ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ไม่มีเหตุผลใดๆ มาอธิบายหรือให้คำจำกัดความอื่นใดได้สำหรับการที่ “นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC นอกเสียจากความเป็น “สามี” ของ “น้องเอม-พินทองทา ชินวัตร” และความเป็น “ลูกเขย” ของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”
และจงอย่าแปลกใจที่รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของเอสซีฯ จะประกาศด้วยความภาคภูมิใจในงานเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรู “เดอะ เครสท์ ซานโตรา หัวหิน” เมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมาว่า “พ่อตา” คือต้นแบบในการทำธุรกิจ เพราะไม่มีทางที่ลูกเขยชื่อณัฐพงศ์จะไม่เดินตามรอยเท้าพ่อตา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจร่วมหอลงโรงกับน้องเอมอย่างแน่นอน
ทว่า สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งจนสังคมอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ก็คือ ขณะที่ นช.ทักษิณมอบความไว้วางใจให้กับลูกเขยผู้นี้เสมือนหนึ่งเป็นการวางตัว “ผู้สืบทอด” ทางธุรกิจ แล้วลูกชายคนโตและลูกชายคนเดียวที่ชื่อ “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” อยู่ในฐานะอะไร ทำไมถึงไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าผู้เป็นพ่อจะวางตัวให้เข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
นี่คือคำถามที่น่าค้นหาคำตอบเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเอสซี แอสเสทฯ ครั้งนี้ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็เป็นการพิสูจน์ฝีมือลูกเขยผู้นี้ว่า จะนำพาบริษัทให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปีตามที่ประกาศไว้หรือไม่ เนื่องเพราะบริษัทแห่งนี้เคยผ่านมือคนในตระกูลชินวัตรมาแล้วถึง 2 คนคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะผ่องถ่ายให้กับ “พินทองทา” ผู้เป็นเมียของณัฐพงศ์เพื่อเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
สำหรับข่าวที่นายณัฐพงศ์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารนั้น เป็นที่รับรู้กันเมื่อจู่ๆ เอสซี แอสเสทฯ แจ้งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย(แต่ก็ไม่เหนือความคาดหมาย) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2555 เวลา 19.02 น. ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ/ผู้บริหารใหม่ โดยเขยแม้วผู้นี้เป็นทั้งกรรมการหรือบอร์ดบริษัท และนั่งเป็นกรรมการบริหารหรือบอร์ดบริหาร พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งเป็น "รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร" ซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ครบถ้วน
หนังสือแต่งตั้งของเอสซีฯ ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า แต่งตั้ง นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เข้าเป็นกรรมการแทนนายชานนท์ โชติวิจิตร กรรมการคนเดิมที่ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2555 เป็น ต้นไป และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการชุดย่อย และเป็นผู้บริหารงานประจำ ดังนี้
(2.1) แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของบริษัทแทนนางสาวพินทองทา ชินวัตร กรรมการคนเดิมที่ขอลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของบริษัท ประกอบด้วย
- นางบุษบา ดามาพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร
- นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริหาร
- นายณัฎฐ์พัฒน์ เอื้อใจ กรรมการบริหาร
- นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ กรรมการบริหาร
(2.2) แต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารงานประจำในตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
3. อนุมัติกำหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทใหม่โดยให้นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแทนนางแน่งน้อย ณ ระนอง ทั้งนี้ ในส่วนตำแหน่งอื่นๆ ของนางแน่งน้อย ณ ระนอง ที่ได้รับการแต่งตั้ง คือ กรรมการ และประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน ยังคงปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม ดังนั้น ชื่อและจำนวนกรรมการซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทเป็นดังนี้
" นางบุษบา ดามาพงศ์ นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ นายณัฎฐ์พัฒน์ เอื้อใจ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สองในสี่คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท "
4. มอบหมายให้นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เข้าบริหารงานในฐานะกรรมการของบริษัท ย่อย 3 บริษัท และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทฯ แทนนางแน่งน้อย ณ ระนอง คือ
- บริษัท อัพคันทรี่ แลนด์ จำกัด
- บริษัท โอเอไอ แอสเสท จำกัด
- บริษัท วี.แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
5. รับทราบการลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และกรรมการบริหาร ของนางสาวพินทองทา ชินวัตร เนื่องจากมีความประสงค์จะไปปฏิบัติภารกิจอื่น โดยการลาออกมีผลในวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป และให้คณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนเป็นผู้ พิจารณาสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และมีความรู้ ความสามารถ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาเลือกตั้งเป็นกรรมการแทนต่อไป
และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้เพราะมีนัยสำคัญยิ่งก็คือ ที่ผ่านมารองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังไม่เคยมีมาก่อนในบริษัทฯ เพราะอดีตผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือผู้บริหารปัจจุบัน บุษบา ดามาพงศ์ จะเลือกนั่งควบสองตำแหน่ง ทั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานฯ ไปด้วยเลย ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึง “ความโปรดปราน” ที่ นช.ทักษิณมีต่อลูกเขยผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับ นช.ทักษิณแม้จะได้ชื่อว่า สร้างเนื้อสร้างตัวและร่ำรวย มาจากธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบก็คือจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขาคือการทำคอนโดมีเนียม ซึ่งเขาและคุณหญิงพจมาน ร่วมกันสร้างขึ้นบนหัวมุมถนนราชวัตร ก่อนที่จะพับเสื่อไปหลังจากที่ธุรกิจคอนโดมิเนียมยังไม่เป็นที่นิยมของคนไทยในยุคสิบปีที่แล้ว และแปรสภาพเป็นสำนักงานชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่นในยุคเริ่มต้น และใช้เป็นสำนักงานของไอบีซี เคเบิลทีวี
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2529 นช.ทักษิณยังได้จัดตั้งบริษัทยูเนี่ยน เรียลเอสเตท เพื่อทำธุรกิจให้เช่าที่ดิน ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการให้เช่าที่กับองค์การขนส่งมวลชน เป็นระยะเวลา 15 ปี ซึ่งทำรายได้ให้ประมาณ 3.2 ล้านบาท ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นเอสซี แอสเสทฯในปี 2536 และเจริญเติบโตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุดังกล่าว การที่ นช.ทักษิณให้ความไว้วางใจแต่งตั้งสามีของน้องเอมให้มานั่งบริหารงานในเอสซี แอสเสทฯ จึงมีนัยสำคัญต่อทั้งทางด้านจิตใจและเสมือนหนึ่งเป็นการวางตัวผู้สืบทอดทางธุรกิจของเขาให้สังคมได้รับทราบโดยทั่วกัน
ขณะเดียวกันก็สะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกชายคนโตและลูกชายคนเดียวของเขาที่ชื่อพานทองแท้ว่า คงจะดำรงอยู่ในฐานะ “เสี่ย” ในฐานะลูกชายของ “อดีตนายกรัฐมนตรี” และในฐานะลูกชายของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่มีขีดความสามารถไม่เพียงพอที่จะกุมบังเหียนกิจการใหญ่โตอันเป็นกระเป๋าเงินของครอบครัวได้ เพราะอายุอานามของเสี่ยโอ๊คนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วก็สมควรที่จะเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัวอย่างเป็นจริงเป็นจังได้เสียที มิใช่ลอยไปลอยมาอย่างเช่นทุกวันนี้
แน่นอน คนอย่างเสี่ยแม้วย่อมรู้จักลูกในไส้ของตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นหวยคงไม่ออกมาเยี่ยงนี้
ที่สำคัญคือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ลูกในไส้อย่างเสี่ยงโอ๊คก็มิได้เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจที่ลงมือกระทำด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย ซึ่งถามว่า กิจการที่เสี่ยโอ๊คทำ อาทิ บริษัท ฮาวคัม เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด, กิจการสตูดิโอถ่ายภาพ She @ Mood, กิจการร้านกาแฟ Cafeinn, กิจการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ มาสเตอร์โฟน ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็นด้วยฝีมือแท้ๆ ของลูกชายคนนี้บ้างหรือไม่ ดังนั้น เมื่อมีลูกเขยที่พอจะฝากความหวังเอาไว้ได้ เสี่ยแม้วจึงไม่ลังเลใจที่จะทดลองศักยภาพในเชิงธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับณัฐพงศ์ต้องบอกว่า เขยแม้วผู้นี้ไม่ใช่หน้าละอ่อนในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากแต่มีประสบการณ์ในแวดวงนี้พอตัวเลยเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นน้องเอมเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้คบหาเป็นแฟนกับนายณัฐพงศ์คงไม่หอบหิ้วเอาโครงการคอนโดมีเนียมที่ตนเองกับอุ๊งอิ๋งคิดสร้างขึ้นบนที่ดินส่วนตัวของคุณหญิงพจมานไปขอคำปรึกษา กระทั่งพัฒนากลายเป็นความรักและตัดสินใจร่วมหอลงโรงกันในท้ายที่สุด
ข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของนายณัฐพงศ์เองทำให้ทราบมาสามีของน้องเอมผู้นี้จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่เดอพอล ยูนิเวอร์ซิตี้ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทยก็เข้าทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ทันทีเพราะอยากเป็นดีเวลลอปเปอร์
“ผมไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ผมทำงานด้านอสังหาฯมาตลอด ทั้งจากบริษัทพัฒนา จากบริษัทที่ปรึกษา เปิดบริษัทตนเองทั้งสายที่ปรึกษาและสายพัฒนาอสังหาฯ ผมเคยทำงานกับบริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังสี ) และบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ฯ เมื่อต้นปี 2010 ร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดธุรกิจของตัวเอง ชื่อว่า บริษัท ฟิชแมน จำกัด รับปรึกษาด้านการตลาด พัฒนาอสังหาฯ และวางแผนสื่อโฆษณา ขณะเดียวกัน ผมก็เข้าหุ้นกับคุณพ่อเปิดบริษัท คูณ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยเริ่มโปรเจ็กต์แรกเป็นโครงการสร้างบูติกโฮเต็ล ชื่อ เรมอน ทรี โฮเทล แถวประตูน้ำ ขอที่ดินจากทางบ้านมาทำ ผมเรียนสถาปัตย์มา เป็นคนชอบสร้าง จะมีเซนต์ของคนชอบสร้าง การเป็นดีเวลลอปเปอร์ก็เป็นการสร้าง ส่วนตัวชอบดีไซน์ ชอบสถาปัตยกรรมพอทำงานมากขึ้น เจอดีเวลลอปเปอร์ ก็มีความชอบดีเวลลอปเปอร์มากกว่า ตอนเรียนปีสุดท้ายคิดไว้ว่าจะทำงานด้านอสังหาฯ
“ผมเคยอยู่ทั้งสองฟิว ทั้งพัฒนาอสังหาฯ และที่ปรึกษาอสังหาฯ วิธีการคิดและการทำงานต่างกัน ที่ปรึกษาต้องคิดทั้งหมด จุดได้จุดเสีย แต่การเป็นดีเวลลอปเปอร์ เอาข้อมูลทั้งหมดมาตัดสินใจให้ได้ เพราะมีข้อดีข้อเสียความท้าทายของอสังหาฯ นอกจากเรื่องโปรดักท์ชิ้นใหญ่ ต้องอาศัยคนหลายคนในการร่วมกันพัฒนา ความรู้หลายด้าน ยังมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ ทำอสังหาฯ อย่างน้อยปัจจัยภายในต้องควบคุมให้ได้ทั้งหมด ปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจโลกตก น้ำท่วม อสังหาฯทำภายในให้พร้อมที่สุด ส่วนปัจจัยภายนอกต้องประเมินและเตรียมความพร้อมรับมือให้ได้มากที่สุด อสังหาฯมีวงจรทั้งขึ้นและลง ทำอย่างไรให้ช่วงที่เป็นขาลงยังมีรายได้เข้ามา ต้องดูสินค้าไหนเหมาะกับช่วงที่เป็นขาลง ช่วงขึ้นทำให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ผมเข้ามาในบริษัทนี้ที่ใหญ่ขึ้น ความกดดันมีบ้างแต่ไม่ได้มองเป็นอุปสรรค แต่มองเป็นสิ่งที่ช่วยเราพัฒนาได้มากขึ้น การพิสูจน์ตัวเอง คงไม่ใช่เวลาหนึ่งเดือน สองเดือน หนึ่งปี สองปี แต่มองเป็นภาพใหญ่ในการช่วยให้เอสซีฯ แข็งแรงขึ้นและเติบโตมากขึ้นในอีกหลายปีมากกว่า”ณัฐพงศ์บอกเล่าเส้นทางชีวิตของตัวเองในการเปิดตัวโครงการคอนโดมีเนียมเดอะเครสท์ ซานโตรา หัวหิน
ส่วนความรับผิดชอบในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารนั้น เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าณัฐพงศ์จะดูแลใน 3 ส่วนด้วยกันคือ หนึ่ง-ส่วนของบุคลากรหรือการพัฒนากำลังคน สอง-การพัฒนาเบรนด์เอสซี แอสเสทฯ ให้เป็นที่รับรู้ถึงคุณภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสาม-พัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับสภาพตลาดการใช้สอยของลูกค้า
และแน่นอน เมื่อถามถึงเป้าหมายในการเข้ามากุมบังเหียนในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอสซี แอสเสทฯ ณัฐพงศ์ย่อมต้องมีทิศทางในการทำงานเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อย่างน้อย 5 ปีเราต้องไปถึงจุดที่วางไว้ คือ อย่างน้อยที่สุดการเป็นบริษัทผู้นำอสังหาฯที่สมบูรณ์แบบ วันนี้ยังไม่อยากพูดถึงอนาคต อย่างน้อยเอสซีฯ ที่ผ่านมาโตต่อเนื่อง เราวางเป้าหมายถึงหมื่นล้าน เราไม่เน้นโตอย่างเร็ว ไม่สำคัญเท่ากับการโตอย่างมั่นคง ไม่ได้สนใจว่าท็อปไฟว์หรือเปล่า ไม่ได้มองว่าไปอยู่ตรงนั้นแล้วสำเร็จ วันนี้เราทำตามแผนที่วางไว้และให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ถ้าเราจะทำตามเป้าหมายแต่ละปี ต้องทำได้ทั้งยอดขาย รายได้และกำไรด้วย และสินค้าต้องมีคุณภาพด้วย
“เราต้องการจับลูกค้าหลากหลายมากขึ้น มีสินค้ามากขึ้น ไม่ว่ากลุ่มเซ็กเมนต์ไหนก็ตาม ลูกค้าต้องมองเราเป็นตัวเลือก 1 ใน 3 ที่จะต้องซื้อ ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของเราเป็นระดับกลางขึ้นไป เราโตมาจากเซ็กเมนต์กลางถึงบน วันหนึ่งบริษัทโตขึ้นเรื่อยๆ เซ็กเมนต์ต้องแตกลงมาทำตลาดล่างมากขึ้น โดยเราไม่มองแค่เรื่องราคาเพียงอย่างเดียว ถึงจะทำให้เติบโต แต่เรามองโลเคชั่นด้วย ซึ่งวันนี้เราจับตลาดต่างจังหวัดหัวเมืองมากขึ้น พฤติกรรมเปลี่ยนมากขึ้น ทุกอย่างต้องปรับไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ใครจะคิดว่าตลาดหัวหินเป็นที่ต้องการ ปัญหาน้ำท่วมจะเกิดขึ้น เอสซีมองตลาดหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะคนกรุงเทพฯ เริ่มมองหาบ้านหลังที่สองในหัวเมืองมากขึ้น
“ตลาดหัวหินคนไทยซื้อ 70% เป็นบ้านหลังที่ 2 ที่เหลือเป็นต่างชาติ เมื่อตลาดมีดีมานด์มากขึ้นเราก็ต้องวิ่งเข้าหาตลาดที่มีการเติบโต ชาวสิงคโปร์ กับจีน มีการซื้อเยอะมาก ถ้าหลุดจาก 2 กลุ่มนี้ไปก็เป็นยุโรป มีทั้งลงทุนและอยู่รีไทร์ เอสซีฯ โตมาจากบ้านหรู คอนโดฯพรีเมียมเราก็จะทำด้วย พอเราทำอะไรที่คุ้นเคยกับต่างชาติ การที่ออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศจะทำให้ต่างประเทศรู้จักเรามากขึ้น เป็นการขยายฐานลูกค้า เราก็จะใช้ดาต้าเบสให้เกิดประโยชน์ในอนาคต เป็นการปูทางไว้ ถ้าจะไปจับกลุ่มเซ็กเม้นต์นั้น ผมชอบนักธุรกิจหลายๆ คน อย่างสตีปจ๊อป ผมชอบเขาแม้เขาไม่ได้ทำอสังหา ฯ แต่แนวคิดเขากล้าที่จะใช้อินโนเวชั่น เขาไม่ได้คิดจะทำสินค้าอะไรเพียงอย่างเดียว แต่คิดว่าสินค้านั้นคนใช้ ใช้อย่างไร คนใช้ขาดอะไร ตอบสนองเพื่ออะไร อย่างคิดโทรศัพท์ สตีปจอปคิดว่าสินค้าอย่างไรที่คนใช้อยากใช้ และมีหลายคนที่เป็นโรลโมเดลคุณทักษิณก็เป็นแบบอย่างในด้านการทำธุรกิจของผมเหมือนกัน”
นั่นคือเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ณัฐพงศ์ได้ประกาศเอาไว้ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า เอสซี แอสเซทฯ ภายใต้การคุมเกมของณัฐพงศ์จะทำให้บริษัทแห่งนี้ก้าวเดินและเติบใหญ่ไปในทิศทางใด....เพราะงานนี้ นช.ทักษิณต้องการวัดฝีมือลูกเขยอย่างเต็มที่
จะสงสารก็แต่ “เสี่ยโอ๊ค” ซึ่งเป็นลูกในไส้ที่ต้องนั่งน้ำตาตกใจ เพราะผู้เป็น พ่อไม่ไว้ใจเนื่องจากไม่มั่นใจในความสามารถของลูกชายตัวเอง