คำว่า กุมารทอง ได้เกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อใด ที่ไหน และใครเป็นคนเริ่มต้นปลุกเสกกุมารทองขึ้นมาเป็นคนแรก ผู้เขียนไม่เคยเห็นหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม พอจะมีหลักฐานอ้างอิงจากวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนที่ขุนแผนหรือพลายแก้วนำลูกของนางบัวคลี่มาปลุกเสกเป็นกุมารทองเพื่อใช้เป็นของขลัง และปรากฏต่อมาว่ามีฤทธิ์เดชเป็นอันมาก โดยเฉพาะในด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพันซึ่งเป็นที่มาของพระเครื่องขุนแผนรุ่นกุมารทองในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน และพระเครื่องรุ่นนี้เป็นพระพิมพ์ดินเผา เป็นรูปขุนแผนโดยมีกุมารทองวางบนตักเป็นที่นิยมของนักเล่นพระเครื่อง ซึ่งเชื่อกันว่าใครที่ได้จะเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วๆ ไป และอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อะไรทำนองนี้
ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปนานนับร้อยปี และผู้คนในสังคมไทยมีการศึกษามากขึ้น รวมไปถึงความเจริญทางวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาแทนที่ความเชื่อแบบดั้งเดิมมากแล้วก็ตาม
แต่ผู้คนในสังคมไทยหรือแม้กระทั่งในสังคมของประเทศใกล้เคียงในเอเชียบางประเทศ ก็ยังตกอยู่ภายใต้ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมนายโจว ฮอง ฮุน ชาวไต้หวัน พร้อมด้วยของกลางซากทารกปลุกเสกเป็นกุมารทอง 6 ร่างซึ่งซ่อนอยู่ในห้อง 613 โรงแรมเอ็มไพร์ ย่านเยาวราช
จากผลของการชันสูตรศพทารกทั้ง 6 ศพ ปรากฏว่า
ศพที่ 1 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 5-6 เดือน และเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-12 เดือน
ศพที่ 2 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 7-8 เดือน เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1-2 เดือน
ศพที่ 3 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 5 เดือน
ศพที่ 4 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 3 เดือน
ศพที่ 5 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 5 เดือน
ศพที่ 6 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 4-5 เดือน
ศพที่ 3-6 เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์
จากข้อมูลเบื้องต้นที่ปรากฏเป็นข่าว คงจะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ใครเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมปลุกเสกกุมารทอง และได้ซากศพเด็กมาจากไหน และด้วยวิธีการใด
2. ซากศพเด็กที่นำมาปลุกเสกเป็นกุมารทอง เสียชีวิตเองหรือจากการทำแท้ง
3. ถ้าเป็นศพเด็กที่ตายจากการทำแท้ง ใครเป็นคนทำและทำที่ใด ใครเป็นแม่ของเด็ก
ทั้ง 3 ประเด็นที่ว่ามานี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับการดำเนินคดี หรือไม่ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับศพเด็กทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้ง 6 ศพเท่าที่ทราบเพศแล้วไม่มีเพศหญิง และเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสอดคล้องกับความเชื่อในเรื่องการปลุกเสกกุมารทองที่ว่าจะต้องเป็นเด็กผู้ชาย และตายในครรภ์คือตายพร้อมแม่ หรือที่เรียกว่า ตายทั้งกลม และผู้ที่ต้องการจะนำศพเด็กไปปลุกเสกกุมารทองจะต้องนำศพเด็กออกมาจากท้องแม่แล้วนำมาย่างไฟเพื่อให้แห้งแล้วทำพิธีปลุกเสก ส่วนว่าการนำศพเด็กที่ตายจากการทำแท้งนั้นในสมัยก่อนไม่เคยปรากฏ อาจเป็นเพราะว่าคนในยุคก่อนไม่มีแม่คนไหนฆ่าลูกตัวเองเหมือนกับในยุคนี้
ดังนั้น ผู้ที่จะทำการปลุกเสกกุมารทองจะต้องรอเด็กตายพร้อมแน่ และมีการนำศพไปฝัง เนื่องจากในยุคก่อนมีความเชื่อว่าคนตายทั้งกลมจะต้องฝังแทนการเผา จึงเป็นโอกาสให้คนที่เชื่อเรื่องกุมารทองลักลอบขุดศพขึ้นมาผ่าท้องแล้วนำเด็กไปทำพิธีดังกล่าว
ไม่ว่าซากทารก 6 ศพจะมาจากไหน และด้วยวิธีใด สิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้คือ ในปัจจุบันความเชื่อในเรื่องนี้ยังมีอยู่ และเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะแก้ไขความเชื่อนี้ให้หมดไป
อะไรทำให้คนในยุคนี้มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และถ้าไม่แก้ไขจะเป็นผลเสียอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้ามองในแง่ของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการพัฒนาประเทศแล้ว การที่คนไทยยังฝังหัวอยู่กับเรื่องไร้เหตุผลและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษาเช่นนี้แล้ว น่าจะถือได้ว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาฯ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะความเชื่อในเรื่องทำนองนี้ขัดต่อกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ และสวนทางกับคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยหลักแห่งความเชื่อ หรือที่รู้จักกันในนามกาลามสูตรอย่างสิ้นเชิง
ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมคนจึงเชื่อนั้น บอกได้ไม่ยาก เพียงแต่หันไปดูปัญหาชีวิตที่คนไทยเผชิญอยู่ในเวลานี้ ก็จะพบว่าคนไทยยากจน ขาดที่พึ่งทางใจจึงหันไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ในทำนองเดียวกับความเชื่อในคำพูดหรือคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่เกิดขึ้นกับนโยบายรัฐที่บอกว่าจะให้โน่นให้นี่ และคนเหล่านี้ก็นั่งรอให้วันที่เขาบอกว่าจะให้มาถึงโดยไม่คิดพึ่งตัวเอง
และนี่เองคือสาเหตุให้สังคมไทยเชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผล และขาดการพึ่งตนเองทั้งในด้านความคิดและการกระทำ คอยแต่ให้ผีมาช่วยเหมือนกับเชื่อกุมารทอง หรือคอยให้รัฐบาลมาช่วยเหมือนคนที่เป็นคอการเมืองสุดโต่งบูชานักการเมืองที่ตนเองศรัทธาเหมือนเทพเจ้า และสุดท้ายก็ได้แต่รอการเป็นเหยื่อแห่งศรัทธามืดบอดให้คนปลุกผีหลอกเพื่อหวังผลในทางการเงิน หรือในทำนองเดียวกันกับคนที่เชื่อศรัทธานักการเมืองตกเป็นเหยื่อให้นักการเมืองหลอกเพื่อหวังผลทางการเมืองไม่มีอะไรแตกต่างกัน ส่วนว่าใครจะตกเป็นเหยื่อก่อนใคร และเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะรู้เองเมื่อวันนั้นมาถึง
แต่อย่างไรก็ตาม พอจะมีหลักฐานอ้างอิงจากวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนที่ขุนแผนหรือพลายแก้วนำลูกของนางบัวคลี่มาปลุกเสกเป็นกุมารทองเพื่อใช้เป็นของขลัง และปรากฏต่อมาว่ามีฤทธิ์เดชเป็นอันมาก โดยเฉพาะในด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพันซึ่งเป็นที่มาของพระเครื่องขุนแผนรุ่นกุมารทองในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน และพระเครื่องรุ่นนี้เป็นพระพิมพ์ดินเผา เป็นรูปขุนแผนโดยมีกุมารทองวางบนตักเป็นที่นิยมของนักเล่นพระเครื่อง ซึ่งเชื่อกันว่าใครที่ได้จะเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วๆ ไป และอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อะไรทำนองนี้
ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปนานนับร้อยปี และผู้คนในสังคมไทยมีการศึกษามากขึ้น รวมไปถึงความเจริญทางวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาแทนที่ความเชื่อแบบดั้งเดิมมากแล้วก็ตาม
แต่ผู้คนในสังคมไทยหรือแม้กระทั่งในสังคมของประเทศใกล้เคียงในเอเชียบางประเทศ ก็ยังตกอยู่ภายใต้ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมนายโจว ฮอง ฮุน ชาวไต้หวัน พร้อมด้วยของกลางซากทารกปลุกเสกเป็นกุมารทอง 6 ร่างซึ่งซ่อนอยู่ในห้อง 613 โรงแรมเอ็มไพร์ ย่านเยาวราช
จากผลของการชันสูตรศพทารกทั้ง 6 ศพ ปรากฏว่า
ศพที่ 1 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 5-6 เดือน และเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-12 เดือน
ศพที่ 2 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 7-8 เดือน เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1-2 เดือน
ศพที่ 3 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 5 เดือน
ศพที่ 4 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 3 เดือน
ศพที่ 5 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 5 เดือน
ศพที่ 6 ไม่ทราบเพศ อายุครรภ์ 4-5 เดือน
ศพที่ 3-6 เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์
จากข้อมูลเบื้องต้นที่ปรากฏเป็นข่าว คงจะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ใครเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมปลุกเสกกุมารทอง และได้ซากศพเด็กมาจากไหน และด้วยวิธีการใด
2. ซากศพเด็กที่นำมาปลุกเสกเป็นกุมารทอง เสียชีวิตเองหรือจากการทำแท้ง
3. ถ้าเป็นศพเด็กที่ตายจากการทำแท้ง ใครเป็นคนทำและทำที่ใด ใครเป็นแม่ของเด็ก
ทั้ง 3 ประเด็นที่ว่ามานี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับการดำเนินคดี หรือไม่ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับศพเด็กทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้ง 6 ศพเท่าที่ทราบเพศแล้วไม่มีเพศหญิง และเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสอดคล้องกับความเชื่อในเรื่องการปลุกเสกกุมารทองที่ว่าจะต้องเป็นเด็กผู้ชาย และตายในครรภ์คือตายพร้อมแม่ หรือที่เรียกว่า ตายทั้งกลม และผู้ที่ต้องการจะนำศพเด็กไปปลุกเสกกุมารทองจะต้องนำศพเด็กออกมาจากท้องแม่แล้วนำมาย่างไฟเพื่อให้แห้งแล้วทำพิธีปลุกเสก ส่วนว่าการนำศพเด็กที่ตายจากการทำแท้งนั้นในสมัยก่อนไม่เคยปรากฏ อาจเป็นเพราะว่าคนในยุคก่อนไม่มีแม่คนไหนฆ่าลูกตัวเองเหมือนกับในยุคนี้
ดังนั้น ผู้ที่จะทำการปลุกเสกกุมารทองจะต้องรอเด็กตายพร้อมแน่ และมีการนำศพไปฝัง เนื่องจากในยุคก่อนมีความเชื่อว่าคนตายทั้งกลมจะต้องฝังแทนการเผา จึงเป็นโอกาสให้คนที่เชื่อเรื่องกุมารทองลักลอบขุดศพขึ้นมาผ่าท้องแล้วนำเด็กไปทำพิธีดังกล่าว
ไม่ว่าซากทารก 6 ศพจะมาจากไหน และด้วยวิธีใด สิ่งหนึ่งที่บอกให้รู้คือ ในปัจจุบันความเชื่อในเรื่องนี้ยังมีอยู่ และเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะแก้ไขความเชื่อนี้ให้หมดไป
อะไรทำให้คนในยุคนี้มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และถ้าไม่แก้ไขจะเป็นผลเสียอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้ามองในแง่ของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการพัฒนาประเทศแล้ว การที่คนไทยยังฝังหัวอยู่กับเรื่องไร้เหตุผลและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษาเช่นนี้แล้ว น่าจะถือได้ว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาฯ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะความเชื่อในเรื่องทำนองนี้ขัดต่อกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ และสวนทางกับคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยหลักแห่งความเชื่อ หรือที่รู้จักกันในนามกาลามสูตรอย่างสิ้นเชิง
ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมคนจึงเชื่อนั้น บอกได้ไม่ยาก เพียงแต่หันไปดูปัญหาชีวิตที่คนไทยเผชิญอยู่ในเวลานี้ ก็จะพบว่าคนไทยยากจน ขาดที่พึ่งทางใจจึงหันไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ในทำนองเดียวกับความเชื่อในคำพูดหรือคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่เกิดขึ้นกับนโยบายรัฐที่บอกว่าจะให้โน่นให้นี่ และคนเหล่านี้ก็นั่งรอให้วันที่เขาบอกว่าจะให้มาถึงโดยไม่คิดพึ่งตัวเอง
และนี่เองคือสาเหตุให้สังคมไทยเชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผล และขาดการพึ่งตนเองทั้งในด้านความคิดและการกระทำ คอยแต่ให้ผีมาช่วยเหมือนกับเชื่อกุมารทอง หรือคอยให้รัฐบาลมาช่วยเหมือนคนที่เป็นคอการเมืองสุดโต่งบูชานักการเมืองที่ตนเองศรัทธาเหมือนเทพเจ้า และสุดท้ายก็ได้แต่รอการเป็นเหยื่อแห่งศรัทธามืดบอดให้คนปลุกผีหลอกเพื่อหวังผลในทางการเงิน หรือในทำนองเดียวกันกับคนที่เชื่อศรัทธานักการเมืองตกเป็นเหยื่อให้นักการเมืองหลอกเพื่อหวังผลทางการเมืองไม่มีอะไรแตกต่างกัน ส่วนว่าใครจะตกเป็นเหยื่อก่อนใคร และเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะรู้เองเมื่อวันนั้นมาถึง