า เพนตากอนไม่ได้มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการของนาซ่าที่อู่ตะเภา ซึ่งเป็นเรื่องขององค์ด้านพลเรือนที่ดูในเรื่องอวกาศของสหรัฐฯที่เป็นข้อตกลง และโครงการของเพนตากอนที่ดำเนินการที่อู่ตะเภาเป็นในเรื่องของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และในกรณีภัยพิบัติ
ทั้งนี้สหรัฐอเมริกา และ นาซ่า ไม่มีวาระซ่อนเร้นในการที่จะนำอากาศยานเข้ามาตรวจสภาพอากาศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการที่จะมาใช้สนามบนอู่ตะเภา ที่สำคัญแพนตากอนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
**จับมือปูต่อสู้ความท้าทายข้ามชาติ
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯ ในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับ คณะประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯซึ่งประกอบไปด้วย พลจัตวา Terrence J.O' Shaughnessy รองเจ้ากรมกิจการการเมืองและการทหารภูมิภาคเอเชีย และพันเอก Desmond Walton ผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย
โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งใหม่ของพลเอกมาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมที่กองทัพไทยและกองทัพสหรัฐฯ มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดครอบคลุมทุกสาขา อาทิ ความร่วมมือด้านความมั่นคง ด้านการศึกษา การฝึกร่วมผสม Cobra Gold และการข่าว เป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยและสหรัฐฯ ยังแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายข้ามชาติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น การรักษาความปลอดภัยทางทะเล การต่อต้านอาชญกรรมข้ามชาติ และการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR-Humanitarian Assistance and Disaster Relief) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดโดยฝ่ายพลเรือนที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าการเดินทางเยือนมาประเทศไทยของประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯ ครั้ง นี้ จะยิ่งช่วยประสานความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกองทัพยิ่งแน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น
**ปูยันคำนึงถึงความมั่นคงประเทศ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับพล.อ.มาร์ติน อี เดมซีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐอเมริกา ว่า เป็นการหารือถึงความร่วมมือทางด้านกองทัพตามปกติ รวมทั้งแลกเปลี่ยนถึงความร่วมมืออื่นๆ ซึ่งทางสหรัฐฯ อาจจะมาช่วยกรณีที่มีอุบัติภัย ถือเป็นการเยี่ยมเยียนตามวาระปกติ
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายกังวลเรื่องการเปิดพื้นที่ให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาตั้งเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัติและมนุษยธรรมในภูมิภาคนี้ อาจมีการแอบแฝงและสอดแนมด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แน่นอน เราต้องคำนึงถึงความมั่นคงอยู่แล้ว ทั้งหมดต้องให้ทางกองทัพทำงานร่วมกันก่อน ทางกองทัพจะต้องไปดูรายละเอียดก่อนตัดสินใจอะไร ยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องการอนุญาตหรือการตัดสินใจใดๆแน่นอน อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้มากเพราะเกรงว่าจะกระทบเรื่องของความสัมพันธ์
** กลาโหม ยันไม่เกี่ยวแลกวีซ่าแม้ว
พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและมนุษยธรรมว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้มาใช้เป็นฐานทัพ แต่สหรัฐอเมริกาขอมาเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม โดยทำเรื่องมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในหลักการคนที่จะมาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเราก็จะต้องให้อยู่แล้ว แต่รายละเอียดจะต้องมาพูดคุยกันว่าจะเข้ามาดำเนินการอย่างไร ซึ่ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้คุยกับ พล.อ.มาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐอเมริกาว่า เราจะใช้การฝึกคอบร้าโกล์ดทดสอบกันก่อนว่าเป็นอย่างไรในเรื่องของการทำงาน อย่าคิดว่ามาแล้วเป็นการตั้งฐานทัพเหมือนกับสมัยโบราณไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินระดับชาติใคร ๆ ก็มาได้หรือจะเอาเครื่องมาลงทำอะไรก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่จะต้องดูว่าเขามาตั้งอย่างไร
“หากจะมาอยู่กันเป็นปีก็จะต้องดูกันว่ามากไปหรือไม่ แต่ถ้ามา 3-4 เดือนแล้วกลับไปก็คงไม่ว่าอะไรกัน ทั้งนี้คิดว่าจะไม่ผิดใจกับกับสาธารณะรัฐประชาชนจีนเพราะไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทย เป็นเรื่องของมนุษยธรรม และไม่ได้มีการมาตั้งฐานทัพเพราะไม่มีอาวุธแต่อย่างใด”
เมื่อถามว่า จะต้องมีการลงนามในเอ็มโอยู หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็คงจะมี agreement ซึ่งอาจจะเป็นเอ็มโอยูกัน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าของเรื่องไม่ใช่กระทรวงกลาโหม เพียงแต่เป็นพื้นที่ของกระทรวงกลาโหมที่ดูแลอยู่ คือเป็นพื้นที่ของกองทัพเรือซึ่งต้องให้ความเห็นไป เมื่อถามว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและประเทศที่อยู่รอบๆ ไทยหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เขามาเรื่องมนุษยธรรม ไม่ได้มาเรื่องอื่น มีกรอบอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มั่นใจ จะให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
ส่วนกรณีที่สหรัฐอเมริกาไปขอใช้พื้นที่ประเทศอื่น ๆ และทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงนั้น พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า สหรัฐฯ ไมได้ขอเรื่องนี้ แต่ขอเรื่องอื่น เช่นที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทางออสเตรเลียให้หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ได้เลย ในส่วนของไทยก็ขอในเรื่องของความช่วยเหลือเรื่องมนุษยธรรม อีกทั้ง ประเทศไทย อยู่ในโลเคชั่นที่อยู่ตรงกลาง และเป็นพื้นที่คมนาคมของโลก สหรัฐฯ มองว่าถ้าไปอยู่ไกลๆ คงช่วยเหลือใครไม่ทัน สิ่งสำคัญอยู่ที่รายละเอียดเท่านั้นเอง ชาติอื่นก็ไม่ได้มีการต่อต้าน หากอินโดนีเซีย หรือ ประเทศอื่นมีเหตุการณ์ เขาก็จะไปช่วยได้ทัน เพราะฉะนั้น เราต้องมีกรอบให้เขามาในเรื่องมนุษยธรรม
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า รัฐบาลไทยยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยมีการแลกเปลี่ยนให้วีซ่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ข่าวที่สื่อระบุไม่มี ไม่เกี่ยวกันเลย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางเข้าไปได้อยู่แล้ว แม้แต่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เข้าไปได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ถ้าจะขอแลกเปลี่ยนต้องขอมากกว่านั้น
**สุรพงษ์ชี้ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้ สืบเนื่องมาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งองค์การนาซ่าได้มีหนังสือขอตั้งฐานปฏิบัติการในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับประเทศไทยนั้น ตนได้ยื่นเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อเดือนก่อน แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ โดยมองว่า เรื่องนี้ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ แต่อยากให้มองกลับกันว่า การตั้งฐานปฏิบัติการนี้ ก็ต้องการถ่ายภาพจากดาวเทียม ในการตรวจดูถึงความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น
**ปูด!NASA รอยิ่งลักษณ์อนุมัติ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ค ส่วนตัวของนายสมเกียรติ อ่อนวิมล (Somkiat Onwimon ) นักวิชาการอิสระ เผิดเผยว่า “NASA รอรัฐบาลไทยอนุมัติโครงการบินศึกษาสภาวะฝุ่นละอองในบรรยากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการใหญ่ที่สุดของ NASA จะขอใช้อู่ตะเภาเป็นฐานบินปฏิบัติการ” โดยอ้างถึงข้อมูลที่http://espo.nasa.gov/missions/seac4rs
SEAC4RS espo.nasa.gov
Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study (SEAC4RS) will take place in August and September of 2012. This deployment will address key questions regarding the influence of Asian emissions on clouds, climate, and air quality as well as fundamental satellite observability of th...
ขณะที่ เฟซบุ๊คดังกล่าว ยังนำ 10 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ที่นักวิทยาศาสตร์ขององค์การ NASA ได้รับคำแนะนำให้เตรียมตัวก่อนมาปฏิบัติงาน SEAC4RS ที่อู่ตะเภา มาเผยแพร่ด้วยที่
http://matadornetwork.com/abroad/10-thai-customs-to-know-before-visiting-thailand/ (10 Thai customs to know before visiting Thailand | Matador Network)
ขณะที่ ทวิตเตอร์ korbsak sabhavasu @korbsak เปิดเผย แผนผังของอู่ตะเภา ที่ระบุพื้นที่ที่ Nasa เตรียมเข้ามา พร้อมบริเวณจอดเครื่อง DC 8 ของ Nas ขณะที่เครื่อง ER-2 เป็นเครื่องบินที่บินเพดานสูง NASA จะนำมาใช้บินจากอู่ตะเภาในการศึกษาบรรยากาศแถบนี้ และที่ใช้อู่ตะเภาเพราะเส้นรางคู่ของขบวนดาวเทียมNASA ผ่านบ้านเรา
**โซเชียลมีเดีย ปูด TS เปิดศึกเข้าบ้าน
วันเดียวกัน ในโซเชียลมีเดียมีผู้ใช้ชื่อว่า “พธม.ลูกพ่อขุน หลานแม่ย่า” ได้โพตส์ข้อเขียนว่า การเมืองภูมิภาค (จีน-เมกา) กับ (การเมืองไทย TS และฝ่ายต่อต้าน) มีใจความว่า
การเมืองภูมิภาคระหว่างสหรัฐและจีน กับการเมืองไทยระหว่าง TS และฝ่ายต่อต้าน จะเห็นได้ว่ารูปแบบเดียวกันเดี๊ยะ จีนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่สหรัฐกำลังเต้นเป็นงิ้ว เหมือนเจ้าเข้าสิง สหรัฐเป็นฝ่ายเปิดฉากรุกก่อนด้วยการประกาศนโยบายปิดล้อมจีนเมื่อปลายปีที่ แล้ว
เหมือนกับที่สหรัฐปิดล้อมโซเวียตหลังสงครามโลก 2 (containment policy) เพื่อเปิดฉากสงครามเย็น ตอนนั้นโซเวียตบอบช้ำจากสงครามโลก 2 มาก ประชากรตายสัก 20 ล้านคนได้ ไม่มีศักยภาพที่จะเป็นศัตรูกับสหรัฐ
สหรัฐชนะสงครามโลก 2 ด้วยการทำสงครามนอกบ้าน แต่ประธานาธิบดีทรูแมนเป็นคนริเริ่ม "ลัทธิจักรวรรดินิยม" ด้วยการก่อสงครามเย็น
สร้างอุตสาหกรรมทหาร ตั้ง CIA, NSC หน่วยงานหลักๆ จะให้คนอเมริกันคล้อยตามก็ต้องสร้างศัตรูคือ โซเวียต ต่อมาจีน เพื่อให้เกิดความกลัว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นโซเวียตไม่มีน้ำยาอะไร เพราะเจ๊งจากสงครามจนเกือบหมด
ระหว่างนั้นสหรัฐมีการขยายฐานทัพไปทั่วโลก ดำเนินนโยบาย Constant Conflict/Perpetual War เพื่อเป็นข้ออ้างในการสร้างแสนยานุภาพทางทหารหลังสงครามโลก 2 มีสงครามน้อยใหญ่ไปทั่ว เวียดนาม เกาหลี ตะวันออกกลาง ฯลฯ
โลกไม่เคยสงบเลย เขาเรียกว่า order through chaos คือควบคุมผ่านจลาจลวุ่นวาย
RT @korbsak: http://lockerz.com/s/214025647 เห็นภาพโลจิสติกส์สหรัฐขนของเข้าอู่ตะเภาชัดขึ้น ข้อมูลจากเว็บของ Nasa หลังสงครามเย็น สหรัฐชนะ โซเวียตล่ม กำแพงเบอร์ลินล่ม ทุกคนคิดว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสันติสุขที่แท้จริง แต่...เกิดลัทธิก่อการร้ายขึ้น มีผู้นำเผด็จการที่ต้องกำจัด สงครามไม่เคยหยุด!
**อ้างสหรัฐหวังกดดันจีน
ตอนนี้เป้าของสหรัฐคือจีน เพราะถ้าไม่ทำอะไรจีนจะแซงหน้า จะเข้าไปควบคุมกิจการโลกตะวันตกหมด เพราะยุโรป อเมริกากำลังล้มละลาย ที่อเมริกากลัวมากที่สุดคือ การที่จีนจะปล่อยลอยตัวเงินหยวน ถ้าปล่อยหยวนลอยตัว หยวนจะเป็นเงินสกุลหลักของโลกทันที
นั่นหมายความว่า จีนสามารถพิมพ์เงินหยวนไปซื้อสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างสบายๆ เหมือนกับที่อเมริกาทำมาหลังสงครามโลก 2
ค่าเงินยูโรกำลังจะเดี้ยง จะลาก $ ไปด้วย จีนจะสวนกลับด้วยการลอยตัวหยวน ผลที่ตามมาคือ ความต้องการ $ จะน้อยลง อเมริกาจะกู้แพงขึ้น ค่าเงินจะตก เงินเฟ้อจะพุ่งทะยานเมื่อ $ จากทั่วโลกไหลกลับเข้าประเทศ
เพราะฉะนั้น สหรัฐยอมไม่ได้ที่จะให้จีนพิมพ์หยวนออกมาแข่ง เพราะตัวเองจะฉิบหายทันที จีนนิ่งมาก คอยจนกว่ายุโรปจะบอบช้ำที่สุด ให้สหรัฐป่วนอีกรอบทางการเงิน ก่อนที่จะลอยตัวหยวน ใช้หยวนเข้าไปกอบกู้ เอาประเทศอื่นเป็นพวก
เพราะฉะนั้น นักเศรษฐศาสตร์โนเบลอย่าง Joseph Stiglitz, Robert Mundell ต่างตีกันจีน โดยบอกว่าทางออกคือ World Currency โดย World Currency จะมาจากฐานตะกร้าเงินที่มี ดอลลาร์ ปอนด์ เยน หยวน ทองบ้าง เป็นองค์ประกอบ โดยที่สหรัฐ อังกฤษ ยังคงควบคุมระบบการเงินโลกอยู่ต่อไป
แต่จีนคงจะไม่โง่หรอกนะ!
ต้องจับตาดูเยอรมนีด้วย เพราะว่าเยอรมนีน่าจะจับมือกับรัสเซียและจีน เพราะเยอรมนีเจ็บหนักจากสงครามโลก 2 จากอังกฤษ อเมริกา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะ เยอรมนีจะกลับไปพิมพ์มาร์ค จีนจะพิมพ์หยวน สองสกุลนี้จะแข็ง
ยูโรจะเป็นกงเต๊ก ปอนด์จะดิ่งเหว $ จะร่วง เพราะว่าไม่ได้ monopoly อีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นที่มาของการปิดล้อมจีน เพราะสหรัฐ-อังกฤษจะยอมให้จีน และพันธมิตรใหม่มาครองแชมป์แทนตัวเองไม่ได้
ถามว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ?
อเมริกาขาลงแน่นอน อเมริกาไม่มีเวลา ส่วนจีนมีทุนสำรอง $3 ล้านล้าน ยังมีเวลาหายใจหลายปี เมื่อยูโรล่มสลาย อเมริกาจะได้ผลกระทบอย่างหนัก (ที่จริงทั่วโลก) การเมืองภายในจะกระเพื่อม คนตกงาน ดาวโจนส์เจ๊ง บริษัทกลาง-เล็กล้ม แล้วปัญหาสังคมจะตามมา ฯลฯ
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่อเมริกาต้องเร่งเครื่องเพื่อการเผชิญหน้ากับจีน ตอนนี้ผู้นำสหรัฐวิ่งว่อนทั้งภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างฐานการทหารในการปิดล้อม จีน ใช้ประเทศพวกนี้เป็นฐาน ตัวเองลอยตุ๊บป่องๆกลางทะเลด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดนมัดมือชก เพราะเป็นฐานทัพอเมริกามานาน เข้ามาแล้วไม่ยอมออก ฯลฯ
การเร่งเครื่องของอเมริกาในภูมิภาค ทำให้เกิดการเร่งเครื่องในพม่ารวมทั้งไทยไปด้วย เราถึงได้เห็นนางคลินตัน ผู้นำตะวันตกบินเข้าออกพม่าเป็นว่าเล่น ซูจีเลยกลายเป็น เดอะเลดี้ ดังระเบิดโลก เพราะเขาเตรียมมาให้อย่างดี ฯลฯ
ทุกอย่างเป็นละคร ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ RT@korbsak ดูผังของอู่ตะเภา ที่ระบุพื้นที่ที่ Nasa เตรียมเข้ามา พร้อมบริเวณจอดเครื่อง DC 8 ของ Nasa lockerz.com/s/214025647 RT @nopnop2008: RT@korbsak รัฐบาลไทยอนุญาตเมื่อไหร่ อย่างไร เพราะข้อมูลการขนย้ายชัดเจนว่า ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ฯลฯ
แกนนำแดงเป็นแค่คนแจวเรือให้ TS และ TS ก็เป็นแค่คนแจวเรือให้.... (คิดเอาเอง) มันเป็นทอดๆ แต่คนไทยเราต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จนสุดชีวิต ถ้าไม่เข้าใจที่เขียนมาทั้งหมด ก็เตรียมรับกรรมกันถ้วนหน้า ประเทศกำลังจะล่มสลาย เรากำลังจะเป็นแบบซีเรีย
ในตอนท้าย มีการระบุว่า TS ในที่นี้หมายถึงใคร ไม่รู้ให้ไปถามน้องสาวเขาครับ. เครดิต thanongkhanthong@gmail.com
**สื่อไทย เผยหวังช่วยภัยพิบัติ
รายงานข่าวเปิดเผยอีกว่า สำหรับสนามบินอู่ตะเภานั้น ปกติทหารอเมริกัน จะมาใช้ตลอดทั้งปี ในการนำเครื่องบินลงจอด เติมน้ำมัน พัก และมาฝึกกับ 3 เหล่าทัพ ทั้งนี้บางครั้งจะมีการฝึกเล็ก ใหญ่ ตาม MOU ที่ทำกันมานาน
แต่ครั้งนี้ สหรัฐฯ อาจจะให้ใช้อู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัติในภูมิภาคนี้ เวลามีภัยพิบัติ เช่น สึนามิ หรือน้ำท่วมใหญ่ พายุ มีรายงานว่า ทางกลาโหมไทย ก็แสดงความเห็นด้วย
อย่างไรก็ตามสื่อไทยภาษาอังกฤษ ได้เสนอข่าวสะพัดว่า สหรัฐจะอาจใช้อู่ตะเภา เป็นที่จอดเครื่องบินและอุปกรณ์ของNASA ในการขึ้นสำรวจชั้นบรรยากาศ
แต่มีข่าวสะพัดด้วยว่า กรณีนีจะไม่มีเรื่องการทหารใดๆแอบแฝง เพราะที่จอดอุปกรณ์นาซ่าจะให้เจ้าหน้าที่ไทยร่วมสังเกตการณ์ด้วยทุกขั้นตอน
วานนี้(5 มิ.ย.55) ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้การต้อนรับ พล.อ.มาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ (Martin E. Dampsey ) ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐอเมริกา หรือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐอเมริกาที่ได้เดินทางมาเยือนอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย ระหว่างวันที่ 4-5 มิ.ย. 2555 โดยมีการจัดพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ และจากนั้นได้เข้าพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพ 2 ประเทศ ตลอดจนเพิ่มความร่วมมือด้านการทหาร และการรักษาความมั่นคงในภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวภายหลังการหารือว่า ถือว่าไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์มายาวนานนับเกือบ 180 ปี มีความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และจะร่วมมือกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าทั้งการฝึกร่วมเทคโนโลยีต่าง ๆ
พล.อ.เดมพ์ซี่ย์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เยือนเมืองไทย และได้พบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน โดยสหรัฐอเมริกาจะให้ความสนใจในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาไปให้ความสนใจที่อื่น ดีใจที่จะมาสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในฐานะมิตรประเทศ
เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน)เข้าไปเกี่ยวข้องโปรแกรมนาซ่าเกี่ยวกับการตรวจสภาพอากาศที่อู่ตะเภา พล.อ.เดมพ์ซี่ย์ กล่าวว่า เพนตากอนไม่ได้มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการของนาซ่าที่อู่ตะเภา ซึ่งเป็นเรื่องขององค์ด้านพลเรือนที่ดูในเรื่องอวกาศของสหรัฐฯที่เป็นข้อตกลง และโครงการของเพนตากอนที่ดำเนินการที่อู่ตะเภาเป็นในเรื่องของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และในกรณีภัยพิบัติ
ทั้งนี้สหรัฐอเมริกา และ นาซ่า ไม่มีวาระซ่อนเร้นในการที่จะนำอากาศยานเข้ามาตรวจสภาพอากาศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการที่จะมาใช้สนามบนอู่ตะเภา ที่สำคัญแพนตากอนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
**จับมือปูต่อสู้ความท้าทายข้ามชาติ
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯ ในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับ คณะประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯซึ่งประกอบไปด้วย พลจัตวา Terrence J.O' Shaughnessy รองเจ้ากรมกิจการการเมืองและการทหารภูมิภาคเอเชีย และพันเอก Desmond Walton ผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย
โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งใหม่ของพลเอกมาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมที่กองทัพไทยและกองทัพสหรัฐฯ มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดครอบคลุมทุกสาขา อาทิ ความร่วมมือด้านความมั่นคง ด้านการศึกษา การฝึกร่วมผสม Cobra Gold และการข่าว เป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยและสหรัฐฯ ยังแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายข้ามชาติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น การรักษาความปลอดภัยทางทะเล การต่อต้านอาชญกรรมข้ามชาติ และการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR-Humanitarian Assistance and Disaster Relief) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดโดยฝ่ายพลเรือนที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าการเดินทางเยือนมาประเทศไทยของประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สหรัฐฯ ครั้ง นี้ จะยิ่งช่วยประสานความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกองทัพยิ่งแน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น
**ปูยันคำนึงถึงความมั่นคงประเทศ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับพล.อ.มาร์ติน อี เดมซีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐอเมริกา ว่า เป็นการหารือถึงความร่วมมือทางด้านกองทัพตามปกติ รวมทั้งแลกเปลี่ยนถึงความร่วมมืออื่นๆ ซึ่งทางสหรัฐฯ อาจจะมาช่วยกรณีที่มีอุบัติภัย ถือเป็นการเยี่ยมเยียนตามวาระปกติ
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายกังวลเรื่องการเปิดพื้นที่ให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาตั้งเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัติและมนุษยธรรมในภูมิภาคนี้ อาจมีการแอบแฝงและสอดแนมด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แน่นอน เราต้องคำนึงถึงความมั่นคงอยู่แล้ว ทั้งหมดต้องให้ทางกองทัพทำงานร่วมกันก่อน ทางกองทัพจะต้องไปดูรายละเอียดก่อนตัดสินใจอะไร ยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องการอนุญาตหรือการตัดสินใจใดๆแน่นอน อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้มากเพราะเกรงว่าจะกระทบเรื่องของความสัมพันธ์
** กลาโหม ยันไม่เกี่ยวแลกวีซ่าแม้ว
พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและมนุษยธรรมว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้มาใช้เป็นฐานทัพ แต่สหรัฐอเมริกาขอมาเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม โดยทำเรื่องมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในหลักการคนที่จะมาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเราก็จะต้องให้อยู่แล้ว แต่รายละเอียดจะต้องมาพูดคุยกันว่าจะเข้ามาดำเนินการอย่างไร ซึ่ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้คุยกับ พล.อ.มาร์ติน อี.เดมพ์ซี่ย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐอเมริกาว่า เราจะใช้การฝึกคอบร้าโกล์ดทดสอบกันก่อนว่าเป็นอย่างไรในเรื่องของการทำงาน อย่าคิดว่ามาแล้วเป็นการตั้งฐานทัพเหมือนกับสมัยโบราณไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินระดับชาติใคร ๆ ก็มาได้หรือจะเอาเครื่องมาลงทำอะไรก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่จะต้องดูว่าเขามาตั้งอย่างไร
“หากจะมาอยู่กันเป็นปีก็จะต้องดูกันว่ามากไปหรือไม่ แต่ถ้ามา 3-4 เดือนแล้วกลับไปก็คงไม่ว่าอะไรกัน ทั้งนี้คิดว่าจะไม่ผิดใจกับกับสาธารณะรัฐประชาชนจีนเพราะไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทย เป็นเรื่องของมนุษยธรรม และไม่ได้มีการมาตั้งฐานทัพเพราะไม่มีอาวุธแต่อย่างใด”
เมื่อถามว่า จะต้องมีการลงนามในเอ็มโอยู หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็คงจะมี agreement ซึ่งอาจจะเป็นเอ็มโอยูกัน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าของเรื่องไม่ใช่กระทรวงกลาโหม เพียงแต่เป็นพื้นที่ของกระทรวงกลาโหมที่ดูแลอยู่ คือเป็นพื้นที่ของกองทัพเรือซึ่งต้องให้ความเห็นไป เมื่อถามว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและประเทศที่อยู่รอบๆ ไทยหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เขามาเรื่องมนุษยธรรม ไม่ได้มาเรื่องอื่น มีกรอบอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มั่นใจ จะให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
ส่วนกรณีที่สหรัฐอเมริกาไปขอใช้พื้นที่ประเทศอื่น ๆ และทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงนั้น พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า สหรัฐฯ ไมได้ขอเรื่องนี้ แต่ขอเรื่องอื่น เช่นที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทางออสเตรเลียให้หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ได้เลย ในส่วนของไทยก็ขอในเรื่องของความช่วยเหลือเรื่องมนุษยธรรม อีกทั้ง ประเทศไทย อยู่ในโลเคชั่นที่อยู่ตรงกลาง และเป็นพื้นที่คมนาคมของโลก สหรัฐฯ มองว่าถ้าไปอยู่ไกลๆ คงช่วยเหลือใครไม่ทัน สิ่งสำคัญอยู่ที่รายละเอียดเท่านั้นเอง ชาติอื่นก็ไม่ได้มีการต่อต้าน หากอินโดนีเซีย หรือ ประเทศอื่นมีเหตุการณ์ เขาก็จะไปช่วยได้ทัน เพราะฉะนั้น เราต้องมีกรอบให้เขามาในเรื่องมนุษยธรรม
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า รัฐบาลไทยยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยมีการแลกเปลี่ยนให้วีซ่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ข่าวที่สื่อระบุไม่มี ไม่เกี่ยวกันเลย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางเข้าไปได้อยู่แล้ว แม้แต่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เข้าไปได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ถ้าจะขอแลกเปลี่ยนต้องขอมากกว่านั้น
**สุรพงษ์ชี้ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้ สืบเนื่องมาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งองค์การนาซ่าได้มีหนังสือขอตั้งฐานปฏิบัติการในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับประเทศไทยนั้น ตนได้ยื่นเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อเดือนก่อน แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ โดยมองว่า เรื่องนี้ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ แต่อยากให้มองกลับกันว่า การตั้งฐานปฏิบัติการนี้ ก็ต้องการถ่ายภาพจากดาวเทียม ในการตรวจดูถึงความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น
**ปูด!NASA รอยิ่งลักษณ์อนุมัติ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ค ส่วนตัวของนายสมเกียรติ อ่อนวิมล (Somkiat Onwimon ) นักวิชาการอิสระ เผิดเผยว่า “NASA รอรัฐบาลไทยอนุมัติโครงการบินศึกษาสภาวะฝุ่นละอองในบรรยากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการใหญ่ที่สุดของ NASA จะขอใช้อู่ตะเภาเป็นฐานบินปฏิบัติการ” โดยอ้างถึงข้อมูลที่http://espo.nasa.gov/missions/seac4rs
SEAC4RS espo.nasa.gov
Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study (SEAC4RS) will take place in August and September of 2012. This deployment will address key questions regarding the influence of Asian emissions on clouds, climate, and air quality as well as fundamental satellite observability of th...
ขณะที่ เฟซบุ๊คดังกล่าว ยังนำ 10 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ที่นักวิทยาศาสตร์ขององค์การ NASA ได้รับคำแนะนำให้เตรียมตัวก่อนมาปฏิบัติงาน SEAC4RS ที่อู่ตะเภา มาเผยแพร่ด้วยที่
http://matadornetwork.com/abroad/10-thai-customs-to-know-before-visiting-thailand/ (10 Thai customs to know before visiting Thailand | Matador Network)
ขณะที่ ทวิตเตอร์ korbsak sabhavasu @korbsak เปิดเผย แผนผังของอู่ตะเภา ที่ระบุพื้นที่ที่ Nasa เตรียมเข้ามา พร้อมบริเวณจอดเครื่อง DC 8 ของ Nas ขณะที่เครื่อง ER-2 เป็นเครื่องบินที่บินเพดานสูง NASA จะนำมาใช้บินจากอู่ตะเภาในการศึกษาบรรยากาศแถบนี้ และที่ใช้อู่ตะเภาเพราะเส้นรางคู่ของขบวนดาวเทียมNASA ผ่านบ้านเรา
**โซเชียลมีเดีย ปูด TS เปิดศึกเข้าบ้าน
วันเดียวกัน ในโซเชียลมีเดียมีผู้ใช้ชื่อว่า “พธม.ลูกพ่อขุน หลานแม่ย่า” ได้โพตส์ข้อเขียนว่า การเมืองภูมิภาค (จีน-เมกา) กับ (การเมืองไทย TS และฝ่ายต่อต้าน) มีใจความว่า
การเมืองภูมิภาคระหว่างสหรัฐและจีน กับการเมืองไทยระหว่าง TS และฝ่ายต่อต้าน จะเห็นได้ว่ารูปแบบเดียวกันเดี๊ยะ จีนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่สหรัฐกำลังเต้นเป็นงิ้ว เหมือนเจ้าเข้าสิง สหรัฐเป็นฝ่ายเปิดฉากรุกก่อนด้วยการประกาศนโยบายปิดล้อมจีนเมื่อปลายปีที่ แล้ว
เหมือนกับที่สหรัฐปิดล้อมโซเวียตหลังสงครามโลก 2 (containment policy) เพื่อเปิดฉากสงครามเย็น ตอนนั้นโซเวียตบอบช้ำจากสงครามโลก 2 มาก ประชากรตายสัก 20 ล้านคนได้ ไม่มีศักยภาพที่จะเป็นศัตรูกับสหรัฐ
สหรัฐชนะสงครามโลก 2 ด้วยการทำสงครามนอกบ้าน แต่ประธานาธิบดีทรูแมนเป็นคนริเริ่ม "ลัทธิจักรวรรดินิยม" ด้วยการก่อสงครามเย็น
สร้างอุตสาหกรรมทหาร ตั้ง CIA, NSC หน่วยงานหลักๆ จะให้คนอเมริกันคล้อยตามก็ต้องสร้างศัตรูคือ โซเวียต ต่อมาจีน เพื่อให้เกิดความกลัว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นโซเวียตไม่มีน้ำยาอะไร เพราะเจ๊งจากสงครามจนเกือบหมด
ระหว่างนั้นสหรัฐมีการขยายฐานทัพไปทั่วโลก ดำเนินนโยบาย Constant Conflict/Perpetual War เพื่อเป็นข้ออ้างในการสร้างแสนยานุภาพทางทหารหลังสงครามโลก 2 มีสงครามน้อยใหญ่ไปทั่ว เวียดนาม เกาหลี ตะวันออกกลาง ฯลฯ
โลกไม่เคยสงบเลย เขาเรียกว่า order through chaos คือควบคุมผ่านจลาจลวุ่นวาย
RT @korbsak: http://lockerz.com/s/214025647 เห็นภาพโลจิสติกส์สหรัฐขนของเข้าอู่ตะเภาชัดขึ้น ข้อมูลจากเว็บของ Nasa หลังสงครามเย็น สหรัฐชนะ โซเวียตล่ม กำแพงเบอร์ลินล่ม ทุกคนคิดว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสันติสุขที่แท้จริง แต่...เกิดลัทธิก่อการร้ายขึ้น มีผู้นำเผด็จการที่ต้องกำจัด สงครามไม่เคยหยุด!
**อ้างสหรัฐหวังกดดันจีน
ตอนนี้เป้าของสหรัฐคือจีน เพราะถ้าไม่ทำอะไรจีนจะแซงหน้า จะเข้าไปควบคุมกิจการโลกตะวันตกหมด เพราะยุโรป อเมริกากำลังล้มละลาย ที่อเมริกากลัวมากที่สุดคือ การที่จีนจะปล่อยลอยตัวเงินหยวน ถ้าปล่อยหยวนลอยตัว หยวนจะเป็นเงินสกุลหลักของโลกทันที
นั่นหมายความว่า จีนสามารถพิมพ์เงินหยวนไปซื้อสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างสบายๆ เหมือนกับที่อเมริกาทำมาหลังสงครามโลก 2
ค่าเงินยูโรกำลังจะเดี้ยง จะลาก $ ไปด้วย จีนจะสวนกลับด้วยการลอยตัวหยวน ผลที่ตามมาคือ ความต้องการ $ จะน้อยลง อเมริกาจะกู้แพงขึ้น ค่าเงินจะตก เงินเฟ้อจะพุ่งทะยานเมื่อ $ จากทั่วโลกไหลกลับเข้าประเทศ
เพราะฉะนั้น สหรัฐยอมไม่ได้ที่จะให้จีนพิมพ์หยวนออกมาแข่ง เพราะตัวเองจะฉิบหายทันที จีนนิ่งมาก คอยจนกว่ายุโรปจะบอบช้ำที่สุด ให้สหรัฐป่วนอีกรอบทางการเงิน ก่อนที่จะลอยตัวหยวน ใช้หยวนเข้าไปกอบกู้ เอาประเทศอื่นเป็นพวก
เพราะฉะนั้น นักเศรษฐศาสตร์โนเบลอย่าง Joseph Stiglitz, Robert Mundell ต่างตีกันจีน โดยบอกว่าทางออกคือ World Currency โดย World Currency จะมาจากฐานตะกร้าเงินที่มี ดอลลาร์ ปอนด์ เยน หยวน ทองบ้าง เป็นองค์ประกอบ โดยที่สหรัฐ อังกฤษ ยังคงควบคุมระบบการเงินโลกอยู่ต่อไป
แต่จีนคงจะไม่โง่หรอกนะ!
ต้องจับตาดูเยอรมนีด้วย เพราะว่าเยอรมนีน่าจะจับมือกับรัสเซียและจีน เพราะเยอรมนีเจ็บหนักจากสงครามโลก 2 จากอังกฤษ อเมริกา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะ เยอรมนีจะกลับไปพิมพ์มาร์ค จีนจะพิมพ์หยวน สองสกุลนี้จะแข็ง
ยูโรจะเป็นกงเต๊ก ปอนด์จะดิ่งเหว $ จะร่วง เพราะว่าไม่ได้ monopoly อีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นที่มาของการปิดล้อมจีน เพราะสหรัฐ-อังกฤษจะยอมให้จีน และพันธมิตรใหม่มาครองแชมป์แทนตัวเองไม่ได้
ถามว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ?
อเมริกาขาลงแน่นอน อเมริกาไม่มีเวลา ส่วนจีนมีทุนสำรอง $3 ล้านล้าน ยังมีเวลาหายใจหลายปี เมื่อยูโรล่มสลาย อเมริกาจะได้ผลกระทบอย่างหนัก (ที่จริงทั่วโลก) การเมืองภายในจะกระเพื่อม คนตกงาน ดาวโจนส์เจ๊ง บริษัทกลาง-เล็กล้ม แล้วปัญหาสังคมจะตามมา ฯลฯ
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่อเมริกาต้องเร่งเครื่องเพื่อการเผชิญหน้ากับจีน ตอนนี้ผู้นำสหรัฐวิ่งว่อนทั้งภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างฐานการทหารในการปิดล้อม จีน ใช้ประเทศพวกนี้เป็นฐาน ตัวเองลอยตุ๊บป่องๆกลางทะเลด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดนมัดมือชก เพราะเป็นฐานทัพอเมริกามานาน เข้ามาแล้วไม่ยอมออก ฯลฯ
การเร่งเครื่องของอเมริกาในภูมิภาค ทำให้เกิดการเร่งเครื่องในพม่ารวมทั้งไทยไปด้วย เราถึงได้เห็นนางคลินตัน ผู้นำตะวันตกบินเข้าออกพม่าเป็นว่าเล่น ซูจีเลยกลายเป็น เดอะเลดี้ ดังระเบิดโลก เพราะเขาเตรียมมาให้อย่างดี ฯลฯ
ทุกอย่างเป็นละคร ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ RT@korbsak ดูผังของอู่ตะเภา ที่ระบุพื้นที่ที่ Nasa เตรียมเข้ามา พร้อมบริเวณจอดเครื่อง DC 8 ของ Nasa lockerz.com/s/214025647 RT @nopnop2008: RT@korbsak รัฐบาลไทยอนุญาตเมื่อไหร่ อย่างไร เพราะข้อมูลการขนย้ายชัดเจนว่า ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ฯลฯ
แกนนำแดงเป็นแค่คนแจวเรือให้ TS และ TS ก็เป็นแค่คนแจวเรือให้.... (คิดเอาเอง) มันเป็นทอดๆ แต่คนไทยเราต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จนสุดชีวิต ถ้าไม่เข้าใจที่เขียนมาทั้งหมด ก็เตรียมรับกรรมกันถ้วนหน้า ประเทศกำลังจะล่มสลาย เรากำลังจะเป็นแบบซีเรีย
ในตอนท้าย มีการระบุว่า TS ในที่นี้หมายถึงใคร ไม่รู้ให้ไปถามน้องสาวเขาครับ. เครดิต thanongkhanthong@gmail.com
**สื่อไทย เผยหวังช่วยภัยพิบัติ
รายงานข่าวเปิดเผยอีกว่า สำหรับสนามบินอู่ตะเภานั้น ปกติทหารอเมริกัน จะมาใช้ตลอดทั้งปี ในการนำเครื่องบินลงจอด เติมน้ำมัน พัก และมาฝึกกับ 3 เหล่าทัพ ทั้งนี้บางครั้งจะมีการฝึกเล็ก ใหญ่ ตาม MOU ที่ทำกันมานาน
แต่ครั้งนี้ สหรัฐฯ อาจจะให้ใช้อู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัติในภูมิภาคนี้ เวลามีภัยพิบัติ เช่น สึนามิ หรือน้ำท่วมใหญ่ พายุ มีรายงานว่า ทางกลาโหมไทย ก็แสดงความเห็นด้วย
อย่างไรก็ตามสื่อไทยภาษาอังกฤษ ได้เสนอข่าวสะพัดว่า สหรัฐจะอาจใช้อู่ตะเภา เป็นที่จอดเครื่องบินและอุปกรณ์ของNASA ในการขึ้นสำรวจชั้นบรรยากาศ
แต่มีข่าวสะพัดด้วยว่า กรณีนีจะไม่มีเรื่องการทหารใดๆแอบแฝง เพราะที่จอดอุปกรณ์นาซ่าจะให้เจ้าหน้าที่ไทยร่วมสังเกตการณ์ด้วยทุกขั้นตอน