ผมขอแสดงความเสียใจด้วยต่อการเสียชีวิตของ “อากง” ในระหว่างการถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (ตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒)
เข้าใจว่าอากงตายเพราะโรคมะเร็ง ที่ถึงแม้ไม่โดนคดี “หมิ่นพระบรมฯ” ก็ต้องตายตามอาการของโรคอยู่แล้ว แต่การตายของ “อากง” นั้น บัดนี้ปรากฏชัดว่าพวกอีแร้งผู้หิวโหยต่างรุมแทะซากศพท่านกินกันอย่างเอร็ดอร่อยแบบน่าสมเพชเวทนาและน่าขยะแขยงยิ่งนัก
ความกล้าหาญของอากงที่ออกมาต่อสู้ในสิ่งที่ตนเชื่อนั้น เป็นสิ่งน่าสรรเสริญ คนกล้าอย่างอากงนี้ถ้าได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องประกอบการต่อสู้ จะเป็นกำลังสำคัญของชาติ แต่หากข้อมูลความรู้ผิด ก็เป็นเนื้อร้ายของชาติ หรือเป็นมะเร็งของชาตินั่นเอง
หรือว่า ที่อากงเป็นโรคมะเร็งนั้นมีสมมติฐานโรคมาจาก “กรรมเก่า” ที่เกิดจาก “ความเครียด” ที่มีรากมาจาก “ความเกลียดเกินการณ์”
ผมได้ศึกษามาพบว่าความเกลียดทำให้เกิดความเครียด ทำให้ระดับภูมิต้านทานในร่างกายลดลง ทำให้เกิดโรคได้สารพัด รวมทั้งโรคมะเร็ง
หรือว่าอากงติดโรคมาจาก ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เป็นโรคเกลียดเจ้า เกลียดสถาบันจนเกินการณ์ ใช้อารมณ์ลำเอียงเป็นหลัก โดยไม่ดูเหตุผลและบริบททางประวัติศาสตร์อะไรเลย
ทางสายกลาง เคยได้ยินไหม ท่านอากง ท่านจิตร ท่านเหวง ท่านธิดา เอ๋ย
กรณีมาตรา ๑๑๒ ผมเห็นว่าทางสายกลางคือควรปรับเปลี่ยนแบบที่ท่านอ.สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ท่านได้เสนอไว้ คือให้คงไว้ แต่ให้ลดโทษลงมา อย่ารุนแรงเกินไปนักโดยเฉพาะโทษขั้นต่ำ...อีกทั้งให้มีคณะกรรมการอิสระเป็นผู้พิจารณาคำร้องว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ...ไม่ใช่ให้อยู่ในอำนาจตำรวจ อัยการ ที่อยู่ใต้อำนาจนักการเมืองอีกที
ถ้าไม่ปรับแก้เช่นนั้นสถาบันกษัตริย์ก็ต้องตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองดังเช่นที่ผ่านมา ...ฟ้องกันแหลกลาญเพื่อให้ได้ผลทางการเมืองที่ตนมุ่งหวัง ซึ่งจะเป็นการดึงสถาบันให้ต่ำลง ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของม. ๑๑๒ โดยสิ้นเชิงที่ต้องการปกป้องสถาบัน แม้แต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน ยังถูกฟ้องว่าหมิ่นพระบรมฯ เลย
ถ้าปรับแบบที่อาจารย์สุลักษณ์เสนอนี้ผมเชื่อว่าองค์ในหลวงของเราจะทรงสุขพระทัยเป็นอย่างยิ่ง.....เพราะพระองค์ท่านก็เคยทรงตรัสเชิงปรารมภ์ไว้แล้วในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อสัก 3 ปีมาแล้ว..ทำนองว่า..ทรงอัดอั้นตันพระทัยกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะ The King can do no wrongs
ผมเดาพระทัยได้ว่าพระองค์ทรงอยากยกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมฯ ให้หมดหรือเกือบหมด แต่หากทรงทำเช่นนั้นก็เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินไป “ตามกฎหมาย” ดังนั้นก็เป็นการ “do wrong”
การวิจารณ์สถาบันด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ด้วยภาษาที่สุภาพตามมาตรฐานวัฒนธรรมไทย ผมเห็นก็มีคนกระทำกันมาก ก็ไม่เห็นว่ามีใครกล้าฟ้องร้องเอาผิดกับผู้วิจารณ์ (ยกเว้นมีความมุ่งร้ายทางการเมืองอย่างแรงเช่นกรณีอาจารย์สุลักษณ์ในสมัย รสช.)
แต่การวิจารณ์แบบมุ่งร้ายและใช้ภาษาที่ไม่สุภาพนั้น แม้ไม่มี ม. ๑๑๒ ก็ผิดกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาแล้ว และยังผิดจารีตประเพณีที่ดีของไทยเราอีกด้วย
แม้อากงจะไม่เสียชีวิตในคุกเสียก่อนผมก็ยังคงอยากเห็น “ทางสายกลาง” ของ ม. ๑๑๒ พึงเข้าใจว่าที่ผมเห็นด้วยกับทางสายกลางนี้หาใช่ว่าเป็นการประนีประนอมกับแนวทางของ “พวกล้มเจ้า” ตรงกันข้ามผมเห็นว่าเป็นการปรับวิกฤตเป็นโอกาสที่จะช่วยกันธำรงไว้ให้ดียิ่งขึ้นซึ่งสถาบันที่คนไทยเรารักและเทิดทูนต่างหาก
เข้าใจว่าอากงตายเพราะโรคมะเร็ง ที่ถึงแม้ไม่โดนคดี “หมิ่นพระบรมฯ” ก็ต้องตายตามอาการของโรคอยู่แล้ว แต่การตายของ “อากง” นั้น บัดนี้ปรากฏชัดว่าพวกอีแร้งผู้หิวโหยต่างรุมแทะซากศพท่านกินกันอย่างเอร็ดอร่อยแบบน่าสมเพชเวทนาและน่าขยะแขยงยิ่งนัก
ความกล้าหาญของอากงที่ออกมาต่อสู้ในสิ่งที่ตนเชื่อนั้น เป็นสิ่งน่าสรรเสริญ คนกล้าอย่างอากงนี้ถ้าได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องประกอบการต่อสู้ จะเป็นกำลังสำคัญของชาติ แต่หากข้อมูลความรู้ผิด ก็เป็นเนื้อร้ายของชาติ หรือเป็นมะเร็งของชาตินั่นเอง
หรือว่า ที่อากงเป็นโรคมะเร็งนั้นมีสมมติฐานโรคมาจาก “กรรมเก่า” ที่เกิดจาก “ความเครียด” ที่มีรากมาจาก “ความเกลียดเกินการณ์”
ผมได้ศึกษามาพบว่าความเกลียดทำให้เกิดความเครียด ทำให้ระดับภูมิต้านทานในร่างกายลดลง ทำให้เกิดโรคได้สารพัด รวมทั้งโรคมะเร็ง
หรือว่าอากงติดโรคมาจาก ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เป็นโรคเกลียดเจ้า เกลียดสถาบันจนเกินการณ์ ใช้อารมณ์ลำเอียงเป็นหลัก โดยไม่ดูเหตุผลและบริบททางประวัติศาสตร์อะไรเลย
ทางสายกลาง เคยได้ยินไหม ท่านอากง ท่านจิตร ท่านเหวง ท่านธิดา เอ๋ย
กรณีมาตรา ๑๑๒ ผมเห็นว่าทางสายกลางคือควรปรับเปลี่ยนแบบที่ท่านอ.สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ท่านได้เสนอไว้ คือให้คงไว้ แต่ให้ลดโทษลงมา อย่ารุนแรงเกินไปนักโดยเฉพาะโทษขั้นต่ำ...อีกทั้งให้มีคณะกรรมการอิสระเป็นผู้พิจารณาคำร้องว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ...ไม่ใช่ให้อยู่ในอำนาจตำรวจ อัยการ ที่อยู่ใต้อำนาจนักการเมืองอีกที
ถ้าไม่ปรับแก้เช่นนั้นสถาบันกษัตริย์ก็ต้องตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองดังเช่นที่ผ่านมา ...ฟ้องกันแหลกลาญเพื่อให้ได้ผลทางการเมืองที่ตนมุ่งหวัง ซึ่งจะเป็นการดึงสถาบันให้ต่ำลง ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของม. ๑๑๒ โดยสิ้นเชิงที่ต้องการปกป้องสถาบัน แม้แต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน ยังถูกฟ้องว่าหมิ่นพระบรมฯ เลย
ถ้าปรับแบบที่อาจารย์สุลักษณ์เสนอนี้ผมเชื่อว่าองค์ในหลวงของเราจะทรงสุขพระทัยเป็นอย่างยิ่ง.....เพราะพระองค์ท่านก็เคยทรงตรัสเชิงปรารมภ์ไว้แล้วในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อสัก 3 ปีมาแล้ว..ทำนองว่า..ทรงอัดอั้นตันพระทัยกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะ The King can do no wrongs
ผมเดาพระทัยได้ว่าพระองค์ทรงอยากยกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมฯ ให้หมดหรือเกือบหมด แต่หากทรงทำเช่นนั้นก็เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินไป “ตามกฎหมาย” ดังนั้นก็เป็นการ “do wrong”
การวิจารณ์สถาบันด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ด้วยภาษาที่สุภาพตามมาตรฐานวัฒนธรรมไทย ผมเห็นก็มีคนกระทำกันมาก ก็ไม่เห็นว่ามีใครกล้าฟ้องร้องเอาผิดกับผู้วิจารณ์ (ยกเว้นมีความมุ่งร้ายทางการเมืองอย่างแรงเช่นกรณีอาจารย์สุลักษณ์ในสมัย รสช.)
แต่การวิจารณ์แบบมุ่งร้ายและใช้ภาษาที่ไม่สุภาพนั้น แม้ไม่มี ม. ๑๑๒ ก็ผิดกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาแล้ว และยังผิดจารีตประเพณีที่ดีของไทยเราอีกด้วย
แม้อากงจะไม่เสียชีวิตในคุกเสียก่อนผมก็ยังคงอยากเห็น “ทางสายกลาง” ของ ม. ๑๑๒ พึงเข้าใจว่าที่ผมเห็นด้วยกับทางสายกลางนี้หาใช่ว่าเป็นการประนีประนอมกับแนวทางของ “พวกล้มเจ้า” ตรงกันข้ามผมเห็นว่าเป็นการปรับวิกฤตเป็นโอกาสที่จะช่วยกันธำรงไว้ให้ดียิ่งขึ้นซึ่งสถาบันที่คนไทยเรารักและเทิดทูนต่างหาก