สสว. แจงผลการศึกษาข้อมูลการจัดทำตารางการผลิตSMEs กรณีการปรับค่าแรง 300 บาท ตามนโยบายของภาครัฐ ทั้งนี้ พบว่า ถ้าต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้นเท่ากันทั่วประเทศ ส่งผลกระทบ SMEs ทำให้ค่าแรงเพิ่ม 39.5% ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาก กลุ่มที่ต้องใช้แรงงานเช่น ผลิตเฟอร์นิเจอร์หวาย เจียระไนพลอย เครื่องหนัง เป็นต้น
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการศึกษาของสถาบันวิจัยและวิเคราะห์เตือนภัย สำนักข้อมูลและวิจัย ในส่วนของโครงการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของ SMEs (SME I/O Table) พบว่า โครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานและเงินเดือนของ SMEs เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.2 ของต้นทุนปัจจัยการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้ หากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานเพิ่มขึ้น 0.16% ซึ่งผลจากการปรับค่าจ้างครั้งล่าสุด (เพิ่มขึ้น 6.4%) ส่งผลให้ต้นทุนของกิจการด้านค้าใช้จ่ายแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.03% ดังนั้น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 300 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ SMEs เป็นอย่างมาก เช่น ใน กทม การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จากวันละ 215 บาท เป็น 300 บาท หรือปรับเพิ่ม 85 บาท ต่อวัน (ประมาณ 2,200 บาท/เดือน) ทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นถึง 39.5%
สำหรับภาคการผลิตที่มีการใช้แรงงานมากและต้องแบกภาระต้นทุนสูงได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์หวายจะมีต้นทุนเพิ่ม 10.2% /ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้มีต้นทุนเพิ่ม 5.8% /ผลิตพลอยเจียระไนยมีต้นทุนเพิ่ม 7.6% /ผลิตเครื่องนุ่งห่ม และผลิตเครื่องกระเป๋าหนังมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 7.3%/ การฟอกย้อมพิมพ์ลายผ้ามีต้นทุนเพิ่ม 5.5% ส่วนภาคการบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 12%/ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบ้านมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 9.8% และธุรกิจการขนส่งทางบกมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 8%
นายยุทธศักดิ์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การจูงใจภาคธุรกิจในการปรับเพิ่มค่าแรง เช่น การลดภาษีรายได้นิติบุคคล (สำหรับ SMEs มักมีปัญหาไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีหรืออยู่ในภาวะขาดทุน) , การหักคืนภาษี (tax credit) การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน อาจต้องจัดการอบรมแบบเฉพาะทางให้กับธุรกิจแต่ละสาขา (tailor-made) สำหรับลูกจ้างรายเดิม หรือการอบรมเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานของแรงงานรายใหม่
