ยุคของแพงสร้างความเดือดร้อนไม่แบ่งสี หลายคนต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดในสังคมแห่งการแข่งขัน อย่างกับเรือลำน้อยไร้ซึ่งหางเสือ ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ไร้ทิศทาง สุดแต่กรรมเวร
รอคอยอรุณรุ่งของวันใหม่ ว่าจะต้องดีขึ้น อย่างความหวังของคนแทงหวย
รัฐบาลในฐานะผู้มีหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมือง เพื่อประชนชนทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่พยายามหาหนทางเยียวยาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น กลับมุ่งมั่นบริหารผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก
โอบอุ้มนายทุนผู้มั่งคั่งมากกว่าจะเหลียวแลรากหญ้าผู้เป็นคนส่วนมากในสังคม
เหมือนกันหมดทุกยุค ทุกสมัย ไม่ว่าขั้วไหน ฝ่ายใด ที่ได้อำนาจมาครอบครอง
หลายครั้งที่กลุ่มทุนประสบปัญหาในธุรกิจ เรามักเห็นพวกเขาเหล่านั้นใส่สูทผูกไทเข้าพบผู้บริหารประเทศ พร้อมพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กระทั่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะถูกแก้ไขอย่างตั้งใจ และลุล่วงไปได้ในเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามหลายครั้งเราพบว่า การแก้ไขปัญหาเหล่านั้น กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาขึ้นแก่คนส่วนใหญ่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรวม รัฐบาลก็มิได้ตระหนักถึงเลยแม้แต่น้อย เช่น ปัญหาการจัดการสภาพแวดล้อมของนิคมอุสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่หย่อนยานเรื่องความปลอดภัยในการบริหารจัดการสารพิษต่าง ๆ ทั้งยังปล่อยมลพิษเหล่านั้นอันส่งผลต่อการเป็นอยู่ของผู้คน ทำลายสภาพแวดล้อมของชุมชน จนไร้ซึ่งอากาศอันบริสุทธิ์สำหรับหายใจ
รวมถึงข่าวคราวเกี่ยวกับโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ที่ส่งผลกระทบกับธรรมชาติ ป่าไม้ และความเป็นอยู่ของเกษตรกร ตลอดจนประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ ที่ลำพังเพียงแค่การหารายได้ประทังความยากลำบากในแต่ละวันก็ยากมากพออยู่แล้ว กลับยังต้องมาทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ยามหน้าร้อนก็แล้งเสียเหลือหลาย ยามหน้าน้ำ น้ำกลับท่วมผืนแผ่นดิน ไร้สิ้นแล้วซึ่งถิ่นฐานทำกิน จำใจต้องอพยพละทิ้งความเป็นตัวตน อยู่กับดิน กินกับน้ำ เข้าสู่เมืองใหญ่ รับจ้างใช้แรงงาน สร้างปัญหาแก่งแย่งทรัพยากรเมืองใหญ่ ให้วิกฤติมากยิ่งขึ้น
เป็นการสู้รบกันระหว่างประชาชนส่วนใหญ่ กับกลุ่มทุนใหญ่ที่มีจำนวนน้อยนิด แต่ทรงอำนาจต่อรอง และครอบครองผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด
สุดท้ายแล้วชัยชนะก็ตกเป็นของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นอยู่เสมอ
ปัจจุบันกลุ่มทุนหลายกลุ่มได้กลายสภาพมาเป็นพรรคการเมืองในเวลานี้ วางเครือข่ายพร้อมแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทยได้อย่างไร้ขีดจำกัด สามารถครอบครองได้ทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำบางส่วน
พร้อมการพังทลายลงของระบบคุณธรรม-จริยธรรมของนักการเมือง ผู้มีหน้าที่บริหารประเทศ อันได้รับฉันทามติจากประชาชน ซึ่งหวังว่าสักวันหนึ่งการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น จะสะท้อนกลับมา ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่สร้างความอยู่ดีกินดี และความเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้านของผู้คนในสังคม
แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เมื่อประชาชนยังคงต้องเผชิญกับปัญหาปากท้อง ปัญหาการเข้าถึงการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมระหว่างคนรวยกับคนจน กระทั่งปัญหาความเท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาหาหนทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมแม้แต่น้อย หากแต่กลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เมื่อประเด็นเหล่านี้ขึ้นไปเป็นหัวข้อบนเวทีปราศรัยทางการเมือง
มิพักต้องพูดถึงเรื่องการใช้อำนาจที่คัดง้างกับจริยธรรมของนักบริหาร เช่นการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรทางการเมือง การกลั่นแกล้งข้าราชการประจำที่ไม่สยบยอมต่ออำนาจรัฐ หรือแม้แต่การแต่งตั้งบุคคลที่มีความเลวเป็นแบ็กกราวด์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง
แต่ก็นั่นแหล่ะ เมื่อกฎหมายที่บังคับใช้ยังไม่อาจหยุดยั้งพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นได้ นับประสาอะไรกับคำว่าคุณธรรม-จริยธรรม ที่เป็นเพียงนามปธรรมอันไม่อาจมองเห็นเป็นตัวตน
หรือเราทั้งหลายคิดกันไปเองว่าเรามีรัฐบาล?
และรัฐบาลที่เราคิดว่ามีอยู่จริงนั้น จะยืนอยู่เคียงข้างพวกเรา? รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนอย่างเต็มที่?
ดูอย่างปัญหาสินค้าราคาแพงเฉกเช่นทุกวันนี้ ที่รัฐบาลบอกว่าพวกเราคิดกันไปเอง ราคาสินค้าหาได้พุ่งสูงขึ้นแต่อย่างใด
หรือว่าเราทำได้เพียงแค่ร่ำร้อง let it be ให้กับชะตากรรมคนไทย ที่ได้นักการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ
หากแต่จะเป็น let it be ของ the beatles หรือจะเป็น let it be ของเสี่ยเหลี่ยม ก็คิดกันเอาเองแล้วกันครับ
รอคอยอรุณรุ่งของวันใหม่ ว่าจะต้องดีขึ้น อย่างความหวังของคนแทงหวย
รัฐบาลในฐานะผู้มีหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมือง เพื่อประชนชนทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่พยายามหาหนทางเยียวยาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น กลับมุ่งมั่นบริหารผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก
โอบอุ้มนายทุนผู้มั่งคั่งมากกว่าจะเหลียวแลรากหญ้าผู้เป็นคนส่วนมากในสังคม
เหมือนกันหมดทุกยุค ทุกสมัย ไม่ว่าขั้วไหน ฝ่ายใด ที่ได้อำนาจมาครอบครอง
หลายครั้งที่กลุ่มทุนประสบปัญหาในธุรกิจ เรามักเห็นพวกเขาเหล่านั้นใส่สูทผูกไทเข้าพบผู้บริหารประเทศ พร้อมพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กระทั่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะถูกแก้ไขอย่างตั้งใจ และลุล่วงไปได้ในเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามหลายครั้งเราพบว่า การแก้ไขปัญหาเหล่านั้น กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาขึ้นแก่คนส่วนใหญ่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรวม รัฐบาลก็มิได้ตระหนักถึงเลยแม้แต่น้อย เช่น ปัญหาการจัดการสภาพแวดล้อมของนิคมอุสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่หย่อนยานเรื่องความปลอดภัยในการบริหารจัดการสารพิษต่าง ๆ ทั้งยังปล่อยมลพิษเหล่านั้นอันส่งผลต่อการเป็นอยู่ของผู้คน ทำลายสภาพแวดล้อมของชุมชน จนไร้ซึ่งอากาศอันบริสุทธิ์สำหรับหายใจ
รวมถึงข่าวคราวเกี่ยวกับโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ที่ส่งผลกระทบกับธรรมชาติ ป่าไม้ และความเป็นอยู่ของเกษตรกร ตลอดจนประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ ที่ลำพังเพียงแค่การหารายได้ประทังความยากลำบากในแต่ละวันก็ยากมากพออยู่แล้ว กลับยังต้องมาทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ยามหน้าร้อนก็แล้งเสียเหลือหลาย ยามหน้าน้ำ น้ำกลับท่วมผืนแผ่นดิน ไร้สิ้นแล้วซึ่งถิ่นฐานทำกิน จำใจต้องอพยพละทิ้งความเป็นตัวตน อยู่กับดิน กินกับน้ำ เข้าสู่เมืองใหญ่ รับจ้างใช้แรงงาน สร้างปัญหาแก่งแย่งทรัพยากรเมืองใหญ่ ให้วิกฤติมากยิ่งขึ้น
เป็นการสู้รบกันระหว่างประชาชนส่วนใหญ่ กับกลุ่มทุนใหญ่ที่มีจำนวนน้อยนิด แต่ทรงอำนาจต่อรอง และครอบครองผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด
สุดท้ายแล้วชัยชนะก็ตกเป็นของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นอยู่เสมอ
ปัจจุบันกลุ่มทุนหลายกลุ่มได้กลายสภาพมาเป็นพรรคการเมืองในเวลานี้ วางเครือข่ายพร้อมแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทยได้อย่างไร้ขีดจำกัด สามารถครอบครองได้ทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำบางส่วน
พร้อมการพังทลายลงของระบบคุณธรรม-จริยธรรมของนักการเมือง ผู้มีหน้าที่บริหารประเทศ อันได้รับฉันทามติจากประชาชน ซึ่งหวังว่าสักวันหนึ่งการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น จะสะท้อนกลับมา ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่สร้างความอยู่ดีกินดี และความเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้านของผู้คนในสังคม
แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เมื่อประชาชนยังคงต้องเผชิญกับปัญหาปากท้อง ปัญหาการเข้าถึงการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมระหว่างคนรวยกับคนจน กระทั่งปัญหาความเท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาหาหนทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมแม้แต่น้อย หากแต่กลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เมื่อประเด็นเหล่านี้ขึ้นไปเป็นหัวข้อบนเวทีปราศรัยทางการเมือง
มิพักต้องพูดถึงเรื่องการใช้อำนาจที่คัดง้างกับจริยธรรมของนักบริหาร เช่นการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรทางการเมือง การกลั่นแกล้งข้าราชการประจำที่ไม่สยบยอมต่ออำนาจรัฐ หรือแม้แต่การแต่งตั้งบุคคลที่มีความเลวเป็นแบ็กกราวด์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง
แต่ก็นั่นแหล่ะ เมื่อกฎหมายที่บังคับใช้ยังไม่อาจหยุดยั้งพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นได้ นับประสาอะไรกับคำว่าคุณธรรม-จริยธรรม ที่เป็นเพียงนามปธรรมอันไม่อาจมองเห็นเป็นตัวตน
หรือเราทั้งหลายคิดกันไปเองว่าเรามีรัฐบาล?
และรัฐบาลที่เราคิดว่ามีอยู่จริงนั้น จะยืนอยู่เคียงข้างพวกเรา? รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนอย่างเต็มที่?
ดูอย่างปัญหาสินค้าราคาแพงเฉกเช่นทุกวันนี้ ที่รัฐบาลบอกว่าพวกเราคิดกันไปเอง ราคาสินค้าหาได้พุ่งสูงขึ้นแต่อย่างใด
หรือว่าเราทำได้เพียงแค่ร่ำร้อง let it be ให้กับชะตากรรมคนไทย ที่ได้นักการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ
หากแต่จะเป็น let it be ของ the beatles หรือจะเป็น let it be ของเสี่ยเหลี่ยม ก็คิดกันเอาเองแล้วกันครับ