**พรรคเพื่อไทยขยับปรับโครงสร้างพรรค เปลี่ยนระบบ 5 ภาค เป็น 19 โซน ท่ามกลางความกังขาของส.ส.ภายในพรรคว่า เพื่ออะไรกันแน่ มองในแง่การทำงานทุกคนไม่ติดใจ การกระชับพื้นที่จากระบบภาคที่กว้างขวาง ดูแลไม่ทั่วถึง เปลี่ยนเป็นโซนๆ กลุ่มจังหวัด ดูดี แน่นแฟ้นขึ้น
แต่หลายคนตั้งแง่ถึงการนำรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าดูแลโซนนั้นมีนัยอย่างไร เพราะหลายพื้นที่เอารัฐมนตรีที่เสมือนเป็นคนนอกพื้นที่ ไม่รู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่คนท้องถิ่น ไม่ได้ฉลาดไปกว่าส.ส.ในโซนนั้นๆ มานั่งหน้าตาเฉย
เช่น โซนภาคใต้ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ เอา “วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มารับผิดชอบ เอาคนเหนือมาดูแลภาคใต้ มันดูชอบกล จนทำให้ส.ส.ในพรรคมองว่า ผิดฝาผิดตัว เอาคนไม่รู้วัฒนธรรมท้องถิ่นไปแก้ปัญหา
**กลับจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหรือไม่..
ขณะที่โซนอีสานรัฐมนตรีก็ดูสลับกันมั่วซั่วไปหมด ไม่รู้ว่ายึดหลักอะไรกันแน่ รมต. อยู่ร้อยเอ็ด กลับไปดูหนองคาย รมต.อยู่ชัยภูมิ กลับไม่ได้ดูพื้นที่บ้านเกิด ได้ไปดูจังหวัดแถบอุบลราชธานี
โซนจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา เอา “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มารับผิดชอบ โซนภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เอา “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มารับผิดชอบ
เกาหัวกันแกรกๆ สงสัยกันถึงศักยภาพ ความเหมาะสม ??
มีการให้เหตุผลกันอย่างสวยหรูว่า การเอารัฐมนตรีมาดูแลจะช่วยในการประสานงานกับรัฐบาลมากขึ้น หากมีปัญหาในพื้นที่ ก็ส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรีที่รับผิดชอบนำเสนอครม.ทันที ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการตรวจผลงาน ตรวจการบ้านจากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละโซนด้วย
** หรือจะเอาตรงนี้ไปอ้างเป็นเหตุผลการปรับครม.ครั้งต่อไปก็ไม่รู้!!
ไม่แน่ อาจเห็นภาพกระตือรือร้นทำงาน รัฐมนตรีทำทุกวิถีทางเพื่อให้ ส.ส.ในโซนพอใจ เพราะกลัวหลุดจากเก้าอี้ อาจได้เห็นการเร่งสปีดกินกันมูมมาม ตัดตอนงบประมาณแผ่นดิน มาลงในแต่ละพื้นที่กันอย่างเอิกเกริก..
อย่างไรก็ดี การแบ่งโซนอิทธิพลรมต.นี้ หากดำรงรูปแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ย่อมต้องเกิดเป็นโควตารมต.โซนแน่นอน ส.ส.ในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ จะต้องเสนอให้มีรัฐมนตรีในกลุ่มของตัวเอง
**ฉะนั้นที่บอกว่าเป็นการสลายกลุ่มมุ้ง ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ…มันยิ่งจะเพิ่มกลุ่มมุ้งมากกว่า
แหล่งข่าวกระซิบว่า การวางโซนลักษณะนี้ ได้รับไฟเขียวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่นักโทษหลบหนีคดี ให้วางป้อมค่าย แต่ละจุดๆ กระจายกำลังเป็นส่วนๆไว้ เอารัฐมนตรีมาไล่แจกงบประมาณ เพื่อเป็นกำแพงป้องกันสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เอาไว้ชั้นหนึ่ง ไม่ให้กลับมาควบรวมกิจการ สร้างกลุ่มมุ้งใหญ่โตเหมือนในอดีต
แต่ดูแล้วตรรกะ ข้อเท็จจริงไม่น่าจะทำได้ เพราะหลายคนในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นพวกเงินถุงเงินถัง หรือไม่ก็มีไฮพาวเวอร์ คอนเน็กชั่น สามารถเนรมิตงบประมาณมากองตรงหน้า แจกจ่ายส.ส.ได้เป็นเข่ง ปัจจัยตรงนี้คือความสำคัญของการอยู่ในพรรคนี้ ใครมีเงินเยอะ ร่ำรวย เดี๋ยวมีตำแหน่งแน่ เพียงแต่ว่าต้อง “ใช้เงินเป็น” ระดับ 111 ทำเป็นทั้งนั้น
**ไม่เหมือนกับ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ก่อนหน้านี้ ที่ใช้เงินไม่เป็น สุดท้ายเงินก็หาย แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรี ยังไม่มี อย่าไปพูดถึงเก้าอี้นายกฯเลย “มันจบแล้วครับนาย” เฮ้อ
ความพยายามสกัดกั้นการตั้งกลุ่มมุ้งนั้น แน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ชอบให้ใครมาสร้างพลังต่อรองภายใน จนยากจะควบคุม เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย ที่สารพัดกลุ่ม สารพัดวัง ยั้วเยี้ยไปหมด และหัวหน้าแต่ละมุ้ง ก็มีฐานสนับสนุนจากส.ส.หลายสิบ ถึงขั้นหลักร้อยก็มี พาวเวอร์ในพรรคสูงมาก จนบางครั้ง “ทักษิณ” ยังสั่งการไม่ได้ทั้งหมด เหมือนมีอาการฝืนๆ อยู่ในที
อย่างไรก็ตาม สมัยพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามสลายกลุ่มมุ้งอยู่ตลอด แต่ในที่สุดก็ชฝืนระบบไม่ได้ จำต้องยอมให้มีการตั้งกลุ่ม ก๊วนกันตามอำเภอใจ
วันนี้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กำลังจะกลับมา “ทักษิณ” นักโทษหลบหนีคดี ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยตัวจริง เกิดความหวาดระแวง จะเกิดกลุ่มมุ้งเหมือนในอดีต เกรงจะมีใครบางคนสร้างอำนาจบารมีคับพรรค จนบดบังรัศมีของ “ยิ่งลักษณ์” ให้ด้อยค่าลงไป ซึ่งตัวยิ่งลักษณ์ เองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น
**ถึงขนาดกำหนดสเปกรัฐมนตรีในครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ไม่เอาคนโดดเด่นเกินหน้าเกินตามาเป็นรัฐมนตรี ตัดทอนความนิยมตัวเอง
เมื่อ 2 แรงแข็งขัน ใครจะมาตั้งกลุ่มมุ้งก็เป็นเรื่องยาก ที่ผ่านมาหลังหมดยุคบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม ก๊วนต่างๆ ก็ล่มสลาย กลายเป็นเนื้อเดียว บริหารเบ็ดเสร็จโดย “ทักษิณ” จะสั่งซ้ายหันขวาหัน สั่งให้ใครเป็นอะไร สั่งให้ทุกคนยอมรับในตัวน้องสาว ก็ได้ทั้งนั้น
วันนี้การใหญ่ยังไม่สำเร็จ ตัวเองยังไม่มีลู่ทางกลับบ้านที่แจ่มใสชัดเจน ยังต้องพึ่งหวังจาก “ยิ่งลักษณ์” นายกรัฐมนตรีน้องสาว ใช้เสน่ห์ตรึงกระแส พร้อมเดินเกมชั่วร้ายใต้ดินกันต่อไป
“ทักษิณ”มองว่าชั่วโมงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเดินไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ไม่อยากให้เกิดอาการสะดุด ทำเครื่องรวน มีแกนนำคนใหม่ มาทำให้ ส.ส.ไขว้เขว ฉะนั้นจึงต้องหาทางวางป้อมปราการไว้ก่อน
ครม.และแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เดินฝ่ามรสุมมาโดยปราศจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ตอนนี้ก็หนาวๆ ร้อนๆ กังวลว่า การกลับมาของบ้านเลขที่ 111 ตัวเองจะเหลือที่ยืนอยู่หรือไม่
ภายในพรรคเพื่อไทย เริ่มเกิดแรงกระเพื่อม เกิดอาการขบเหลี่ยมชิงพื้นที่กันภายใน หากบ้านเลขที่ 111 กลับมาลงแขกเป็นรัฐมนตรีกันแบบน่าเกลียด สภาพภายในพรรค คงเกิดรอยร้าวลึก
จะว่าไปมันก็คล้ายกับพวกแกนนำคนเสื้อแดง “ณัฐวุฒิ-จตุพร” เมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่เคยได้ยินเสียงปฏิเสธว่า จะไม่รับสักแอะ มีแต่ยิ้มหน้าชื่นพร้อมรับตำแหน่ง โดยไม่คิดไม่สนอะไร ภาพลักษณ์พรรค หน้าตารัฐบาล จะเน่าเฟะ เพียงใด ช่างมัน นี่คือตัวอย่างพวกที่คิดถึงแต่สิ่งตอบแทน คิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าเรื่องอื่นใด
น่าสนใจว่า เมื่อบ้านเลขที่ 111 กลับมาแล้ว สภาพพรรคเพื่อไทย จะเป็นอย่างไร จะดีขึ้น ทำงานเพื่อประชาชนมากขึ้น เหมือนอย่างที่คุยโวนักหนากันในฝีมือการบริหารหรือไม่
**หรือว่าการเข้ามาจะเป็นการสร้างความเละเทะ ฉ้อฉล ปล้นชาติ หลับหูหลับตาช่วยเหลือคนๆ เดียวเหมือนเดิม
แต่หลายคนตั้งแง่ถึงการนำรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าดูแลโซนนั้นมีนัยอย่างไร เพราะหลายพื้นที่เอารัฐมนตรีที่เสมือนเป็นคนนอกพื้นที่ ไม่รู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่คนท้องถิ่น ไม่ได้ฉลาดไปกว่าส.ส.ในโซนนั้นๆ มานั่งหน้าตาเฉย
เช่น โซนภาคใต้ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ เอา “วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มารับผิดชอบ เอาคนเหนือมาดูแลภาคใต้ มันดูชอบกล จนทำให้ส.ส.ในพรรคมองว่า ผิดฝาผิดตัว เอาคนไม่รู้วัฒนธรรมท้องถิ่นไปแก้ปัญหา
**กลับจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหรือไม่..
ขณะที่โซนอีสานรัฐมนตรีก็ดูสลับกันมั่วซั่วไปหมด ไม่รู้ว่ายึดหลักอะไรกันแน่ รมต. อยู่ร้อยเอ็ด กลับไปดูหนองคาย รมต.อยู่ชัยภูมิ กลับไม่ได้ดูพื้นที่บ้านเกิด ได้ไปดูจังหวัดแถบอุบลราชธานี
โซนจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา เอา “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มารับผิดชอบ โซนภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เอา “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มารับผิดชอบ
เกาหัวกันแกรกๆ สงสัยกันถึงศักยภาพ ความเหมาะสม ??
มีการให้เหตุผลกันอย่างสวยหรูว่า การเอารัฐมนตรีมาดูแลจะช่วยในการประสานงานกับรัฐบาลมากขึ้น หากมีปัญหาในพื้นที่ ก็ส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรีที่รับผิดชอบนำเสนอครม.ทันที ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการตรวจผลงาน ตรวจการบ้านจากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละโซนด้วย
** หรือจะเอาตรงนี้ไปอ้างเป็นเหตุผลการปรับครม.ครั้งต่อไปก็ไม่รู้!!
ไม่แน่ อาจเห็นภาพกระตือรือร้นทำงาน รัฐมนตรีทำทุกวิถีทางเพื่อให้ ส.ส.ในโซนพอใจ เพราะกลัวหลุดจากเก้าอี้ อาจได้เห็นการเร่งสปีดกินกันมูมมาม ตัดตอนงบประมาณแผ่นดิน มาลงในแต่ละพื้นที่กันอย่างเอิกเกริก..
อย่างไรก็ดี การแบ่งโซนอิทธิพลรมต.นี้ หากดำรงรูปแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ย่อมต้องเกิดเป็นโควตารมต.โซนแน่นอน ส.ส.ในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ จะต้องเสนอให้มีรัฐมนตรีในกลุ่มของตัวเอง
**ฉะนั้นที่บอกว่าเป็นการสลายกลุ่มมุ้ง ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ…มันยิ่งจะเพิ่มกลุ่มมุ้งมากกว่า
แหล่งข่าวกระซิบว่า การวางโซนลักษณะนี้ ได้รับไฟเขียวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่นักโทษหลบหนีคดี ให้วางป้อมค่าย แต่ละจุดๆ กระจายกำลังเป็นส่วนๆไว้ เอารัฐมนตรีมาไล่แจกงบประมาณ เพื่อเป็นกำแพงป้องกันสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เอาไว้ชั้นหนึ่ง ไม่ให้กลับมาควบรวมกิจการ สร้างกลุ่มมุ้งใหญ่โตเหมือนในอดีต
แต่ดูแล้วตรรกะ ข้อเท็จจริงไม่น่าจะทำได้ เพราะหลายคนในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นพวกเงินถุงเงินถัง หรือไม่ก็มีไฮพาวเวอร์ คอนเน็กชั่น สามารถเนรมิตงบประมาณมากองตรงหน้า แจกจ่ายส.ส.ได้เป็นเข่ง ปัจจัยตรงนี้คือความสำคัญของการอยู่ในพรรคนี้ ใครมีเงินเยอะ ร่ำรวย เดี๋ยวมีตำแหน่งแน่ เพียงแต่ว่าต้อง “ใช้เงินเป็น” ระดับ 111 ทำเป็นทั้งนั้น
**ไม่เหมือนกับ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ก่อนหน้านี้ ที่ใช้เงินไม่เป็น สุดท้ายเงินก็หาย แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรี ยังไม่มี อย่าไปพูดถึงเก้าอี้นายกฯเลย “มันจบแล้วครับนาย” เฮ้อ
ความพยายามสกัดกั้นการตั้งกลุ่มมุ้งนั้น แน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ชอบให้ใครมาสร้างพลังต่อรองภายใน จนยากจะควบคุม เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย ที่สารพัดกลุ่ม สารพัดวัง ยั้วเยี้ยไปหมด และหัวหน้าแต่ละมุ้ง ก็มีฐานสนับสนุนจากส.ส.หลายสิบ ถึงขั้นหลักร้อยก็มี พาวเวอร์ในพรรคสูงมาก จนบางครั้ง “ทักษิณ” ยังสั่งการไม่ได้ทั้งหมด เหมือนมีอาการฝืนๆ อยู่ในที
อย่างไรก็ตาม สมัยพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามสลายกลุ่มมุ้งอยู่ตลอด แต่ในที่สุดก็ชฝืนระบบไม่ได้ จำต้องยอมให้มีการตั้งกลุ่ม ก๊วนกันตามอำเภอใจ
วันนี้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กำลังจะกลับมา “ทักษิณ” นักโทษหลบหนีคดี ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยตัวจริง เกิดความหวาดระแวง จะเกิดกลุ่มมุ้งเหมือนในอดีต เกรงจะมีใครบางคนสร้างอำนาจบารมีคับพรรค จนบดบังรัศมีของ “ยิ่งลักษณ์” ให้ด้อยค่าลงไป ซึ่งตัวยิ่งลักษณ์ เองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น
**ถึงขนาดกำหนดสเปกรัฐมนตรีในครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ไม่เอาคนโดดเด่นเกินหน้าเกินตามาเป็นรัฐมนตรี ตัดทอนความนิยมตัวเอง
เมื่อ 2 แรงแข็งขัน ใครจะมาตั้งกลุ่มมุ้งก็เป็นเรื่องยาก ที่ผ่านมาหลังหมดยุคบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม ก๊วนต่างๆ ก็ล่มสลาย กลายเป็นเนื้อเดียว บริหารเบ็ดเสร็จโดย “ทักษิณ” จะสั่งซ้ายหันขวาหัน สั่งให้ใครเป็นอะไร สั่งให้ทุกคนยอมรับในตัวน้องสาว ก็ได้ทั้งนั้น
วันนี้การใหญ่ยังไม่สำเร็จ ตัวเองยังไม่มีลู่ทางกลับบ้านที่แจ่มใสชัดเจน ยังต้องพึ่งหวังจาก “ยิ่งลักษณ์” นายกรัฐมนตรีน้องสาว ใช้เสน่ห์ตรึงกระแส พร้อมเดินเกมชั่วร้ายใต้ดินกันต่อไป
“ทักษิณ”มองว่าชั่วโมงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเดินไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ไม่อยากให้เกิดอาการสะดุด ทำเครื่องรวน มีแกนนำคนใหม่ มาทำให้ ส.ส.ไขว้เขว ฉะนั้นจึงต้องหาทางวางป้อมปราการไว้ก่อน
ครม.และแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เดินฝ่ามรสุมมาโดยปราศจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ตอนนี้ก็หนาวๆ ร้อนๆ กังวลว่า การกลับมาของบ้านเลขที่ 111 ตัวเองจะเหลือที่ยืนอยู่หรือไม่
ภายในพรรคเพื่อไทย เริ่มเกิดแรงกระเพื่อม เกิดอาการขบเหลี่ยมชิงพื้นที่กันภายใน หากบ้านเลขที่ 111 กลับมาลงแขกเป็นรัฐมนตรีกันแบบน่าเกลียด สภาพภายในพรรค คงเกิดรอยร้าวลึก
จะว่าไปมันก็คล้ายกับพวกแกนนำคนเสื้อแดง “ณัฐวุฒิ-จตุพร” เมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่เคยได้ยินเสียงปฏิเสธว่า จะไม่รับสักแอะ มีแต่ยิ้มหน้าชื่นพร้อมรับตำแหน่ง โดยไม่คิดไม่สนอะไร ภาพลักษณ์พรรค หน้าตารัฐบาล จะเน่าเฟะ เพียงใด ช่างมัน นี่คือตัวอย่างพวกที่คิดถึงแต่สิ่งตอบแทน คิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าเรื่องอื่นใด
น่าสนใจว่า เมื่อบ้านเลขที่ 111 กลับมาแล้ว สภาพพรรคเพื่อไทย จะเป็นอย่างไร จะดีขึ้น ทำงานเพื่อประชาชนมากขึ้น เหมือนอย่างที่คุยโวนักหนากันในฝีมือการบริหารหรือไม่
**หรือว่าการเข้ามาจะเป็นการสร้างความเละเทะ ฉ้อฉล ปล้นชาติ หลับหูหลับตาช่วยเหลือคนๆ เดียวเหมือนเดิม