โดย : วัชชิระ จำปาน้อย
บทสุดท้ายแห่งการใช้อำนาจของระบอบทักษิณ เผยภาพให้เห็นเด่นชัด และเป็นกระบวนการ
มุ่งครอบครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ สิ้นแล้วซึ่งคำว่าคุณธรรม และจริยธรรมของผู้นำประเทศ
จากเผด็จการรัฐสภา สู่นักวิชาการผู้ฉ้อฉล ตีประเด็นสังคมบิดเบี้ยวเข้าข้างตัวเองพร้อมรับใช้ผู้มั่งมี ก่อนส่งให้สื่อหมางเมินประโยชน์สาธารณชนเผยแพร่สู่สังคม
ปลุกพลังบริสุทธิ์ของพี่น้องเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้ เพียงเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตัวเองในปัจจุบัน
ปูทางสู่การกระชับอำนาจในอนาคต
พี่น้องเสื้อแดงบางคนยอมกระทั่งเจียดเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยจ่ายค่ารถเข้ามาชุมนุม ร่วมกิจกรรมการเมืองต่างๆ ละทิ้งสัมมาอาชีพของตนเองสู่เมืองด้วยมุ่งหวังซึ่งการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า และความเสมอภาคเท่าเทียม ข้ามผ่านซึ่งความยากจนสู่ความกินดีอยู่ดีของลูกหลานในภายหน้า อย่างที่นักธุรกิจเลือกตั้งพูดกันจนชินหูเวลาเลือกตั้ง
สูญเสียทั้งเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สิน
ไม่น้อยเลยที่รับอามิสขายเสียงแลกท้องอิ่ม ทั้งที่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่เพราะความจนจึงต้องทนฟังคำชี้นำ
บ้างโชคยังพอช่วยแค่พิกลพิการ พอได้รักษาชีวิตไว้เพื่อกลับบ้านเล่าขานให้ลูกหลานได้ฟังถึงวีรกรรมประชาธิปไตย ทั้งที่ตัวเองและลูกหลานหาได้รับผลประโยชน์ใดด้วยเลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังไม่เคยหาคำตอบที่แท้จริงด้วยว่าประชาธิปไตยคืออะไร
เผาเมืองเป็นประชาธิปไตยจริงหรือ ข่มขู่นักข่าวเป็นประชาธิปไตยใช่หรือไม่ ทำร้ายฝ่ายเห็นต่างด้วยความรุนแรง และด้วยอาวุธสงครามอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
นี่หรือคือประชาธิปไตย
มิพักต้องพูดถึงนักวิชาการ และสื่อสีแดงและแกนนำที่พร้อมจับประเด็นเดือดร้อนที่เกิดขึ้นแก่ฝ่ายตน นำไปขยายผลโจมตีฝ่ายตรงข้าม พร้อมปลุกปั่นมวลชนอย่างมีนัยซ่อนเล่ห์
แต่หมางเมินความรุนแรงที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ
พร้อมชี้ให้มวลชนได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม อันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงยากที่ใครจะปฏิเสธ
หากแต่การปลุกพลังบริสุทธิ์เหล่านั้นขึ้นมา หาได้เกิดขึ้นโดยปณิธานเพื่อสาธารณชนแต่อย่างใด เป็นไปเพียงเพื่อสร้างกระแสมวลชน นำไปเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการนำตัวเขาคนนั้นกลับบ้านอย่างไร้ซึ่งความผิด
ถามว่าภาวะข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในบ้านเราเวลานี้ รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว จะสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ได้จริงหรือ
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าครองชีพ ค่าการศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานที่แสนแพง แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้หรือไม่
ให้คำมั่นได้หรือไม่ว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จะไม่เกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีก
หรือถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้วนักการเมืองจะเลิกโกงกิน และจะเพิ่มช่องทางเอาผิดนักการเมืองที่มุ่งหาผลประโยชน์แก่ตัวเอง บนความทุกข์ยากของประชาชน ให้ได้รับโทษอย่างสาสม
คำตอบคือไม่...
หากแต่สิ่งที่เป็นจริงก็คือ ปฏิวัติรัฐธรรมนูญสำเร็จเมื่อใด นายใหญ่พ้นผิดทันที!
และนี่เองคือสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง
ทั้งยังทำให้กลุ่มแกนนำยิ่งเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเอง จากการอิงอำนาจรัฐ หากินกับโครงการต่างๆ จากภาษีประชาชน จนหลายคนกลายเป็นเศรษฐีไปในชั่วข้ามคืน
กระทั่งก้าวสู่ความเป็นอภิสิทธิชนตัวจริงในสังคมไทย ทำอะไรก็ไม่ผิด
ถึงผิดจริงแต่จะติดคุกจริงหรือไม่ก็ไม่รู้
แล้วสิ่งต่างๆ ที่เดินหน้ากู่ก้องกันมาหลายปีก็จะมลายหายไปอย่างช้าๆ
ดูได้จากแกนนำเสื้อแดงบางคนที่ได้เข้าสู่อำนาจรัฐแล้ว ก็ไม่เคยออกมาต่อสู้ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้อีกเลย
ต่างจากคนเสื้อแดงชื่อดังผู้น่าสงสารอย่าง สมยศ พฤกษาเกษมสุข, สุรชัย แซ่ด่าน เป็นอาทิ ที่ต่อสู้อยู่บนความเชื่อของตัวเองอย่างแท้จริง แต่หาได้สร้างผลประโยชน์อะไรให้กับนายใหญ่ จึงถูกยัดเยียดข้อหาแดงเทียม พร้อมจับยัดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
เวลานี้สภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองที่ล้มเหลวได้แม้แต่น้อย ซ้ำยังเป็นสถานที่ฟอกดำให้เป็นขาว และเป็นเวทีสำหรับการวิวาทะกันของกลุ่มคนสองกลุ่ม ที่จ้องแย่งกันแต่อำนาจ
ลากการเมืองไทยให้กลายเป็นแบบทีใครทีมัน เฉกเช่นทุกวันนี้
อีกทั้งพวกไม่เข้าใครออกใครในสภา จ้องแต่จะหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง นานๆ วันจะออกมาหาทางแก้กฎหมายยุบพรรคกันสักที นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ทางด้านประโยชน์ของประเทศแม้แต่น้อย
ซ้ำร้ายประชาชนยังหมดที่พึ่งพิง ด้วยตัวแทนของพวกเขาในวันเลือกตั้ง แปลงสภาพกลายเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนในวันนี้เสียแล้ว
ปัญหาทั้งมวลล้วนยังคงอยู่ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และจริงใจ
สิ่งสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่นั่นคือพลังแห่งความดีงามของประชาชน ในการลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบด้วยสองขาของตัวเอง สร้างสรรค์ความเท่าเทียมกันในสังคมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ยุติการชักจูงบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ให้กลายเป็นแบบพวกมากลากไปแบบทุกวันนี้ หยัดยืนขึ้นกู่ก้องให้กลุ่มคนเหล่านั้นเห็นว่า
หมดเวลาแล้วสำหรับระบอบสามานย์ทุกรูปแบบในการโกงกินประเทศชาติ
ไม่ว่าจะเป็นระบอบสามานย์ภายใต้กระบอกปืน และรถถัง
หรือจะเป็นกลุ่มสามานย์โดยกลุ่มนักธุรกิจเลือกตั้ง ที่มองประเทศเป็นบริษัทจำกัด บริหารจัดการโดยมีธงแห่งผลกำไรเป็นหลัก
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าระบอบใดก็ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจะยิ่งพาให้บ้านเมืองเราถดถอยลงด้วยแรงแห่งความละโมบ และความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุด
เราทั้งหลาย ในนามของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้เท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศสู่สิ่งที่ดีกว่า หาใช่ผู้มีอำนาจและหน้าที่ แต่ไม่ยอมใช้อำนาจและทำหน้าที่ของตัวเองจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งตำรวจ ทหาร และกระบวนการยุติธรรมบางส่วน
ส่วนพวกที่ทำหน้าที่รับใช้ระบอบเลวร้าย ใช้เสื้อเกราะแห่งความเป็นสื่อ และนักวิชาการกำมะลอ ประดิษฐ์วาทกรรมกดหัวฝ่ายตรงข้าม ตั้งคำถามกับคนดี เชิดชูคำพูดลมลวงของคนเลว พร้อมแต่งตั้งตัวเองเป็นอารยชน สักวันก็จะเหี่ยวแห้งไปเอง หาใช่ใครที่ไหนจะไปทำร้ายทำลาย
หากแต่เป็นเพราะพ่ายแพ้ให้กับความละอายที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง อันเกิดจากอัตตาเกาะแน่นในจิตใจ ที่เห็นแจ้งรู้จริงอยู่ว่าอะไรดี อะไรเลว แต่ไม่สามารถใช้วิชาชีพของตัวเองต่อกรกับความชั่วร้ายใดๆ ได้อีกต่อไป...
บทสุดท้ายแห่งการใช้อำนาจของระบอบทักษิณ เผยภาพให้เห็นเด่นชัด และเป็นกระบวนการ
มุ่งครอบครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ สิ้นแล้วซึ่งคำว่าคุณธรรม และจริยธรรมของผู้นำประเทศ
จากเผด็จการรัฐสภา สู่นักวิชาการผู้ฉ้อฉล ตีประเด็นสังคมบิดเบี้ยวเข้าข้างตัวเองพร้อมรับใช้ผู้มั่งมี ก่อนส่งให้สื่อหมางเมินประโยชน์สาธารณชนเผยแพร่สู่สังคม
ปลุกพลังบริสุทธิ์ของพี่น้องเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้ เพียงเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตัวเองในปัจจุบัน
ปูทางสู่การกระชับอำนาจในอนาคต
พี่น้องเสื้อแดงบางคนยอมกระทั่งเจียดเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยจ่ายค่ารถเข้ามาชุมนุม ร่วมกิจกรรมการเมืองต่างๆ ละทิ้งสัมมาอาชีพของตนเองสู่เมืองด้วยมุ่งหวังซึ่งการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า และความเสมอภาคเท่าเทียม ข้ามผ่านซึ่งความยากจนสู่ความกินดีอยู่ดีของลูกหลานในภายหน้า อย่างที่นักธุรกิจเลือกตั้งพูดกันจนชินหูเวลาเลือกตั้ง
สูญเสียทั้งเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สิน
ไม่น้อยเลยที่รับอามิสขายเสียงแลกท้องอิ่ม ทั้งที่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่เพราะความจนจึงต้องทนฟังคำชี้นำ
บ้างโชคยังพอช่วยแค่พิกลพิการ พอได้รักษาชีวิตไว้เพื่อกลับบ้านเล่าขานให้ลูกหลานได้ฟังถึงวีรกรรมประชาธิปไตย ทั้งที่ตัวเองและลูกหลานหาได้รับผลประโยชน์ใดด้วยเลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังไม่เคยหาคำตอบที่แท้จริงด้วยว่าประชาธิปไตยคืออะไร
เผาเมืองเป็นประชาธิปไตยจริงหรือ ข่มขู่นักข่าวเป็นประชาธิปไตยใช่หรือไม่ ทำร้ายฝ่ายเห็นต่างด้วยความรุนแรง และด้วยอาวุธสงครามอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
นี่หรือคือประชาธิปไตย
มิพักต้องพูดถึงนักวิชาการ และสื่อสีแดงและแกนนำที่พร้อมจับประเด็นเดือดร้อนที่เกิดขึ้นแก่ฝ่ายตน นำไปขยายผลโจมตีฝ่ายตรงข้าม พร้อมปลุกปั่นมวลชนอย่างมีนัยซ่อนเล่ห์
แต่หมางเมินความรุนแรงที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ
พร้อมชี้ให้มวลชนได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม อันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงยากที่ใครจะปฏิเสธ
หากแต่การปลุกพลังบริสุทธิ์เหล่านั้นขึ้นมา หาได้เกิดขึ้นโดยปณิธานเพื่อสาธารณชนแต่อย่างใด เป็นไปเพียงเพื่อสร้างกระแสมวลชน นำไปเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการนำตัวเขาคนนั้นกลับบ้านอย่างไร้ซึ่งความผิด
ถามว่าภาวะข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในบ้านเราเวลานี้ รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว จะสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ได้จริงหรือ
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าครองชีพ ค่าการศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานที่แสนแพง แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้หรือไม่
ให้คำมั่นได้หรือไม่ว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จะไม่เกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีก
หรือถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้วนักการเมืองจะเลิกโกงกิน และจะเพิ่มช่องทางเอาผิดนักการเมืองที่มุ่งหาผลประโยชน์แก่ตัวเอง บนความทุกข์ยากของประชาชน ให้ได้รับโทษอย่างสาสม
คำตอบคือไม่...
หากแต่สิ่งที่เป็นจริงก็คือ ปฏิวัติรัฐธรรมนูญสำเร็จเมื่อใด นายใหญ่พ้นผิดทันที!
และนี่เองคือสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง
ทั้งยังทำให้กลุ่มแกนนำยิ่งเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเอง จากการอิงอำนาจรัฐ หากินกับโครงการต่างๆ จากภาษีประชาชน จนหลายคนกลายเป็นเศรษฐีไปในชั่วข้ามคืน
กระทั่งก้าวสู่ความเป็นอภิสิทธิชนตัวจริงในสังคมไทย ทำอะไรก็ไม่ผิด
ถึงผิดจริงแต่จะติดคุกจริงหรือไม่ก็ไม่รู้
แล้วสิ่งต่างๆ ที่เดินหน้ากู่ก้องกันมาหลายปีก็จะมลายหายไปอย่างช้าๆ
ดูได้จากแกนนำเสื้อแดงบางคนที่ได้เข้าสู่อำนาจรัฐแล้ว ก็ไม่เคยออกมาต่อสู้ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้อีกเลย
ต่างจากคนเสื้อแดงชื่อดังผู้น่าสงสารอย่าง สมยศ พฤกษาเกษมสุข, สุรชัย แซ่ด่าน เป็นอาทิ ที่ต่อสู้อยู่บนความเชื่อของตัวเองอย่างแท้จริง แต่หาได้สร้างผลประโยชน์อะไรให้กับนายใหญ่ จึงถูกยัดเยียดข้อหาแดงเทียม พร้อมจับยัดตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
เวลานี้สภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองที่ล้มเหลวได้แม้แต่น้อย ซ้ำยังเป็นสถานที่ฟอกดำให้เป็นขาว และเป็นเวทีสำหรับการวิวาทะกันของกลุ่มคนสองกลุ่ม ที่จ้องแย่งกันแต่อำนาจ
ลากการเมืองไทยให้กลายเป็นแบบทีใครทีมัน เฉกเช่นทุกวันนี้
อีกทั้งพวกไม่เข้าใครออกใครในสภา จ้องแต่จะหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง นานๆ วันจะออกมาหาทางแก้กฎหมายยุบพรรคกันสักที นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ทางด้านประโยชน์ของประเทศแม้แต่น้อย
ซ้ำร้ายประชาชนยังหมดที่พึ่งพิง ด้วยตัวแทนของพวกเขาในวันเลือกตั้ง แปลงสภาพกลายเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนในวันนี้เสียแล้ว
ปัญหาทั้งมวลล้วนยังคงอยู่ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และจริงใจ
สิ่งสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่นั่นคือพลังแห่งความดีงามของประชาชน ในการลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบด้วยสองขาของตัวเอง สร้างสรรค์ความเท่าเทียมกันในสังคมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ยุติการชักจูงบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ให้กลายเป็นแบบพวกมากลากไปแบบทุกวันนี้ หยัดยืนขึ้นกู่ก้องให้กลุ่มคนเหล่านั้นเห็นว่า
หมดเวลาแล้วสำหรับระบอบสามานย์ทุกรูปแบบในการโกงกินประเทศชาติ
ไม่ว่าจะเป็นระบอบสามานย์ภายใต้กระบอกปืน และรถถัง
หรือจะเป็นกลุ่มสามานย์โดยกลุ่มนักธุรกิจเลือกตั้ง ที่มองประเทศเป็นบริษัทจำกัด บริหารจัดการโดยมีธงแห่งผลกำไรเป็นหลัก
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าระบอบใดก็ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจะยิ่งพาให้บ้านเมืองเราถดถอยลงด้วยแรงแห่งความละโมบ และความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุด
เราทั้งหลาย ในนามของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้เท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศสู่สิ่งที่ดีกว่า หาใช่ผู้มีอำนาจและหน้าที่ แต่ไม่ยอมใช้อำนาจและทำหน้าที่ของตัวเองจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งตำรวจ ทหาร และกระบวนการยุติธรรมบางส่วน
ส่วนพวกที่ทำหน้าที่รับใช้ระบอบเลวร้าย ใช้เสื้อเกราะแห่งความเป็นสื่อ และนักวิชาการกำมะลอ ประดิษฐ์วาทกรรมกดหัวฝ่ายตรงข้าม ตั้งคำถามกับคนดี เชิดชูคำพูดลมลวงของคนเลว พร้อมแต่งตั้งตัวเองเป็นอารยชน สักวันก็จะเหี่ยวแห้งไปเอง หาใช่ใครที่ไหนจะไปทำร้ายทำลาย
หากแต่เป็นเพราะพ่ายแพ้ให้กับความละอายที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง อันเกิดจากอัตตาเกาะแน่นในจิตใจ ที่เห็นแจ้งรู้จริงอยู่ว่าอะไรดี อะไรเลว แต่ไม่สามารถใช้วิชาชีพของตัวเองต่อกรกับความชั่วร้ายใดๆ ได้อีกต่อไป...