ASTVผู้จัดการรายวัน-อีสานโพลตบหน้า "ยิ่งลักษณ์" สอบตกแก้เศรษฐกิจ เหตุทำของแพง ค่าครองชีพพุ่ง เตือนไม่รีบแก้ หากมีเลือกตั้งเหนื่อยแน่ ด้าน "ปู" ดิ้นแก้ของแพง สั่งหน่วยราชการเปิดพื้นที่ให้ขายสินค้า "พาณิชย์"เล็งขึ้นบัญชีควบคุมจานด่วน หลังจนมุมแก้ราคาแพง พร้อมงัดมาตรการคุมชุดนักเรียน น้ำตาลทราย "มาร์ก"เอ่ยปากชมรัฐบาล กล้ายอมรับความจริงของแพง เอกชนชี้สั่งตรึงราคา ระวังสินค้าขาด
นายสุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้มีการสำรวจเรื่อง “เสียงสะท้อนชาวอีสานกับผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ใน 6 ด้าน ซึ่งได้มีการประเมินทุกๆ 2เดือน และครั้งนี้เป็นการจัดทำครั้งที่ 4 ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พบว่า ด้านภาพรวมการทำงานของรัฐบาล คนอีสานประเมินให้ผ่าน ร้อยละ 81.3 ไม่ผ่าน ร้อยละ 18.7 ด้านการเมืองและประชาธิปไตย ประเมินให้ผ่าน ร้อยละ 74.2 ไม่ผ่าน ร้อยละ 25.8 ด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ประเมินให้ไม่ผ่าน ร้อยละ 59.0 ผ่าน ร้อยละ 41.0 ด้านสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด ประเมินให้ผ่านร้อยละ 62.4 ไม่ผ่าน ร้อยละ 37.6 ด้านสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และภัยธรรมชาติ ประเมินให้ผ่านร้อยละ 68.8 ไม่ผ่าน ร้อยละ 31.2 ด้านการต่างประเทศ ประเมินให้ผ่า
นร้อยละ 83.7 ไม่ผ่าน ร้อยละ 16.3
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า แม้คนอีสานจะประเมินให้ผลงานแต่ละด้านผ่าน แต่ด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ไม่ให้ผ่าน และด้านสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด ก็มีแนวโน้มลดลงด้วย
“คะแนนโดยภาพรวม รัฐบาลยังสอบผ่านในสายตาคนอีสาน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากความชื่นชอบส่วนตัวที่คนอีสานมีต่อพรรคเพื่อไทย แต่ก็มีประเด็นที่รัฐบาลต้องตระหนัก คือ คะแนนด้านด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ที่ถือว่ารัฐบาลสอบตก เพราะประชาชนเห็นว่า ค่าครองชีพและราคาสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่นโยบายเพิ่มรายได้แก่ประชาชน ทั้งนโยบายค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และนโยบายเงินเดือน 15,000 บาทสำหรับปริญญาตรี ที่รัฐบาลได้เคยหาเสียงเอาไว้ยังดำเนินการได้ล่าช้า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องชาวอีสานได้ หากมีเลือกตั้งช่วงนี้พรรคเพื่อไทยเหนื่อยแน่นอน"นายสุทินกล่าว
ส่วนประเด็นปัญหาที่คนอีสานเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขมากที่สุด คือ ปัญหาค่าครองชีพ ค่าแรง และหนี้สิน โดยชาวอีสานกว่าร้อยละ 66.4 เห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุด รองลงมา คือ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 5.9 และต้องการให้ช่วยส่งเสริมด้านการเกษตร และราคาพืชผล ร้อยละ 5.7 ที่เหลือเป็นปัญหาอื่นๆ เช่น นโยบายการแจกแท็ปเล็ต พีซี และการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้
การสำรวจดังกล่าว ดำเนินการเมื่อวันที่ 4-5 พ.ค.2555 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,033 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัดได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ หนองคาย ชัยภูมิ เลย อุบลราชธานี อุดรธานี นครพนม หนองบัวลำภู สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สกลนคร มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และบึงกาฬ
***"ปู"สั่งเปิดพื้นที่ขายสินค้า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการให้มีการจัดจำหน่ายสินค้าราคาถูกเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อสินค้า โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รีบดำเนินการ และยังได้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานราชการอนุญาตให้ใช้สถานที่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนนำสินค้ามาขาย เพื่อเพิ่มช่องทางในการกระจายสินค้าอีกทางหนึ่ง
ส่วนสินค้าพืชผลทางการเกษตรที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล คาดว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ เมื่ออุณหภูมิและสภาพอากาศเย็นลง และเข้าสู่ช่วงหน้าฝน จะทำให้ผลผลิตมีเพิ่มมากขึ้น และราคาจะปรับตัวลดลง
เมื่อถามว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไม่พอใจการทำงานของนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ รมว.พาณิชย์ ต้องทบทวนปรับเปลี่ยนอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องทบทวนการทำงานและมาตรการมากกว่า วันนี้ต้องเห็นใจ เพราะเป็นช่วงของฤดูกาล แต่เมื่อเปรียบเทียบราคากันแล้ว ราคาบางอย่างถูกลงและมีแนวโน้มลดลง และสินค้าไม่ได้แพงหมดทุกอย่าง บางตลาดสินค้าราคาถูก ขอให้สื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์สถานที่ที่ขายของราคาถูกด้วย และขอให้กำลังใจพ่อค้า แม่ค้า ที่กำลังปรับลดราคาตามต้นทุนที่ลดลงด้วย และไม่เอาเปรียบผู้บริโภค จะได้เป็นทางออกให้ประชาชนได้มาซื้อของราคาถูก
**จี้คมนาคมเบรกขึ้นค่าโดยสาร
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวว่า รถ บขส.เตรียมขอปรับขึ้นราคาวันที่ 15 พ.ค.นั้น ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเจรจาแล้ว เพราะการปรับขึ้นราคาเป็นรอบของการขึ้นราคาตามสัญญา ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการเองได้ ขึ้นอยู่กับคู่สัญญา จึงต้องใช้ลักษณะการเจรจาและขอความร่วมมือ ซึ่งคงต้องรอให้รมว.คมนาคม กลับมารายงานผลการเจรจาก่อน
**ดิ้นควบคุมอาหารปรุงสำเร็จแก้แพง
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้ (10 พ.ค.) จะประชุมคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เพื่อทบทวนสินค้าที่อยู่ในบัญชีควบคุม 42 รายการใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะมาตรการที่จะนำมาดูแล อย่างสินค้าชุดนักเรียน ที่เป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้ว แต่มีการปรับขึ้นราคาจากผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ก็จะต้องหามาตรการกำกับดูแลไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะขณะนี้เป็นช่วงการซื้อของรองรับการเปิดเทอม หรือน้ำตาลทรายที่ควบคุมราคาสูงสุดไม่เกินกิโลกรัม (กก.) ละ 23.50 บาท แต่กลับมีผู้ค้าบางรายขายเกินราคาเป็นกก. 25 บาท ก็จะต้องหามาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมดูแลให้เข้มข้นขึ้น
นอกจากนี้ อาจเพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆ เข้าไปอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม เช่น สินค้าอาหารปรุงสำเร็จ เพราะมีปัญหาเรื่องราคาปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายการสินค้าอื่นๆ ที่จะหารือว่าจะนำเข้ามาอยู่ในบัญชีควบคุมเพิ่มเติมหรือไม่ จะเน้นไปยังสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน 50 รายการ โดยจะพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาดูแลหรือไม่ หากยังไม่จำเป็น จะมีมาตรการอย่างไรในการดูแลราคาให้เหมาะสม
**แม็คโครตอกหน้าขายแพงเย้ย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาอาหารปรุงสำเร็จในศูนย์อาหารภายในห้างแม็คโคร สาขาจรัลสนิทวงศ์ ในช่วงที่นายบุญทรงเดินทางไปตรวจสอบสถานการณ์สินค้า พบว่า มีเพียงเมนูเดียวที่ขายตามราคาแนะนำของกรมการค้าภายใน คือ กระเพราหมูราดข้าวจานละ 35 บาท เพิ่มไข่ดาวฟองละ 6 บาท ส่วนรายการที่เหลือไม่ว่าจะเป็นผัดพริกแกงราดข้าว หมูกระเทียมราดข้าว เริ่มต้นที่จานละ 40-50 บาท
ส่วนราคาผักสดในตลาดบางขุนศรี พบว่า ผักคะน้ากก.ละ 60-70 บาท ถั่วฝักยาวกก.ละ 80 บาท ผักชีกก.ละ 100-120 บาท เนื้อหมูไหล่และสะโพกกก.ละ 130 บาท ไข่ไก่เบอร์ 3 ฟองละ 3 บาท เบอร์ 2 ฟองละ 3.20 บาท ซึ่งมีราคาสูงขึ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
**โต้ง"การันตีตัวเลขเงินเฟ้อพาณิชย์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มั่นใจข้าราชการกระทรวงพาณิชย์คำนวณตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเม.ย. สุจริต เพราะข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนเม.ย. ทุเลาลงจากไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลก และผลสืบเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยไม่อยากเห็นการโต้เถียงเรื่องอัตราเงินเฟ้อจนกลายเป็นประเด็นทางด้านการเมือง
**ยันไม่มีแผนขึ้นภาษีทั้งระบบ
นายกิตติรัตน์กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่มีแผนปรับขึ้นอัตราภาษีทั้งระบบ โดยเฉพาะการกลับมาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยขอให้ประชาชนสบายใจว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินมาตรการที่เป็นการซ้ำเติมต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนที่เป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
**ชมรัฐบาลกล้ายอมรับของแพง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้ประกาศตรึงราคาสินค้าและตรึงราคาพลังงานอย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลเริ่มยอมรับว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาดูเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น และเป็นเรื่องที่ดีที่ยอมรับว่า เรื่องของพลังงานเป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวน โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน ไม่อยากให้ใช้แค่ชะลอ เพราะในวันข้างหน้าอาจจะมีการขึ้นราคาอีก รัฐบาลต้องใช้โอกาสนี้ทบทวนนโยบายพลังงานในภาพรวม
**เหน็บสินค้าเกษตรถูกทั้งแผ่นดิน
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่รัฐบาลพยายามจะบอกว่าจะทำให้สินค้าถูกทั้งแผ่นดิน ก็พบว่าสินค้าที่ถูกลงเวลานี้ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร เช่น กุ้ง ที่มีการประท้วง และสถานการณ์กำลังจะทรุดตัวลงเรื่อยๆ
**เอกชนชี้สั่งตรึงราคาระวังสินค้าขาด
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า รัฐบาลควรจะไปดูแลเส้นทางสินค้าตั้งแต่ราคาสินค้าหน้าโรงงาน และราคาสินค้าขายปลีกว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และมีจุดไหนที่ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นเกินปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยปรับลดราคาสินค้าลงมาได้ในระดับหนึ่ง และอย่าเพิ่มต้นทุนการผลิตสินค้า เช่น การปรับขึ้นราคาพลังงาน เพราะจะกระทบต่อค่าขนส่ง รวมถึงค่าไฟฟ้า เพื่อคงต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องยอมรับหลักเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ โดยธรรมชาติอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวประมาณ 3% ต่อปี เฉลี่ยแล้วราคาสินค้าก็จะปรับขึ้นได้ในระดับเดียวกัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ปกติ การจะขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าอยู่ตลอดจะเป็นการกดราคาของผู้ผลิต หากเกิดการกดราคามากๆ ผู้ผลิตผลิตสินค้าขาดทุน ก็จะทำการผลิตน้อยลง และเกิดภาวะสินค้าขาดตลาดได้
***ของแพงทำผู้ปกครองกระเป๋าฉีก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม จากตัวอย่าง 1,199 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ค.2555 ว่า จะมีมูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปีนี้เฉลี่ยต่อคนที่ 7,142.86 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายรวมที่ 50,254.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 46,979.94 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทะลุ 50,000 ล้านบาทเป็นปีแรก และยังสูงสุดในรอบ 3 ปีนับจากการสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมครั้งแรกในปี 2553 เพราะราคาสินค้า ทั้งเสื้อผ้า ชุดนักเรียน หนังสือแพงขึ้น รวมทั้งยังมีค่าบำรุงโรงเรียนกรณีเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ (แป๊ะเจี๊ยะ) ด้วย
นายสุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้มีการสำรวจเรื่อง “เสียงสะท้อนชาวอีสานกับผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ใน 6 ด้าน ซึ่งได้มีการประเมินทุกๆ 2เดือน และครั้งนี้เป็นการจัดทำครั้งที่ 4 ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พบว่า ด้านภาพรวมการทำงานของรัฐบาล คนอีสานประเมินให้ผ่าน ร้อยละ 81.3 ไม่ผ่าน ร้อยละ 18.7 ด้านการเมืองและประชาธิปไตย ประเมินให้ผ่าน ร้อยละ 74.2 ไม่ผ่าน ร้อยละ 25.8 ด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ประเมินให้ไม่ผ่าน ร้อยละ 59.0 ผ่าน ร้อยละ 41.0 ด้านสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด ประเมินให้ผ่านร้อยละ 62.4 ไม่ผ่าน ร้อยละ 37.6 ด้านสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และภัยธรรมชาติ ประเมินให้ผ่านร้อยละ 68.8 ไม่ผ่าน ร้อยละ 31.2 ด้านการต่างประเทศ ประเมินให้ผ่า
นร้อยละ 83.7 ไม่ผ่าน ร้อยละ 16.3
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า แม้คนอีสานจะประเมินให้ผลงานแต่ละด้านผ่าน แต่ด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ไม่ให้ผ่าน และด้านสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด ก็มีแนวโน้มลดลงด้วย
“คะแนนโดยภาพรวม รัฐบาลยังสอบผ่านในสายตาคนอีสาน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากความชื่นชอบส่วนตัวที่คนอีสานมีต่อพรรคเพื่อไทย แต่ก็มีประเด็นที่รัฐบาลต้องตระหนัก คือ คะแนนด้านด้านเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดี ที่ถือว่ารัฐบาลสอบตก เพราะประชาชนเห็นว่า ค่าครองชีพและราคาสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่นโยบายเพิ่มรายได้แก่ประชาชน ทั้งนโยบายค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และนโยบายเงินเดือน 15,000 บาทสำหรับปริญญาตรี ที่รัฐบาลได้เคยหาเสียงเอาไว้ยังดำเนินการได้ล่าช้า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องชาวอีสานได้ หากมีเลือกตั้งช่วงนี้พรรคเพื่อไทยเหนื่อยแน่นอน"นายสุทินกล่าว
ส่วนประเด็นปัญหาที่คนอีสานเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขมากที่สุด คือ ปัญหาค่าครองชีพ ค่าแรง และหนี้สิน โดยชาวอีสานกว่าร้อยละ 66.4 เห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุด รองลงมา คือ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 5.9 และต้องการให้ช่วยส่งเสริมด้านการเกษตร และราคาพืชผล ร้อยละ 5.7 ที่เหลือเป็นปัญหาอื่นๆ เช่น นโยบายการแจกแท็ปเล็ต พีซี และการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้
การสำรวจดังกล่าว ดำเนินการเมื่อวันที่ 4-5 พ.ค.2555 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,033 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัดได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ หนองคาย ชัยภูมิ เลย อุบลราชธานี อุดรธานี นครพนม หนองบัวลำภู สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สกลนคร มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และบึงกาฬ
***"ปู"สั่งเปิดพื้นที่ขายสินค้า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการให้มีการจัดจำหน่ายสินค้าราคาถูกเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อสินค้า โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รีบดำเนินการ และยังได้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานราชการอนุญาตให้ใช้สถานที่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนนำสินค้ามาขาย เพื่อเพิ่มช่องทางในการกระจายสินค้าอีกทางหนึ่ง
ส่วนสินค้าพืชผลทางการเกษตรที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล คาดว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ เมื่ออุณหภูมิและสภาพอากาศเย็นลง และเข้าสู่ช่วงหน้าฝน จะทำให้ผลผลิตมีเพิ่มมากขึ้น และราคาจะปรับตัวลดลง
เมื่อถามว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไม่พอใจการทำงานของนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ รมว.พาณิชย์ ต้องทบทวนปรับเปลี่ยนอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องทบทวนการทำงานและมาตรการมากกว่า วันนี้ต้องเห็นใจ เพราะเป็นช่วงของฤดูกาล แต่เมื่อเปรียบเทียบราคากันแล้ว ราคาบางอย่างถูกลงและมีแนวโน้มลดลง และสินค้าไม่ได้แพงหมดทุกอย่าง บางตลาดสินค้าราคาถูก ขอให้สื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์สถานที่ที่ขายของราคาถูกด้วย และขอให้กำลังใจพ่อค้า แม่ค้า ที่กำลังปรับลดราคาตามต้นทุนที่ลดลงด้วย และไม่เอาเปรียบผู้บริโภค จะได้เป็นทางออกให้ประชาชนได้มาซื้อของราคาถูก
**จี้คมนาคมเบรกขึ้นค่าโดยสาร
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวว่า รถ บขส.เตรียมขอปรับขึ้นราคาวันที่ 15 พ.ค.นั้น ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเจรจาแล้ว เพราะการปรับขึ้นราคาเป็นรอบของการขึ้นราคาตามสัญญา ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการเองได้ ขึ้นอยู่กับคู่สัญญา จึงต้องใช้ลักษณะการเจรจาและขอความร่วมมือ ซึ่งคงต้องรอให้รมว.คมนาคม กลับมารายงานผลการเจรจาก่อน
**ดิ้นควบคุมอาหารปรุงสำเร็จแก้แพง
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้ (10 พ.ค.) จะประชุมคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เพื่อทบทวนสินค้าที่อยู่ในบัญชีควบคุม 42 รายการใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะมาตรการที่จะนำมาดูแล อย่างสินค้าชุดนักเรียน ที่เป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้ว แต่มีการปรับขึ้นราคาจากผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ก็จะต้องหามาตรการกำกับดูแลไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะขณะนี้เป็นช่วงการซื้อของรองรับการเปิดเทอม หรือน้ำตาลทรายที่ควบคุมราคาสูงสุดไม่เกินกิโลกรัม (กก.) ละ 23.50 บาท แต่กลับมีผู้ค้าบางรายขายเกินราคาเป็นกก. 25 บาท ก็จะต้องหามาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมดูแลให้เข้มข้นขึ้น
นอกจากนี้ อาจเพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆ เข้าไปอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม เช่น สินค้าอาหารปรุงสำเร็จ เพราะมีปัญหาเรื่องราคาปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายการสินค้าอื่นๆ ที่จะหารือว่าจะนำเข้ามาอยู่ในบัญชีควบคุมเพิ่มเติมหรือไม่ จะเน้นไปยังสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน 50 รายการ โดยจะพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาดูแลหรือไม่ หากยังไม่จำเป็น จะมีมาตรการอย่างไรในการดูแลราคาให้เหมาะสม
**แม็คโครตอกหน้าขายแพงเย้ย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาอาหารปรุงสำเร็จในศูนย์อาหารภายในห้างแม็คโคร สาขาจรัลสนิทวงศ์ ในช่วงที่นายบุญทรงเดินทางไปตรวจสอบสถานการณ์สินค้า พบว่า มีเพียงเมนูเดียวที่ขายตามราคาแนะนำของกรมการค้าภายใน คือ กระเพราหมูราดข้าวจานละ 35 บาท เพิ่มไข่ดาวฟองละ 6 บาท ส่วนรายการที่เหลือไม่ว่าจะเป็นผัดพริกแกงราดข้าว หมูกระเทียมราดข้าว เริ่มต้นที่จานละ 40-50 บาท
ส่วนราคาผักสดในตลาดบางขุนศรี พบว่า ผักคะน้ากก.ละ 60-70 บาท ถั่วฝักยาวกก.ละ 80 บาท ผักชีกก.ละ 100-120 บาท เนื้อหมูไหล่และสะโพกกก.ละ 130 บาท ไข่ไก่เบอร์ 3 ฟองละ 3 บาท เบอร์ 2 ฟองละ 3.20 บาท ซึ่งมีราคาสูงขึ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
**โต้ง"การันตีตัวเลขเงินเฟ้อพาณิชย์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มั่นใจข้าราชการกระทรวงพาณิชย์คำนวณตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเม.ย. สุจริต เพราะข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนเม.ย. ทุเลาลงจากไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลก และผลสืบเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยไม่อยากเห็นการโต้เถียงเรื่องอัตราเงินเฟ้อจนกลายเป็นประเด็นทางด้านการเมือง
**ยันไม่มีแผนขึ้นภาษีทั้งระบบ
นายกิตติรัตน์กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่มีแผนปรับขึ้นอัตราภาษีทั้งระบบ โดยเฉพาะการกลับมาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยขอให้ประชาชนสบายใจว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินมาตรการที่เป็นการซ้ำเติมต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนที่เป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
**ชมรัฐบาลกล้ายอมรับของแพง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้ประกาศตรึงราคาสินค้าและตรึงราคาพลังงานอย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลเริ่มยอมรับว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาดูเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น และเป็นเรื่องที่ดีที่ยอมรับว่า เรื่องของพลังงานเป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวน โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน ไม่อยากให้ใช้แค่ชะลอ เพราะในวันข้างหน้าอาจจะมีการขึ้นราคาอีก รัฐบาลต้องใช้โอกาสนี้ทบทวนนโยบายพลังงานในภาพรวม
**เหน็บสินค้าเกษตรถูกทั้งแผ่นดิน
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่รัฐบาลพยายามจะบอกว่าจะทำให้สินค้าถูกทั้งแผ่นดิน ก็พบว่าสินค้าที่ถูกลงเวลานี้ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร เช่น กุ้ง ที่มีการประท้วง และสถานการณ์กำลังจะทรุดตัวลงเรื่อยๆ
**เอกชนชี้สั่งตรึงราคาระวังสินค้าขาด
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า รัฐบาลควรจะไปดูแลเส้นทางสินค้าตั้งแต่ราคาสินค้าหน้าโรงงาน และราคาสินค้าขายปลีกว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และมีจุดไหนที่ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นเกินปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยปรับลดราคาสินค้าลงมาได้ในระดับหนึ่ง และอย่าเพิ่มต้นทุนการผลิตสินค้า เช่น การปรับขึ้นราคาพลังงาน เพราะจะกระทบต่อค่าขนส่ง รวมถึงค่าไฟฟ้า เพื่อคงต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องยอมรับหลักเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ โดยธรรมชาติอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวประมาณ 3% ต่อปี เฉลี่ยแล้วราคาสินค้าก็จะปรับขึ้นได้ในระดับเดียวกัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ปกติ การจะขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าอยู่ตลอดจะเป็นการกดราคาของผู้ผลิต หากเกิดการกดราคามากๆ ผู้ผลิตผลิตสินค้าขาดทุน ก็จะทำการผลิตน้อยลง และเกิดภาวะสินค้าขาดตลาดได้
***ของแพงทำผู้ปกครองกระเป๋าฉีก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม จากตัวอย่าง 1,199 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ค.2555 ว่า จะมีมูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปีนี้เฉลี่ยต่อคนที่ 7,142.86 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายรวมที่ 50,254.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 46,979.94 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทะลุ 50,000 ล้านบาทเป็นปีแรก และยังสูงสุดในรอบ 3 ปีนับจากการสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมครั้งแรกในปี 2553 เพราะราคาสินค้า ทั้งเสื้อผ้า ชุดนักเรียน หนังสือแพงขึ้น รวมทั้งยังมีค่าบำรุงโรงเรียนกรณีเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ (แป๊ะเจี๊ยะ) ด้วย