ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เสียงเด็กร้องโหยหวนดังแว่วมาจากโรงแรมเอ็มไพร์ ย่านเยาวราช ทำเอาแขกที่มาพักและชาวบ้านร้านช่องใกล้เคียงต่างขนหัวลุกกันเป็นทิวแถว ยิ่งตอนใกล้พลบค่ำคืนเสียงเด็กยิ่งเยือกเย็น จึงเกรงเป็นเสียงเด็กถูกทำร้าย จึงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างทรมานออกมา จนชาวบ้านอดรนทนไม่ไหวเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 2 ให้ไปตรวจสอบที่โรมแรมดังกล่าว พบว่าต้นเสียงมาจากห้องเลขที่ 613 แต่เมื่อตำรวจให้แม่บ้านของโรงแรมนำกุญแจสำรองไปไขแต่ก็ไม่พบผู้เช่า สิ่งผิดกฎหมาย หรือเด็กเจ้าของต้นเสียงแต่อย่างใด
แต่เสียงเด็กก็ยังโหยหวนอีกเช่นเคย ชาวบ้านไม่ลดละความพยายามจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล (กก.ดส.บช.น.) ในวันที่ 18 พฤษภาคม ให้เข้าทำการตรวจสอบอีกครั้ง
ไม่รอช้า พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.ดส.รีบสั่งการให้ พ.ต.ท.คฑายุทธ โรจน์วงศ์สุริยะ สว.กก.ดส. นำกำลังเข้าตรวจสอบ เบื้องต้นตรงกับข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ชาวบ้านมาแจ้งเบาะแสว่ามีการค้าซากศพทารกเพื่อทำกุมารทองผ่านทางเว็บไซต์ ส่งขายยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยแหล่งใหญ่อยู่ในเมืองไทย
จากนั้น พ.ต.อ.วิวัฒน์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.คฑายุทธ รีบนำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ 613 โรงแรมเอ็มไพร์ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กทม. อีกครั้ง พบ นายโจว ฮอง ฮุน อายุ 28 ปี สัญชาติจีนไต้หวัน อยู่ในห้องลักษณะมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นห้องพบกระเป๋าเดินทางสีดำใบเขื่องซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า เมื่อแต่แล้วเจ้าหน้าที่ก็ต้องผงะเมื่อพบซากทารกในสภาพกุมารทอง จำนวน 6 ศพ มีการมัดสาย สิญจน์ ลงอักขระเป็นภาษาเขมรและติดทองทั่วลำตัว บรรจุกล่องกระดาษ จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานพร้อมนำตัวผู้ต้องหามาสอบปากคำที่ กก.ดส.บชน.
นายโจว ฮอง ฮุน รับสารภาพว่า ชาวต่างชาติในไต้หวันนิยมนำกุมารทองมาบูชา โดยเชื่อกันว่าหากบูชาแล้วจะร่ำรวยเงินทองทำมาค้าขายกิจการจะเจริญรุ่งเรือง ซึ่งที่นั่นมีราคาดี และลูกค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อจะเป็นคนไทยในไทเป ประเทศไต้หวัน ถ้านำไปขายที่นั่นราคาศพละ 150,000 - 200,000 ตามสภาพซากศพ ถ้าหากศพสวยๆหน้าตาและอวัยวะอยู่ครบราคาจะพุ่งถึงศพละ 250,000 บาทขึ้นไป
พ่อค้ากุมารทองชาวไต้หวันให้การต่อว่า เมื่อประมาณ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้รับการจ้างวานจาก คนแซ่เฉิน ชาวไต้หวัน ที่อยู่ประเทศไต้หวันให้มาซื้อซากศพทารกที่ ประเทศไทยเพื่อไปทำเป็นกุมารทองสำหรับบูชา โดยไปรับมาจากชายชาวไต้หวันที่อยู่ในประเทศไทย โดยจะทำการติดต่อกันทางโทรศัพท์นัดเอากุมารทองมาวางไว้ใต้ต้นไม้สวนสาธารณะในราคา 200,000 บาท เพื่อนำกลับไปให้ คนแซ่เฉิน จากนั้นเขาจะนำไปขายผ่านทางเว็บไซด์ ส่วนค่าตอบแทนนั้นขึ้นอยู่ที่ราคาขาย ถ้าได้ราคาดีส่วนแบ่งก็จะได้มากขึ้นตามไปด้วย
พ.ต.ท.คฑายุทธ โรจน์วงศ์สุริยะ สว.กก.ดส. กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำนายโจว ฮอง ฮุน ผู้ต้องหารายนี้ทราบว่า ซื้อซากทารกทั้งหมดที่ผ่านการทำพิธีกุมารทองมาจากชาวไต้หวันที่อยู่ในประเทศไทยชื่อนายเฉิน เหวิน อี้ อายุ 32 ปี มีการตกลงจ่ายเงินกันที่ประเทศไต้หวัน จากนั้นเดินทางมารับของกลางที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวนายเฉิน ที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างมาสอบปากคำ อ้างไม่รู้ไม่เห็น พร้อมนำตัวไปค้นห้องพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งย่านถนนข้าวสาร พื้นที่ สน.ชนะสงคราม แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย และจำเป็นต้องปล่อยตัวไปก่อน
พ.ต.ท.คฑายุทธกล่าวต่อว่า ส่วนซากทารกของกลางทั้งหมดที่ทำเป็นกุมารทองนั้นพบว่า มีการลงอักขระเป็นภาษาเขมรทั่วลำตัว คาดว่าน่าจะทำมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนนำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯให้กับบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และเมื่อเค้นสอบนายโจว ฮอง ฮุน ก็ไม่ทราบว่า นายเฉิน บุคคลที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง นำซากทารกมาจากที่ใด แต่เจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะได้ตรวจสอบย้อนหลังไปยังพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานที่ทำการจับกุม และพื้นที่ทั่วไปใน กทม.ไม่พบว่ามีการแจ้งลักศพทารกแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.วิวัฒน์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังรอผลตรวจจากนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ว่าศพเด็กทั้งหมดเป็นเด็กไทย หรือว่าเด็กที่มาจากเขมร และสาเหตุการเสียชีวิต เพื่อที่จะสืบสวนสอบสวนในทางคดีต่อไป ส่วนหมอผีหรือว่าคนที่ทำพิธีกรรมปลุกเสกกุมารทอง คาดว่าน่าจะเป็นคนไทย แต่อาจจะหมอที่ร่ำเรียนวิชาไสยเวชมาจากประเทศเขมร อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่รู้ตัวหมอผีที่ทำพิธีกรรมดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมและนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 2 เจ้าของพื้นที่รับตัวไปเพื่อดำเนินคดี ลักลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตาย หรือเหตุแห่งการตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกิน 2,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ภายหลังจากสอบสวน พิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อย มีทนายความผู้ต้องหามาทำเรื่องขอประกันตัว ใช้หลักทรัพย์เงินสด 100,000 บาท ประกันตัวออกไป แต่มีข้อแม้ห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกประเทศ และให้มาพบพนักงานสอบสวนตามนัด
หลังจากข่าวจับกุมแก๊งค้ากุมารทองแพร่สะพัดชาวบ้านใกล้เคียง สน.พลับพลาไชย 2 ที่ทราบข่าวว่าโรงพักเก็บซากกุมารทองไว้เป็นของกลาง ก็ต่างทยอยกันเข้ามาขอตำรวจดูกันทั้งวัน โดยบางรายมีการซื้อน้ำแดง ซื้อนม และพวงมาลัยมาให้กุมารทองทั้ง 6 บางรายก็มาขอหวยอีกด้วย ซึ่งตำรวจก็อนุโลมให้เข้ามาชมได้
แต่เรื่องราวความเฮี้ยนของกุมารทองยังไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อช่วง 4 ทุ่ม ของคืนวันที่ 18 พ.ค. พนักงานสอบสวน สน.พลับพลาชัย 2 ที่เข้าเวรจำนวน 4 นาย ได้ยินเสียงร้องของเด็กดังมาจากหลังห้องพนักงานสอบสวนที่ใช้เก็บซากทารก โดย พ.ต.ท.หญิง จิตติมา ธงไชย พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.พลับพลาไชย 2 เล่าถึงเหตุการณ์สยองขวัญว่า วันเกิดเหตุได้ยินเสียงเด็กทารกร้องอุแว้ๆ อยู่หลังห้อง ตอนแรกคิดว่าหูฝาด แต่พอสอบถามทุกคนได้ยินเหมือนกัน จนมีผู้ช่วยร้อยเวรมาบอกว่า เหมือนมีเด็กมากระซิบข้างหูว่า “พี่สาวที่ขาวๆอวบๆใจดีจัง”
“ดิฉันไม่ได้คิดมากหรือกลัว จึงให้ผู้ช่วยร้อยเวรไปซื้อน้ำมาให้กุมารทอง จากนั้นเสียงของเด็กก็เงียบหายไป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าเด็กๆไม่ได้มาหลอก น่าจะมาขอบคุณตำรวจที่ช่วยเหลือพวกเขามากกว่า”
สอดคล้องกับ ร.ต.อ.พงษ์นริทร์ อนันตชาติ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.พลับพลาไชย 2 ที่เข้าเวรวันนั้นก็เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณสี่ทุ่มของดังกล่าวได้มาเข้าเวรต่อจาก พ.ต.ท.หญิง จิตติมา ธงไชย ขณะนั้น กำลังนั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ห้องพนักงานสอบสวน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายเด็กร้องเสียง “อ่อแอ่” ขึ้นมา ซึ่งขณะนั้นตนก็คิดว่าอาจจะอุปาทานไปเองเพราะภายใน สน.พลับพลาไชย 2 ได้มีการเปิดโทรทัศน์ไว้อาจเป็นเสียงของละครก็เป็นไปได้ แต่พอมาทราบข่าวตอนหลังว่า มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจึงไม่ขอลบหลู่ดีกว่า
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พลับพลาไชย 2 ได้มีการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในช่วงเช้าของวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมาเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของเด็กทั้ง 6 คน
ต่อมาเจ้าหน้าที่นำซากกุมารทองทั้งหมดไปชันสูตรที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำศพกุมารทองที่ถูกปลุกเสกมาชันสูตร โดยมีแพทย์นิติเวช 3รายได้ร่วมกันชันสูตรประกอบด้วย พ.ต.อ.นพ.ภวัต ประทีปวิศรุต พ.ต.ท.ปกรณ์ วะศินรัตน์ แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ และ รศ.พญ. สมบูรณ์ ธรรมเถกิงกิจ เลขาธิการสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย
ผลการตรวจพบว่าศพที่ 1 เป็นเพศชาย อายุ ครรภ์ 5-6 เดือน สูง27.8ซม. ศพที่ 2 เพศชาย อายุครรภ์ประมาณ 7-8 เดือน สู 35 ซม. ศพที่ 3 ไม่สามารถตรวจสอบเพศได้ อายุครรภ์ 5 เดือน สูง 25 ซม. ศพที่ 4 ไม่สามารถระบุเพศได้ อายุครรภ์ 3 เดือน ศพที่ 5 เป็นเพศชาย อายุครรภ์ 5 เดือน และศพที่6 ไม่สามารถระบุเพศได้อายุครรภ์ 4-5 เดือน โดยสามารถระบุอายุครรภ์ได้จากการคำนวณส่วนสูงและน้ำหนักของซากศพ
อย่างไรก็ตาม ศพที่ไม่สามารถระบุเพศได้ เนื่องจากศพมีลักษณะแห้งเกินไป จึงต้องตรวจดีเอนเออีกครั้ง โดยศพที่ 3-6 และศพที่ 1 เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-12 เดือน ส่วนศพที่ 2 เสียชีวิตมาแล้ว 1-3 เดือน โดยศพที่ 3-6 เสียชีวิตก่อนคลอด ส่วนศพที่ 1-2 ไม่สามารถตรวจสอบได้
ถือเป็นการจับกุมขบวนการค้าซากกุมารทองครั้งใหญ่ในรอบหลายปี โดยเบาะแสมาจากเสียงร้องโหยหวนของเด็กดังมาจากโรงแรม ชาวบ้านที่ได้ยินถึงกับขนลุกเกลียว เกรงจะมีการทำร้ายเด็กจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ กระทั่งจับกุมชาวไต้หวันแก๊งค้าซากกุมารทองได้ดังกล่าว ซึ่งเสียงร้องของเด็กนั้นจะเป็นเสียงวิญญาณร้องขอความช่วยเหลือหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนขนหัวลุกจะจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวิจารณญาณส่วนบุคคล ที่สำคัญเสียงโหยหวนนั่นเองที่เป็นเบาะแสสำคัญที่ทำให้ตำรวจตามจับกุมผู้ต้องหาค้ากุมารทองมาดำเนินคดีดังกล่าว