xs
xsm
sm
md
lg

แฉอบจ.ทั่วประเทศหนี้ท่วม เฉพาะกู้ออมสิน14,000ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (16 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายสุทธิชัย จรูญเนตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทยและนายพงษ์ศักดิ์ เรือนเงิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ในฐานะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันแถลงข่าว ภายหลังกมธ.ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนของกลุ่มเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ร้องเรียนกรณีการกู้เงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2553 โดยมีการกู้เงินจากธนาคารออมสิน 410 ล้านบาท ซึ่งพบข้อมูลว่า
1. นายกอบจ.ร้อยเอ็ด เสนอขออนุมัติเงินกู้ก่อนที่ สภาอบจ. จะมีมติเห็นชอบ โดยได้เสนอขอกู้กับ ผวจ.ร้อยเอ็ด วันที่ 16 ส.ค.53 แต่กลับมาขออนุมัติจากที่ประชุมสภาอบจ. เพื่อมีมติ ในวันที่ 30 ส.ค.53
2. หลังผวจ. ร้อยเอ็ด อนุมัติเงินกู้ 410 ล้านบาท ตามคำขอ แต่ระบุให้กู้กับธนาคารกรุงไทย แต่ปรากฏว่า นายกอบจ.ร้อยเอ็ด ได้ไปทำนิติกรรมกู้เงินกับธนาคารออมสินแทน โดยอ้างเหตุผลว่า มีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า โดยไม่มีการขออนุมัติใหม่ ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้ กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จะให้คำตอบในการประชุมนัดหน้าวันที่ 24 พ.ค. ว่าปฏิบัติถูกต้องตามข้อกฎหมาย หรือไม่
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเป็นห่วงในประเด็นหนี้สาธารณะ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้ขอกู้จากสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งในภาพรวมพบว่างบประมาณที่ได้รับการจัดสรรอุดหนุนในแต่ละปี มีสัดส่วน 9-10 เท่า ของรายได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆหาได้ แต่กลับปรากฏว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหนี้สินจำนวนมาก ที่ต้องผ่อนชำระยาวนาน ที่สำคัญในการเปลี่ยนผู้บริหารแต่ละครั้ง จะมีการของบเพื่อไปก่อสร้าง ซื้อเครื่องจักร และอื่นๆ ในเชิงการใช้เงินสาธารณะ เพื่อการหาเสียงเสียส่วนใหญ่ จากการตรวจสอบคร่าวๆ แค่ธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียว มียอดกู้เงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ สูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในอนาคตหากไม่มีมาตรการออกมากำกับดูแลการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ก็น่าเป็นห่วงว่า หนี้สาธารณะของประเทศที่จะสูงขึ้นจนเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพการเงินประเทศชาติ
นายสุทธิชัย กล่าวเสริมว่า ทั้งนี้ ทางกมธ.จะนำกรณี อบจ.ร้อยเอ็ด มาเป็นต้นแบบในการศึกษา และดำเนินนโยบายด้านการบริหาร นิติบัญญัติ เพื่อให้เกิดก็การเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารงบประมาณที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ ต้องร่วมมือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมตรวจสอบวางมาตรการแก้ไขด้วย
นอกจากนี้ ทางกรรมาธิการ ยังได้ทำหนังสือขอข้อมูลจากสถาบันการเงินต่างๆว่ามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดบ้าง ขอกู้เป็นจำนวนเงินเท่าไร เพื่อรวมตัวเลขยอดเงินกู้ ซึ่งน่าเป็นห่วงจะเป็นหนี้สาธารณะที่ประชาชนต้องมาแบกรับ แต่กระทรวงการคลัง กลับให้เหตุผลระบุว่า ไม่เป็นหนี้สาธารณะ เพราะเป็นหนี้ที่องค์กรส่วนท้องถิ่นกู้ยืมเงินจากธนาคารแต่ละแห่งทั้งที่ข้อเท็จจริง องค์กรเหล่านี้ ต้องของบประมาณไปอุดหนุน และเมื่อไม่สามารถจ่ายหนี้ ก็จะถูกนับรวมไปเป็นหนี้สาธารณะอยู่ดี จึงน่าหวั่นเกรงว่าที่สุดแล้วจะเป็นหนี้สาธารณะ เช่นเดียวกับวิกฤติหนี้ในยุโรปในขณะนี้ ซึ่งหลังจากทราบตัวเลขหนี้ทั้งระบบ จะได้มีการเปรียบเทียบกับตัวเลขของกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าตรงกับที่รายงานกับต้นสังกัด ก่อนที่จะนำส่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อให้ตรวจสอบการใช้งบว่าองค์กรเหล่านี้ส่อไปในทางมิชอบหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น