**วิวาทะผ่านเฟซบุ๊กระหว่างทายาทรุ่น 5 ตระกูลชิน พานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค กับ ศิริโชค โสภา วอลเปเปอร์มาร์ค ว่าด้วยราคาข้าวหมูแดง 30 บาท ถูกสุดๆ ในสายตาลูกมหาเศรษฐี นำมาเปิดประเด็นผ่านโลกออนไลน์ ทำนองเย้ยหยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ เอาแต่พูดเรื่อง “แพง ๆๆๆๆๆ” แต่ไม่ฉลาดที่จะเลือกกินของถูกที่อยู่ใกล้พรรคตัวเองแค่คืบ
เปิดประเด็นเป็นการเมืองจะกลายเป็นบันเทิงก็คงยาก เพราะ “โอ๊ค” แต่งแดงมาจากบ้านตามแรงยุของกุนซือโง่ๆ กะมาเย้ยฝ่ายตรงข้ามถึงถิ่น แต่ก็ถูกจับได้ไล่ทันว่า นอกจากจะถนัดตุกติกข้อสอบที่ฝึกปรือมาจากรามคำแหงแล้ว ยังเชี่ยวชาญในการโพสต์ข้อความโชว์โง่ ให้ตัวเองหน้าแตกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
โดยในกรณีข้าวหมูแดงราคาถูกนั้น โอ๊ค ก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะถ่ายให้เห็นแค่จานเดียว ว่ากินแล้วอิ่ม ดันถ่ายมุมกว้างเป็นหลักฐานมัดว่า 30 บาท แต่ต้องกิน 2 จาน บวกตัวเลขแล้วก็เป็น 60 บาทต่อมื้อ ยังไม่เกี่ยวกับค่าน้ำ
น่าสังเวชกว่านั้นคือ การให้ข้อมูลไม่ครบอย่างจงใจ เพราะในร้านเดียวกันมีการปรับราคาราดหน้าจาก 30 บาท เป็น 35 บาท ติดป้ายหราอยู่หน้าร้าน พอถูก ศิริโชค เอามาโพสต์โต้ ก็ยังโง่ แถต่อว่า “มีของถูกให้เลือกกิน ทำไมไม่ฉลาดเลือก จะไปกินอาหารที่ขึ้นราคาทำไม”
**ตามตรรกกะของลูกนักโทษหลานนายกรัฐมนตรีไทย คือ คนไทยต้องกินแต่ข้าวหมูแดงไปตลอดช่วงที่รัฐบาลชุดนี้ครองอำนาจ หมดสิทธิ์กินอย่างอื่นที่ขึ้นราคา
เป็นวิธีคิดที่ต้องบอกว่า สะท้อนให้เห็นถึงระดับสติปัญญาของคนพูด และยังทำให้เกิดการเปรียบเทียบถึงวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ “อาปู” ของ "หลานโอ๊ค” เป็นผู้นำด้วย
เพราะแทนที่จะมองปัญหาที่ระบบ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กลับเสียเวลาไปกับการแก้ตัวแสวงหาเหตุผลโง่ๆ มาอธิบายจนสังคมเอือมระอา และได้บทสรุปว่า “คนไทยไม่ได้คิดไปเองว่าสินค้าแพง แต่ ยิ่งลักษณ์?น่าจะกำลังคิดไปเองว่า เป็นนายกฯ ทั้งที่เป็นแค่ตุ๊กตาเสียกบาล”
หลังจากกำหนดนโยบายพลังงานผิดพลาด จนระบบพัง กองทุนติดลบ มุ่งค้ากำไรให้ ปตท. มากกว่าบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้ต้นทุนสินค้าพุ่งสูงขึ้นทุกชนิด รวมไปถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่ทำได้จริงเพียงแค่ 7 จังหวัด แต่ผลของนโยบายหาเสียงที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติ ทำให้ราคาสินค้าแพงไปแล้วทั้งแผ่นดิน
การตรึงราคาน้ำมัน เบนซิน ดีเซล ฯลฯ ด้วยการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว รวมไปถึงการตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี และ แอลพีจี ล้วนเป็นปาหี่ ที่รัฐบาลออกมาแหกตาประชาชน ว่ามีความจริงจังในการแก้ปัญหาทั้งสิ้น
เพราะสถานการณ์ราคาสินค้าจะไม่พุ่งสูงเท่านี้ หากรัฐบาลจะไม่ดำเนินนโยบายผิดพลาด โดยเฉพาะการปล่อยให้ดีเซลทะลุ 30 บาท จนกระทั่งแม้แต่ราคาก๊าซหุงต้ม ที่ยังมีการตรึงราคาอยู่ในขณะนี้ยังขยับขึ้นประมาณ 10-20 บาท โดยที่รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังอยู่ในราคาที่ควบคุม
**คำถามง่ายๆ คือ ราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งต้นทุนการผลิตไม่ได้เพิ่ม ทำไมราคาจึงขยับ คำตอบง่าย ๆ ก็เป็นเพราะมันมีต้นทุนเพิ่มจากค่าขนส่ง ก็คือน้ำมันดีเซล ซึ่งกรณีนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลกำหนดนโยบายผิดพลาดจนส่งผลกระทบทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น ในขณะที่การปรับรายได้เพิ่มค่าแรง ยังล้มเหลว
ใช้เวลาฝึกงานเรียนรู้ปัญหามา 9 เดือน ก็ยังไม่ทำให้สติปัญญาของ ยิ่งลักษณ์ เพิ่มพูนขึ้น เพราะยังไล่แก้ปัญหาด้วยการไปข่มขู่ พ่อค้า แม่ค้า ขายข้าวไข่เจียวเกิน 20 บาท จะยัดคุกด้วยโทษ 7 ปี แต่เจอสหบาทาจากชาวบ้าน รุมประนามก่นด่าจนไอ้เสือถอยกรูดแทบไม่ทัน
ล่าสุดยังไม่ละความพยายาม จะไปตรึงราคาอาหารจานเดียวต่อที่ 7 จังหวัด ซึ่งมีการเพิ่มค่าแรงเป็น 300 บาท สะท้อนความคิดโง่ของ บุญทรง เตยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ สายตรง เจ๊แดง เยาวภา
คนเขาเดือดร้อนทั้งเมือง ว่ารายได้ไม่พอกับรายจ่าย แทนที่จะดูแลภาพรวม กลับจะไปตรึงราคาในพื้นที่ที่มีรายได้เพิ่ม ประเทศไทยไม่ร้องเพลงสาละวันเตี้ยลงวันนี้ แล้วจะร้องวันไหน
เขาแนะนำกันจนปากจะฉีกว่า ให้ไปคุมราคาพลังงาน เสือกดันมาตรึงราคาข้าวแกงกับสินค้าปลายทาง ล่าสุดเพิ่งมีมติขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ตรึงราคาสินค้าจำเป็น 4 เดือน ตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ย.นี้
ถามว่าจะช่วยทำให้ข้าวของถูกลงหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่า ไม่ เพราะคำว่าตรึงราคาก็คือไม่เพิ่ม ดังนั้นไอ้ที่แพงอยู่แล้ว ก็แพงเท่าเดิม เหมือนกับการตรึงราคา เอ็นจีวี และ แอลพีจีภาคขนส่ง แต่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ค่าโดยสารทุกชนิดเพิ่มขึ้นเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับการชะลอกการจัดเก็บค่าเอฟที อัตราใหม่ ที่เพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อหน่วยไปหนึ่งเดือน คือ หมายความว่า เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ก็ต้องเสียค่าไฟในราคาที่เพิ่มขึ้นอยู่ดี ประชาชนแทบไม่ได้ประโยชน์อะไร แถมมนุษย์คอนโดกลับเสียประโยชน์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเจ้าของคอนโดได้ปรับค่าไฟฟ้าขึ้นไปพร้อมกับค่าเอฟที และไม่มีมาตรการชักเข้าชักออกเหมือนรัฐบาล ประโยชน์จากค่าไฟที่ถูกลงเดือนเดียว ก็เลยเข้ากระเป๋าเจ้าของห้องเช่า และคอนโด สบายใจแฮ
สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ก็เพียงแค่ปั่นกระแสบริหารอารมณ์ความรู้สึกของคนไทย ผ่านมาตรการแหกตาไปวันๆ อาศัยมีสื่อเฮียคอยหนุนหลัง ช่วยสร้างภาพว่า รัฐบาลแบ่งเบาภาระประชาชน โดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลไม่ยอมคุมราคาพลังงาน แต่ไปตรึงราคาข้าวแกง ซึ่งไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกทำ
**เว้นแต่รัฐบาลทุนสามานย์ ที่หวังสวาปามจากผลกำไรผ่าน ปตท. ที่ตัวเองแอบถือหุ้นอยู่
สิ่งที่รัฐบาลไม่ยอมบอกประชาชนคือ แค่เพียง 9 เดือน รัฐบาลได้เพิ่มราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นขึ้นทุกชนิด เฉลี่ยประมาณ 1-2 บาท ปล่อยให้ ปตท.ขึ้นค่าการตลาดน้ำมันทุกชนิด ในขณะที่การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน น้อยกว่าในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาขายปลีก กลับสูงกว่า
แสดงให้เห็นว่า นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ รัฐเสียประโยชน์ ต้องกู้เงินโปะกองทุนน้ำมัน 3 หมื่นล้านบาท ประชาชนซื้อน้ำมันแพงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก จากการสำรวของ “บลูมเบิร์ก” ที่มีการจัดอันดับประเทศที่บริโภคน้ำมันแพงสุดใน 55 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก
**คนไทยแบกภาระจนอ่วม แต่ปตท.สวาปามจนแทบอ้วก ดูได้จากผลกำไรไตรมาสแรกของ ปตท.สผ. เพิ่มขึ้น 64 % ไทยออยส์ เพิ่มขึ้น 300 % ปตท.ใหญ่เพิ่มขึ้น 2,500 ล้านบาท โดยอีกหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กำไรเพิ่มจนพุงปลิ้น เป็นเพราะได้อานิสงส์จากการลดภาษีนิติบุคคลธรรมดาจาก 30 % เป็น 23 % ทำให้ลดรายจ่ายด้านภาษีลงถึง 1,297 ล้านบาท
คงพอทำให้คนไทยได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง ว่ารัฐบาลชุดนี้อุ้มใครระหว่าง ปตท. กับคนจน เพราะนโยบายลดภาษีที่นายทุน และปตท.ได้ประโยชน์นั้น มาพร้อมกับข้ออ้างว่าเพื่อลดต้นทุนช่วยให้ผู้ประกอบการจ่ายค่าแรง 300 บาท ตามนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมีเพียง 7 จังหวัด ที่ได้ค่าแรง 300 บาท แต่สินค้าแพงแล้วทั้งแผ่นดิน ในขณะที่นายทุนได้ประโยชน์จากการลดภาษีทันที ประเทศชาติขาดรายได้นับแสนล้านบาท ต่อปี
เป็นความจริงที่คนไทยต้องรู้ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีไหนก็ตาม เพราะหากยังมีผู้นำโง่และโลภบริหารชาติต่อไป ทุกคนก็จะเข้าสู่ชะตากรรมเดียวกันคือ
**อาจถึงขั้นไม่มีเสื้อให้เลือกสีใส่ในอนาคต !
เปิดประเด็นเป็นการเมืองจะกลายเป็นบันเทิงก็คงยาก เพราะ “โอ๊ค” แต่งแดงมาจากบ้านตามแรงยุของกุนซือโง่ๆ กะมาเย้ยฝ่ายตรงข้ามถึงถิ่น แต่ก็ถูกจับได้ไล่ทันว่า นอกจากจะถนัดตุกติกข้อสอบที่ฝึกปรือมาจากรามคำแหงแล้ว ยังเชี่ยวชาญในการโพสต์ข้อความโชว์โง่ ให้ตัวเองหน้าแตกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
โดยในกรณีข้าวหมูแดงราคาถูกนั้น โอ๊ค ก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะถ่ายให้เห็นแค่จานเดียว ว่ากินแล้วอิ่ม ดันถ่ายมุมกว้างเป็นหลักฐานมัดว่า 30 บาท แต่ต้องกิน 2 จาน บวกตัวเลขแล้วก็เป็น 60 บาทต่อมื้อ ยังไม่เกี่ยวกับค่าน้ำ
น่าสังเวชกว่านั้นคือ การให้ข้อมูลไม่ครบอย่างจงใจ เพราะในร้านเดียวกันมีการปรับราคาราดหน้าจาก 30 บาท เป็น 35 บาท ติดป้ายหราอยู่หน้าร้าน พอถูก ศิริโชค เอามาโพสต์โต้ ก็ยังโง่ แถต่อว่า “มีของถูกให้เลือกกิน ทำไมไม่ฉลาดเลือก จะไปกินอาหารที่ขึ้นราคาทำไม”
**ตามตรรกกะของลูกนักโทษหลานนายกรัฐมนตรีไทย คือ คนไทยต้องกินแต่ข้าวหมูแดงไปตลอดช่วงที่รัฐบาลชุดนี้ครองอำนาจ หมดสิทธิ์กินอย่างอื่นที่ขึ้นราคา
เป็นวิธีคิดที่ต้องบอกว่า สะท้อนให้เห็นถึงระดับสติปัญญาของคนพูด และยังทำให้เกิดการเปรียบเทียบถึงวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ “อาปู” ของ "หลานโอ๊ค” เป็นผู้นำด้วย
เพราะแทนที่จะมองปัญหาที่ระบบ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กลับเสียเวลาไปกับการแก้ตัวแสวงหาเหตุผลโง่ๆ มาอธิบายจนสังคมเอือมระอา และได้บทสรุปว่า “คนไทยไม่ได้คิดไปเองว่าสินค้าแพง แต่ ยิ่งลักษณ์?น่าจะกำลังคิดไปเองว่า เป็นนายกฯ ทั้งที่เป็นแค่ตุ๊กตาเสียกบาล”
หลังจากกำหนดนโยบายพลังงานผิดพลาด จนระบบพัง กองทุนติดลบ มุ่งค้ากำไรให้ ปตท. มากกว่าบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้ต้นทุนสินค้าพุ่งสูงขึ้นทุกชนิด รวมไปถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่ทำได้จริงเพียงแค่ 7 จังหวัด แต่ผลของนโยบายหาเสียงที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติ ทำให้ราคาสินค้าแพงไปแล้วทั้งแผ่นดิน
การตรึงราคาน้ำมัน เบนซิน ดีเซล ฯลฯ ด้วยการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว รวมไปถึงการตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี และ แอลพีจี ล้วนเป็นปาหี่ ที่รัฐบาลออกมาแหกตาประชาชน ว่ามีความจริงจังในการแก้ปัญหาทั้งสิ้น
เพราะสถานการณ์ราคาสินค้าจะไม่พุ่งสูงเท่านี้ หากรัฐบาลจะไม่ดำเนินนโยบายผิดพลาด โดยเฉพาะการปล่อยให้ดีเซลทะลุ 30 บาท จนกระทั่งแม้แต่ราคาก๊าซหุงต้ม ที่ยังมีการตรึงราคาอยู่ในขณะนี้ยังขยับขึ้นประมาณ 10-20 บาท โดยที่รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังอยู่ในราคาที่ควบคุม
**คำถามง่ายๆ คือ ราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งต้นทุนการผลิตไม่ได้เพิ่ม ทำไมราคาจึงขยับ คำตอบง่าย ๆ ก็เป็นเพราะมันมีต้นทุนเพิ่มจากค่าขนส่ง ก็คือน้ำมันดีเซล ซึ่งกรณีนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลกำหนดนโยบายผิดพลาดจนส่งผลกระทบทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น ในขณะที่การปรับรายได้เพิ่มค่าแรง ยังล้มเหลว
ใช้เวลาฝึกงานเรียนรู้ปัญหามา 9 เดือน ก็ยังไม่ทำให้สติปัญญาของ ยิ่งลักษณ์ เพิ่มพูนขึ้น เพราะยังไล่แก้ปัญหาด้วยการไปข่มขู่ พ่อค้า แม่ค้า ขายข้าวไข่เจียวเกิน 20 บาท จะยัดคุกด้วยโทษ 7 ปี แต่เจอสหบาทาจากชาวบ้าน รุมประนามก่นด่าจนไอ้เสือถอยกรูดแทบไม่ทัน
ล่าสุดยังไม่ละความพยายาม จะไปตรึงราคาอาหารจานเดียวต่อที่ 7 จังหวัด ซึ่งมีการเพิ่มค่าแรงเป็น 300 บาท สะท้อนความคิดโง่ของ บุญทรง เตยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ สายตรง เจ๊แดง เยาวภา
คนเขาเดือดร้อนทั้งเมือง ว่ารายได้ไม่พอกับรายจ่าย แทนที่จะดูแลภาพรวม กลับจะไปตรึงราคาในพื้นที่ที่มีรายได้เพิ่ม ประเทศไทยไม่ร้องเพลงสาละวันเตี้ยลงวันนี้ แล้วจะร้องวันไหน
เขาแนะนำกันจนปากจะฉีกว่า ให้ไปคุมราคาพลังงาน เสือกดันมาตรึงราคาข้าวแกงกับสินค้าปลายทาง ล่าสุดเพิ่งมีมติขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ตรึงราคาสินค้าจำเป็น 4 เดือน ตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ย.นี้
ถามว่าจะช่วยทำให้ข้าวของถูกลงหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่า ไม่ เพราะคำว่าตรึงราคาก็คือไม่เพิ่ม ดังนั้นไอ้ที่แพงอยู่แล้ว ก็แพงเท่าเดิม เหมือนกับการตรึงราคา เอ็นจีวี และ แอลพีจีภาคขนส่ง แต่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ค่าโดยสารทุกชนิดเพิ่มขึ้นเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับการชะลอกการจัดเก็บค่าเอฟที อัตราใหม่ ที่เพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อหน่วยไปหนึ่งเดือน คือ หมายความว่า เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ก็ต้องเสียค่าไฟในราคาที่เพิ่มขึ้นอยู่ดี ประชาชนแทบไม่ได้ประโยชน์อะไร แถมมนุษย์คอนโดกลับเสียประโยชน์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเจ้าของคอนโดได้ปรับค่าไฟฟ้าขึ้นไปพร้อมกับค่าเอฟที และไม่มีมาตรการชักเข้าชักออกเหมือนรัฐบาล ประโยชน์จากค่าไฟที่ถูกลงเดือนเดียว ก็เลยเข้ากระเป๋าเจ้าของห้องเช่า และคอนโด สบายใจแฮ
สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ก็เพียงแค่ปั่นกระแสบริหารอารมณ์ความรู้สึกของคนไทย ผ่านมาตรการแหกตาไปวันๆ อาศัยมีสื่อเฮียคอยหนุนหลัง ช่วยสร้างภาพว่า รัฐบาลแบ่งเบาภาระประชาชน โดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลไม่ยอมคุมราคาพลังงาน แต่ไปตรึงราคาข้าวแกง ซึ่งไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกทำ
**เว้นแต่รัฐบาลทุนสามานย์ ที่หวังสวาปามจากผลกำไรผ่าน ปตท. ที่ตัวเองแอบถือหุ้นอยู่
สิ่งที่รัฐบาลไม่ยอมบอกประชาชนคือ แค่เพียง 9 เดือน รัฐบาลได้เพิ่มราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นขึ้นทุกชนิด เฉลี่ยประมาณ 1-2 บาท ปล่อยให้ ปตท.ขึ้นค่าการตลาดน้ำมันทุกชนิด ในขณะที่การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน น้อยกว่าในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาขายปลีก กลับสูงกว่า
แสดงให้เห็นว่า นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ รัฐเสียประโยชน์ ต้องกู้เงินโปะกองทุนน้ำมัน 3 หมื่นล้านบาท ประชาชนซื้อน้ำมันแพงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก จากการสำรวของ “บลูมเบิร์ก” ที่มีการจัดอันดับประเทศที่บริโภคน้ำมันแพงสุดใน 55 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก
**คนไทยแบกภาระจนอ่วม แต่ปตท.สวาปามจนแทบอ้วก ดูได้จากผลกำไรไตรมาสแรกของ ปตท.สผ. เพิ่มขึ้น 64 % ไทยออยส์ เพิ่มขึ้น 300 % ปตท.ใหญ่เพิ่มขึ้น 2,500 ล้านบาท โดยอีกหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กำไรเพิ่มจนพุงปลิ้น เป็นเพราะได้อานิสงส์จากการลดภาษีนิติบุคคลธรรมดาจาก 30 % เป็น 23 % ทำให้ลดรายจ่ายด้านภาษีลงถึง 1,297 ล้านบาท
คงพอทำให้คนไทยได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง ว่ารัฐบาลชุดนี้อุ้มใครระหว่าง ปตท. กับคนจน เพราะนโยบายลดภาษีที่นายทุน และปตท.ได้ประโยชน์นั้น มาพร้อมกับข้ออ้างว่าเพื่อลดต้นทุนช่วยให้ผู้ประกอบการจ่ายค่าแรง 300 บาท ตามนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมีเพียง 7 จังหวัด ที่ได้ค่าแรง 300 บาท แต่สินค้าแพงแล้วทั้งแผ่นดิน ในขณะที่นายทุนได้ประโยชน์จากการลดภาษีทันที ประเทศชาติขาดรายได้นับแสนล้านบาท ต่อปี
เป็นความจริงที่คนไทยต้องรู้ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีไหนก็ตาม เพราะหากยังมีผู้นำโง่และโลภบริหารชาติต่อไป ทุกคนก็จะเข้าสู่ชะตากรรมเดียวกันคือ
**อาจถึงขั้นไม่มีเสื้อให้เลือกสีใส่ในอนาคต !