ASTVผู้จัดการรายวัน-127 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ผนึก"ชูวิทย์" ร่วมลงชื่อถอดถอน "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" เหตุพฤติกรรมส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ดันพ.ร.บ.ปรองดองสุดตัว ส่วนผลพวงจากนั้น 2พรรคซัดกันเละ ประชาธิปัตย์ งัดสูตรโจรสู้โจร เพื่อไทยสวนขู่ฟันฐานเป็นกบฏ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ... (พ.ร.บ.ปรองดอง) ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังก่อให้เกิดการเล่นแง่ เล่นมุม โดยใช้หลักของกฎหมายมาห่ำหั่นกันอย่างเต็มที่ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (31 พ.ค.) ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายถาวร เสนเนียม ส.ส. สงขลา พร้อมด้วยส.ส.ของพรรคจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยนายชูวิทย์ กลมวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อส.ส. จำนวน 127 คน ต่อพล.อ.ธีรเดช บุญเพียร ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้วุฒิสภาถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกจากตำแหน่ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมายใน 3 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย
1.เป็น ส.ส. และประธานสภาฯ มีหน้าที่ดำเนินกิจการของสภาฯ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฏหมาย และข้อบังคับการประชุม ต้องวางตนเป็นกลาง แต่กลับมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 125 มาตรา 142 วรรคสอง และ143 วรรคสอง โดยทำการบรรจุร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ทั้ง 4 ฉบับ ในระเบียบวาระการประชุม ทั้งที่เป็นกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ที่ไม่มีการลงนามรับรองจากนายกรัฐมนตรีก่อน จึงถือเป็นร่างที่มิชอบด้วยกฏหมาย
ขณะเดียวกัน ยังกระทำผิดข้อบังคับการประชุมข้อ 111 โดยการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่แจ้งต่อผู้เสนอญัตติให้ทราบเพื่อที่จะได้ส่งร่างไปยังนายกฯ ให้มีคำรับรอง แต่กลับเร่งรีบบรรจุเข้าวาระสภาทันที จงใจไม่แจ้งให้ผู้เสนอญัตติรับทราบว่าเป็นร่างเกี่ยวข้องกับการเงิน และจงใจไม่ให้นายกฯ มีคำรับรอง เพราะนายสมศักดิ์ทราบดีว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากร่างพ.ร.บ.ทั้ง4 ฉบับ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีผลผูกพันทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจ่ายเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากนี้ เมื่อมีสมาชิกเสนอญัตติให้เลื่อนวาระการพิจารณาขึ้นมา ทั้งที่มีสมาชิกจากฝ่ายค้านพยายามทักท้วงว่าเป็นร่างพ.ร.บ.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กลับจงใจวินิจฉัยเสียเองโดยไม่มีอำนาจ และบิดเบือนความจริงว่าไม่ใช่ร่างเกี่ยวข้องกับการเงิน เพื่อจงใจให้เลื่อนวาระการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมาก่อน ซึ่งถือว่าจงใจใช้อนาจขัดระญธรรมนูญตามมาตรา 142 วรรคสอง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง(2)(3) และมาตรา 143 วรรคสอง
2.ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 216 และ มาตรา 309 สภาฯ ไม่มีอำนาจพิจารณา การที่นายสมศักดิ์ยินยอมให้สภาฯ พิจารณาจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน โดยวาระของร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ในมาตรา 5มีการล้มล้างการรับรองผลในทางกฎหมายของประกาศและคำสั่งของ คมช. และคำสั่งหัวหน้า คมช. เช่น การตรวจสอบของ คตส. ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 309 และกฎหมายนี้ ยังมีผลล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ได้ตัดสินคดีไปแล้ว รวมถึงยังมีเนื้อหาลบล้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 216 ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
3.นายสมศักดิ์ มีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 125 วรรค 1 ประกอบข้อบังคับการประชุมสภา 42 และรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรค 2 เนื่องจากประธานสภาลุแก่อำนาจวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งที่ในสาระของกฎหมายไม่ใช่ประโยชน์ต่อประชาชน แต่มุ่งหวังประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก โดยใช้เสียงข้างมากในการลงมติไม่ฟังเสียงข้างน้อยในสภา ทำให้ส.ส.หมดความอดทนเพราะเป็นพฤติกรรม "เผด็จการรัฐสภา" จนเกิดการประท้วงขับไล่ให้นายสมศักดิ์ ออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ ส.ส.ทั้งหมดจึงเข้าชื่อเพื่อให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการถอดถอนนายสมศักดิ์ ออกจากตำแหน่งเพื่อประโยชน์ในการรักษากฎหมายบ้านเมืองให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม
**รุมอัด"ค้อนปลอม"ลุแก่อำนาจ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวร้องขอให้นายสมศักดิ์ เปลี่ยนท่าทีการทำหน้าที่ประธานการประชุม ถ้ายังใช้ท่าทีแบบเดิม ก็ต้องเจอปัญหาแบบเดิมแน่นอน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สมาชิกทำหน้าที่ได้ด้วยเหตุและผล หากพยายามที่จะใช้เหตุผล แต่พอไม่อยากเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาชี้แจงก็บอกว่าขอปิดและใช้อำนาจประธาน ซึ่งหลายครั้งมักจะพูดว่าเป็นอำนาจของประธานถูกผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ยึดความถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ก็มีการเคลื่อนไหวถอดถอนกันอยู่ แต่ในชั้นต้น คือ การทำให้กฎหมายที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมเข้ามาสู่การพิจารณา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะทำหน้าที่ของส.ส. จะเสียงข้างมาก ข้างน้อย ก็ต้องเป็นตัวแทนในการที่จะรักษาสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นความถูกต้อง และเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เขายอมรับการมาทำลายระบบนิติธรรม นิติรัฐไม่ได้
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากประธานสภาฯ ไม่ตุกติกกับคำสั่งของคนแดนไกล ประธานสภาฯ คงสามารถชี้แจงได้ว่าที่เร่งด่วนเพราะอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจมาบีบบังคับ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีการเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ขอโทษประธานสภาฯ ว่า คนที่ต้องขอโทษ คือ คนที่เป็นต้นตอของปัญหา โดยตนขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว
**ปชป.งัดวิธีโจรสู้กับโจร
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้มีการถกเถียงกันในส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องดังกล่าว พรรคประชาธิปัตย์สมควรจะทำหรือไม่ ซึ่งก็มีการชี้แจงว่า การเล่นการเมืองอย่างสุภาพบุรุษ เหมือนอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมาตลอด คงใช้ไม่ได้กับคนบางกลุ่ม เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ยึดถือกฏเกณฑ์ กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น แม้เราจะอธิบายถึงหลักการณ์ข้อบังคับต่างๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่แยแส จะดึงดันให้ได้ แบบเผด็จการรัฐสภา พวกมากลากไปทั้งสิ้น
“เรื่องนี้คงเปรียบเสมือน การจะสู้กับโจร ก็ต้องใช้วิธีโจร ส่วนการที่มีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นไปบนบัลลังก์ประธานสภาฯ นั้น เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่า ท่านประธานสภาฯ คนนี้ไม่เหมาะสมกับการทำหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีการทำร้ายอะไรเลย ถ้ามีพี่น้องประชาชนบางท่าน ไม่สบายใจกับการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ผมขอยืนยันว่า สิ่งทั้งหมดที่พรรคประชาธิปัตย์ทำไป ก็เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพรรค หรือของใครคนใดคนหนึ่ง”น.พ.วรงค์กล่าว
** “เพื่อไทย”ขู่ฟันปชป.ฐานเป็นกบฏ
ฝากพรรคเพื่อไทย น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จะหารือกับคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ในข้อหากบฏ เนื่องจากมีพฤติกรรมกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ที่ห้ามมิให้มีการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติไม่ได้ สืบเนื่องจากกรณี สส.พรรคประชาธิปัตย์ ใช้กำลังฉุดกระชากนายสมศักดิ์ ระหว่างทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งถือเป็นการขัดขวางไม่ให้ใช้อำนาจประธาน และสามารถเหมารวมได้ว่าเป็นการกระทำของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ เนื่องจากไม่มีการห้ามปราม
น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ระวางโทษในข้อหาของผู้กระทำผิดจะมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต ซึ่งในต่างประเทศ จะห้ามไม่ให้มีการละเมิดประธานสภาฯ แบบถึงเนื้อถึงตัว
นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกไม่นานจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงมากกว่านี้ อาจถึงขั้นชกต่อยหรือยิงกันในสภาฯ เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก จึงอยากให้ตำรวจสภาฯ ได้ตรวจสอบอาวุธทั้ง ส.ส. และ ส.ว.อย่างเข้มงวด
ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของตนเอง โดยยอมรับว่า มีประชาชนโทรมาตำหนิ และได้ยอมรับผิดในการกระทำดังกล่าว แต่สิ่งที่ได้แสดงออกไป เพราะฝ่ายค้านมีพฤติกรรมที่ใช้กฏหมู่เหนือกฏหมาย และใช้กำลังประทุษร้ายต่อนายสมศักดิ์ จึงไม่ควรให้ความเชื่อถือกับฝ่ายค้านอีกต่อไป พฤติกรรมของฝ่ายค้าน ตนจะไม่ยอม และพร้อมที่จะปกป้องประธานสภาฯ อย่างเต็มที่
**กมธ.สภาฯเรียก"มาร์ค"แจงปัญหา
อีกด้าน นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภา อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะตนมองว่าเหตุการณ์ที่ ส.ส. บุกไปประชิดตัวประธานรัฐสภา และมีการทำร้ายร่างกายประธานสภาฯ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติ หัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ... (พ.ร.บ.ปรองดอง) ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังก่อให้เกิดการเล่นแง่ เล่นมุม โดยใช้หลักของกฎหมายมาห่ำหั่นกันอย่างเต็มที่ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (31 พ.ค.) ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายถาวร เสนเนียม ส.ส. สงขลา พร้อมด้วยส.ส.ของพรรคจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยนายชูวิทย์ กลมวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อส.ส. จำนวน 127 คน ต่อพล.อ.ธีรเดช บุญเพียร ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้วุฒิสภาถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกจากตำแหน่ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมายใน 3 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย
1.เป็น ส.ส. และประธานสภาฯ มีหน้าที่ดำเนินกิจการของสภาฯ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฏหมาย และข้อบังคับการประชุม ต้องวางตนเป็นกลาง แต่กลับมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 125 มาตรา 142 วรรคสอง และ143 วรรคสอง โดยทำการบรรจุร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ทั้ง 4 ฉบับ ในระเบียบวาระการประชุม ทั้งที่เป็นกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ที่ไม่มีการลงนามรับรองจากนายกรัฐมนตรีก่อน จึงถือเป็นร่างที่มิชอบด้วยกฏหมาย
ขณะเดียวกัน ยังกระทำผิดข้อบังคับการประชุมข้อ 111 โดยการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่แจ้งต่อผู้เสนอญัตติให้ทราบเพื่อที่จะได้ส่งร่างไปยังนายกฯ ให้มีคำรับรอง แต่กลับเร่งรีบบรรจุเข้าวาระสภาทันที จงใจไม่แจ้งให้ผู้เสนอญัตติรับทราบว่าเป็นร่างเกี่ยวข้องกับการเงิน และจงใจไม่ให้นายกฯ มีคำรับรอง เพราะนายสมศักดิ์ทราบดีว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากร่างพ.ร.บ.ทั้ง4 ฉบับ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีผลผูกพันทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจ่ายเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากนี้ เมื่อมีสมาชิกเสนอญัตติให้เลื่อนวาระการพิจารณาขึ้นมา ทั้งที่มีสมาชิกจากฝ่ายค้านพยายามทักท้วงว่าเป็นร่างพ.ร.บ.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่กลับจงใจวินิจฉัยเสียเองโดยไม่มีอำนาจ และบิดเบือนความจริงว่าไม่ใช่ร่างเกี่ยวข้องกับการเงิน เพื่อจงใจให้เลื่อนวาระการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมาก่อน ซึ่งถือว่าจงใจใช้อนาจขัดระญธรรมนูญตามมาตรา 142 วรรคสอง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง(2)(3) และมาตรา 143 วรรคสอง
2.ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 216 และ มาตรา 309 สภาฯ ไม่มีอำนาจพิจารณา การที่นายสมศักดิ์ยินยอมให้สภาฯ พิจารณาจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน โดยวาระของร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ในมาตรา 5มีการล้มล้างการรับรองผลในทางกฎหมายของประกาศและคำสั่งของ คมช. และคำสั่งหัวหน้า คมช. เช่น การตรวจสอบของ คตส. ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 309 และกฎหมายนี้ ยังมีผลล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ได้ตัดสินคดีไปแล้ว รวมถึงยังมีเนื้อหาลบล้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 216 ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
3.นายสมศักดิ์ มีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 125 วรรค 1 ประกอบข้อบังคับการประชุมสภา 42 และรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรค 2 เนื่องจากประธานสภาลุแก่อำนาจวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งที่ในสาระของกฎหมายไม่ใช่ประโยชน์ต่อประชาชน แต่มุ่งหวังประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก โดยใช้เสียงข้างมากในการลงมติไม่ฟังเสียงข้างน้อยในสภา ทำให้ส.ส.หมดความอดทนเพราะเป็นพฤติกรรม "เผด็จการรัฐสภา" จนเกิดการประท้วงขับไล่ให้นายสมศักดิ์ ออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ ส.ส.ทั้งหมดจึงเข้าชื่อเพื่อให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการถอดถอนนายสมศักดิ์ ออกจากตำแหน่งเพื่อประโยชน์ในการรักษากฎหมายบ้านเมืองให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม
**รุมอัด"ค้อนปลอม"ลุแก่อำนาจ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวร้องขอให้นายสมศักดิ์ เปลี่ยนท่าทีการทำหน้าที่ประธานการประชุม ถ้ายังใช้ท่าทีแบบเดิม ก็ต้องเจอปัญหาแบบเดิมแน่นอน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สมาชิกทำหน้าที่ได้ด้วยเหตุและผล หากพยายามที่จะใช้เหตุผล แต่พอไม่อยากเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาชี้แจงก็บอกว่าขอปิดและใช้อำนาจประธาน ซึ่งหลายครั้งมักจะพูดว่าเป็นอำนาจของประธานถูกผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ยึดความถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ก็มีการเคลื่อนไหวถอดถอนกันอยู่ แต่ในชั้นต้น คือ การทำให้กฎหมายที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมเข้ามาสู่การพิจารณา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะทำหน้าที่ของส.ส. จะเสียงข้างมาก ข้างน้อย ก็ต้องเป็นตัวแทนในการที่จะรักษาสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นความถูกต้อง และเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เขายอมรับการมาทำลายระบบนิติธรรม นิติรัฐไม่ได้
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากประธานสภาฯ ไม่ตุกติกกับคำสั่งของคนแดนไกล ประธานสภาฯ คงสามารถชี้แจงได้ว่าที่เร่งด่วนเพราะอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจมาบีบบังคับ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีการเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ขอโทษประธานสภาฯ ว่า คนที่ต้องขอโทษ คือ คนที่เป็นต้นตอของปัญหา โดยตนขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว
**ปชป.งัดวิธีโจรสู้กับโจร
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้มีการถกเถียงกันในส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องดังกล่าว พรรคประชาธิปัตย์สมควรจะทำหรือไม่ ซึ่งก็มีการชี้แจงว่า การเล่นการเมืองอย่างสุภาพบุรุษ เหมือนอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมาตลอด คงใช้ไม่ได้กับคนบางกลุ่ม เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ยึดถือกฏเกณฑ์ กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น แม้เราจะอธิบายถึงหลักการณ์ข้อบังคับต่างๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่แยแส จะดึงดันให้ได้ แบบเผด็จการรัฐสภา พวกมากลากไปทั้งสิ้น
“เรื่องนี้คงเปรียบเสมือน การจะสู้กับโจร ก็ต้องใช้วิธีโจร ส่วนการที่มีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นไปบนบัลลังก์ประธานสภาฯ นั้น เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่า ท่านประธานสภาฯ คนนี้ไม่เหมาะสมกับการทำหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีการทำร้ายอะไรเลย ถ้ามีพี่น้องประชาชนบางท่าน ไม่สบายใจกับการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ผมขอยืนยันว่า สิ่งทั้งหมดที่พรรคประชาธิปัตย์ทำไป ก็เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพรรค หรือของใครคนใดคนหนึ่ง”น.พ.วรงค์กล่าว
** “เพื่อไทย”ขู่ฟันปชป.ฐานเป็นกบฏ
ฝากพรรคเพื่อไทย น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จะหารือกับคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ในข้อหากบฏ เนื่องจากมีพฤติกรรมกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ที่ห้ามมิให้มีการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติไม่ได้ สืบเนื่องจากกรณี สส.พรรคประชาธิปัตย์ ใช้กำลังฉุดกระชากนายสมศักดิ์ ระหว่างทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งถือเป็นการขัดขวางไม่ให้ใช้อำนาจประธาน และสามารถเหมารวมได้ว่าเป็นการกระทำของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ เนื่องจากไม่มีการห้ามปราม
น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ระวางโทษในข้อหาของผู้กระทำผิดจะมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต ซึ่งในต่างประเทศ จะห้ามไม่ให้มีการละเมิดประธานสภาฯ แบบถึงเนื้อถึงตัว
นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกไม่นานจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงมากกว่านี้ อาจถึงขั้นชกต่อยหรือยิงกันในสภาฯ เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก จึงอยากให้ตำรวจสภาฯ ได้ตรวจสอบอาวุธทั้ง ส.ส. และ ส.ว.อย่างเข้มงวด
ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของตนเอง โดยยอมรับว่า มีประชาชนโทรมาตำหนิ และได้ยอมรับผิดในการกระทำดังกล่าว แต่สิ่งที่ได้แสดงออกไป เพราะฝ่ายค้านมีพฤติกรรมที่ใช้กฏหมู่เหนือกฏหมาย และใช้กำลังประทุษร้ายต่อนายสมศักดิ์ จึงไม่ควรให้ความเชื่อถือกับฝ่ายค้านอีกต่อไป พฤติกรรมของฝ่ายค้าน ตนจะไม่ยอม และพร้อมที่จะปกป้องประธานสภาฯ อย่างเต็มที่
**กมธ.สภาฯเรียก"มาร์ค"แจงปัญหา
อีกด้าน นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภา อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะตนมองว่าเหตุการณ์ที่ ส.ส. บุกไปประชิดตัวประธานรัฐสภา และมีการทำร้ายร่างกายประธานสภาฯ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติ หัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ