กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ อัดประชานิยมของรัฐบาล ทำต้นทุนก่อสร้างพุ่ง 14.5% แถมขึ้นค่าแรง 300 บาท แรงงานหายไปจากตลาด 50% คาดรับเหมารายย่อยหายจากตลาดเพียบ เล็งขยับราคาสร้างบ้านขึ้นทุก 6 เดือน พร้อมขอยืดเวลาสร้างบ้านอีก 2-3 เดือน ขณะที่ยอดสั่งสร้างบ้านเริ่มแน่น มั่นใจทั้งปียอดขายแตะ 900 ล้านบาท
นายสุธี เกตุสิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ บริษัท บางกอก เฮ้าส์ บิวเดอร์ และบริษัท สมอลล์ เฮ้าส์ บิวเดอร์ ผู้ดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ผลจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ 1.แรงงานภาคการผลิตของไทยหายไปจากตลาดถึง 50% โดยแรงงานที่หาย จะไปรวมกลุ่มเพื่อไปรับงานซ่อมแซมบ้านพักอาศัยในหมู่บ้านต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมหลายพันหลัง คาดว่าต้องใช้เวลาถึงกลางปี 2555 จึงจะเริ่มกลับเข้าสู่ปรกติ2.นโยบายประกันราคาข้าว ที่สร้างแรงจูงใจให้แรงงานกลับไปสู่ภาคการเกษตร 3.แรงงานต่างด้าวกลับประเทศ โดยเฉพาะพม่า และ 4. การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจาก ต้นทุนในการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง แบ่งออกเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ก่อสร้าง 70% และค่าแรงงาน 30% จากเดิมที่ค่าแรงงานขั้นต่ำคือ 225 บาทต่อวัน ปรับเป็น 320 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 39% และต้องมีการปรับค่าจ้างแรงงานเดิมที่มีอยู่แล้วให้สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในภาพรวมมีการปรับค่าแรงถึง 25% จึงส่งผลให้ต้นทุนบ้านปรับสูงขึ้นไปแล้ว 7.5% ส่วนผลกระทบตามมาคือภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงานจึงมีผลให้ราคาวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้าง ปรับสูงขึ้นเฉลี่ย 7-10% ของต้นทุนรวม ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างบ้าน 1 หลังเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 14.5%
“เรื่องของแรงงานจะกลายเป็นปัญหาระยะยาว บริษัทจะหันไปจ้างแรงงานที่จบต่ำกว่าปริญญาตรี เพื่อหลีกเลี่ยงค่าจ้าง 1.5 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งจะทำให้นักศึกษาจบใหม่ตกงานมากขึ้น ”
ปัจจุบันบริษัทฯมีบ้านที่รับก่อสร้างอยู่ในมือแล้ว (แบ็คล็อค) จำนวน 220 หลัง คิดเป็นมูลค่า 850 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงชะลอการรับงานเพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพ ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ที่มียอดขายรวม 700 ล้านบาท โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขายแล้ว 280 ล้านบาท จำนวน 87 ยูนิต แบ่งแบ่ง บิวท์ ทู บิวด์ 11 หลัง มูลค่า 110 ล้านบาท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ 37 หลัง มูลค่า 100 ล้านบาทและ สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ 39 หลัง มูลค่า 70 ล้านบาท
นายสุธี เกตุสิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ บริษัท บางกอก เฮ้าส์ บิวเดอร์ และบริษัท สมอลล์ เฮ้าส์ บิวเดอร์ ผู้ดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ผลจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ 1.แรงงานภาคการผลิตของไทยหายไปจากตลาดถึง 50% โดยแรงงานที่หาย จะไปรวมกลุ่มเพื่อไปรับงานซ่อมแซมบ้านพักอาศัยในหมู่บ้านต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมหลายพันหลัง คาดว่าต้องใช้เวลาถึงกลางปี 2555 จึงจะเริ่มกลับเข้าสู่ปรกติ2.นโยบายประกันราคาข้าว ที่สร้างแรงจูงใจให้แรงงานกลับไปสู่ภาคการเกษตร 3.แรงงานต่างด้าวกลับประเทศ โดยเฉพาะพม่า และ 4. การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจาก ต้นทุนในการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง แบ่งออกเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ก่อสร้าง 70% และค่าแรงงาน 30% จากเดิมที่ค่าแรงงานขั้นต่ำคือ 225 บาทต่อวัน ปรับเป็น 320 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 39% และต้องมีการปรับค่าจ้างแรงงานเดิมที่มีอยู่แล้วให้สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในภาพรวมมีการปรับค่าแรงถึง 25% จึงส่งผลให้ต้นทุนบ้านปรับสูงขึ้นไปแล้ว 7.5% ส่วนผลกระทบตามมาคือภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงานจึงมีผลให้ราคาวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้าง ปรับสูงขึ้นเฉลี่ย 7-10% ของต้นทุนรวม ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างบ้าน 1 หลังเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 14.5%
“เรื่องของแรงงานจะกลายเป็นปัญหาระยะยาว บริษัทจะหันไปจ้างแรงงานที่จบต่ำกว่าปริญญาตรี เพื่อหลีกเลี่ยงค่าจ้าง 1.5 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งจะทำให้นักศึกษาจบใหม่ตกงานมากขึ้น ”
ปัจจุบันบริษัทฯมีบ้านที่รับก่อสร้างอยู่ในมือแล้ว (แบ็คล็อค) จำนวน 220 หลัง คิดเป็นมูลค่า 850 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงชะลอการรับงานเพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพ ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ที่มียอดขายรวม 700 ล้านบาท โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขายแล้ว 280 ล้านบาท จำนวน 87 ยูนิต แบ่งแบ่ง บิวท์ ทู บิวด์ 11 หลัง มูลค่า 110 ล้านบาท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ 37 หลัง มูลค่า 100 ล้านบาทและ สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ 39 หลัง มูลค่า 70 ล้านบาท
