ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เครือข่าย ป.ป.ท.ต่อต้านคอร์รัปชันสงขลา อาสาเป็นตัวแทนประชาชนคนใน จ.สงขลา ฟ้องร้องเรียกความเป็นธรรมกรณีการปรับขึ้นราคาน้ำมัน-แก๊สหุงต้มของ ปตท. โดยรัฐบาลมีส่วนรู้เห็น พร้อมเปิดรับประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุน และส่งหลักฐาน รับทนายอาสา เพื่อดำเนินการร่วมกัน
วันนี้ (3 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ณ โรงแรมบีพี หาดใหญ่ จ.สงขลา เครือข่าย ป.ป.ท.ต่อต้านคอร์รัปชันสงขลา ร่วมแถลงการณ์แนวทางการเรียกร้องความเป็นธรรมและความโปร่งใสให้แก่ประชาชนคนไทย กรณีการดำเนินการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งภายหลังที่มีการแปรรูปเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่อให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส และเอาเปรียบผูกขาดราคาน้ำมัน อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศไทย
นายอนันต์ กาญจนสุรรณ์ ประธาน เครือข่าย ป.ป.ท.ต่อต้านคอร์รัปชันสงขลา กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศนโยบายหาเสียงว่า จะลดราคาน้ำมันลงมาให้ได้ และเมื่อได้เป็นรัฐบาลก็ได้ยกเลิกกองทุนน้ำมันเพื่อให้ราคาน้ำมันลดลงเพียงไม่นานก็กลับพุ่งสูงกว่าเดิม ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศในด้านค่าครองชีพ เช่นเดียวกับค่าแก๊สหุงต้มที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วย แม้ว่าประเทศไทยจะมีแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ทั้งบนบก และทะเลก็ตาม
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกาแล้วพบว่า คนไทยต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ ปตท.สามารถทำกำไรปีละนับแสนล้านบาทบนความเดือดร้อน และไม่เป็นธรรมในสังคม โดยมีความเกี่ยวโยงกับการเมืองเข้ามาด้วย ทั้งการสมยอมของภาครัฐที่ให้โรงกลั่นบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่เกิดขึ้นจริง โดยคนไทยต้องเป็นฝ่ายรับภาระ และใช้ราคาตลาดเทียมเป็นราคาขาย จึงเรียกร้องให้รัฐบาล และ ปตท.แสดงความโปร่งใสในการพิจารณากำหนดราคราน้ำมัน และแก๊สหุงต้มให้เป็นธรรม
ดังนั้น เครือข่าย ป.ป.ท.ต่อต้านคอร์รัปชันสงขลา จึงขออาสาเป็นตัวแทนประชาชนคนใน จ.สงขลา รับผิดชอบฟ้องร้องเรียกความเป็นธรรม โดยอาศัยศาลยุติธรรมเป็นที่พึ่ง และเปิดรับหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการสนับสนุนการฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้องจากประชาชนทั่วไป องค์กรต่างๆ ที่เห็นด้วย พร้อมทั้งรับทนายความจิตอาสามาทำงานนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินงานนั้นเกิดจากเสียงเรียกร้อง และความต้องการ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนเอง ทางเครือข่าย ป.ป.ท. จะเปิดภาคีชี้แจงการสนับสนุนทั้ง 16 อำเภอใน จ.สงขลา เพื่อรับลงชื่อประชาชนผู้สนับสนุนการฟ้องร้องครั้งนี้ โดยที่ไม่ต้องร่วมเป็นโจทก์ ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายชื่อไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ภายใน 3 เดือนนับจากนี้