นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส่งเรื่องถึงผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบจริยธรรมตน กรณีที่ไปเป็นผู้บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่น 3 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยไม่ออกนั่งบัลลังก์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมาว่า
กรณีดังกล่าวไม่น่าจะขัดประกาศศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เนื่องจากในวันนั้นได้ทำหน้าที่ประชุมและลงมติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่จะไปบรรยาย ก็ได้แจ้งต่อนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าได้รับเชิญให้ไปบรรยายพิเศษที่สำนักงาน กกต.ไว้แล้วเช่นกัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ
นอกจากนี้การออกนั่งบัลลังก์ในวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องออกนั่งบัลลังก์ครบทั้ง 9 คน เนื่องจากการอ่านคำสั่งในวันนั้น เป็นการจำหน่ายคดี ซึ่งหัวใจสำคัญของการพิจารณาคดีต่างๆ นั้นอยู่ที่การลงมติมากกว่าที่ตุลาการจะต้องอยู่ในที่ประชุมครบทุกคน จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้
นายจรัญกล่าวว่า การที่นายเรืองไกรยื่นเรื่องตรวจสอบจริยธรรมตนนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า
“คนที่จะกล่าวหาผู้อื่นกระทำผิดนั้น ควรที่จะมีการตรวจสอบรายละเอียดให้เกิดความรอบคอบเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเกิดความเสียหายได้ ทั้งที่ความจริงแล้วบุคคลนั้นไม่ได้กระทำการอะไรที่ผิดเลย แต่ผมไม่ได้ถือว่าการเป็นบุคคลสาธารณะอยู่ในตำแหน่งตุลาการแล้ว ใครจะทำหน้าที่ตรวจสอบไม่ได้ หากเห็นว่าเราทำไม่ถูกไม่ควรก็สามารถบอกกล่าวกันได้” นายจรัญกล่าว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นั้นได้ชื่อว่าเป็นนักตรวจสอบคนหนึ่ง เคยตรวจสอบคนชั่ว คนหนีภาษีจนส่งผลให้เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญในวงสังคม จนกระทั่งได้รับการสรรหาให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา นายเรืองไกรมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากที่เคยตรวจสอบคนชั่ว คนเลว เขากลับไม่สนใจพฤติกรรมของคนชั่ว คนเลว กลับมาพยายามที่จะตรวจสอบคนดี เช่น เห็นการรับเชิญไปบรรยายความรู้ให้นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมที่ กกต.เป็นเรื่องผิดจริยธรรม เห็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันหนีการประชุมไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์เป็นเรื่องปกติ เห็นเรื่องที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่เขาเคยตรวจสอบเรื่องภาษีทำร้ายประเทศเป็นเรื่องปกติ
นายเรืองไกร เมื่อพ้นจากตำแหน่งวุฒิสภาแล้วก็ไม่ได้รับการสรรหาให้กลับมาเป็นวุฒิสภาอีก แต่ก็ยังคงเดินหน้าเป็นนักตรวจสอบอยู่
ความพยายามที่จะตรวจสอบคนดีอย่างนายจรัญ จึงได้แต่พยายามที่จะทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นรื่องขึ้นมาให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะดิสเครดิตของนายจรัญ ภักดีธนากุล หรือถ้าหากสามารถทำให้ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ลดความน่าเชื่อถือลงได้ก็จะยิ่งเป็นเรื่องวิเศษ
พวกเขาไม่สามารถหาเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ผิดพลาดได้ เพราะคนดีๆ เขาจะไม่ทำผิด ไม่ทำชั่ว เช่น ไม่โกงภาษี ไม่เผาบ้านเผาเมือง ไม่คอร์รัปชัน ฯลฯ
เพราะพวกเขาต้องการที่จะยุบทิ้งทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เราก็เคยได้รู้กันอยู่แล้วว่ามีความพยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญโดยสร้างคลิปอื้อฉาวต่างๆ ขึ้น ไอ้คนที่ถูกแจ้งความ และถูกดำเนินคดีว่ามีส่วนร่วมในการสร้างคลิป ปล่อยคลิปเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยก็สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูให้มันมีอยู่มีกินในกระทรวงสาธารณสุขเหมือนคนอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่รับใช้ระบอบทักษิณ ก็จะได้รับปูนบำเหน็จให้มีตำแหน่งแห่งที่ ถ้าหากเป็นข้าราชการประจำก็จะได้เลื่อนตำแหน่งมีความมั่นคง ถ้ามิใช่ข้าราชการก็หาตำแหน่งทางการเมืองให้ เป็นที่ปรึกษาบ้าง เป็นเลขา ผู้ช่วยเลขาบ้าง ถ้าหากตาย บาดเจ็บ ก็เอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย 7.5 ล้านบาทบ้าง 4 ล้านบาทบ้าง 3 ล้านบาทบ้าง แล้วแต่กรณี ไม่เห็นหรือที่ทำกันอยู่เวลานี้?
ถ้าหากนายเรืองไกรสำรวจดูตัวเองสักนิดก็จะพบว่า ทุกวันนี้ความน่าเชื่อถือที่สังคมมีต่อตัวเองจะลดลงไป แตกต่างกับสมัยที่เคยตรวจสอบคนชั่ว คนเลว สังคมจะให้ความเคารพยกย่อง แต่ก็อีกนั่นแหละ นายเรืองไกรก็อาจจะได้สำรวจพบความจริงดังกล่าวนี้แล้ว แต่ก็ยังเดินหน้าที่จะทำเช่นนี้ต่อไป เพราะนายเรืองไกรอาจจะพอใจกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต นายเรืองไกรอาจจะมั่งคั่ง มั่นคงขึ้นก็เป็นได้
มนุษย์เราก็เช่นนี้เอง อยู่ที่ว่าใครจะเลือกทางเดิน นักการเมืองที่รับใช้ทักษิณคนหนึ่งมันถามครูของมันว่า “เคยเห็นไหมครู ครูเคยเห็นเงินสดๆไหม 5 ล้าน 10 ล้าน 20 ล้าน ครูเคยเห็นไหม ครูเคยได้จับไหม?” เมื่อครูเตือนสติมัน มันกลับพูดคนละเรื่อง
แน่นอนว่าครูของนักการเมืองที่รับใช้ทักษิณย่อมไม่เคยเห็นและไม่เคยจับแน่ ถ้าหากเคยเห็นเคยจับก็คงจะไม่ต้องมาเสียเวลาเตือนสติลูกศิษย์ชั่วแน่ๆ
กรณีดังกล่าวไม่น่าจะขัดประกาศศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เนื่องจากในวันนั้นได้ทำหน้าที่ประชุมและลงมติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่จะไปบรรยาย ก็ได้แจ้งต่อนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าได้รับเชิญให้ไปบรรยายพิเศษที่สำนักงาน กกต.ไว้แล้วเช่นกัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ
นอกจากนี้การออกนั่งบัลลังก์ในวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องออกนั่งบัลลังก์ครบทั้ง 9 คน เนื่องจากการอ่านคำสั่งในวันนั้น เป็นการจำหน่ายคดี ซึ่งหัวใจสำคัญของการพิจารณาคดีต่างๆ นั้นอยู่ที่การลงมติมากกว่าที่ตุลาการจะต้องอยู่ในที่ประชุมครบทุกคน จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้
นายจรัญกล่าวว่า การที่นายเรืองไกรยื่นเรื่องตรวจสอบจริยธรรมตนนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า
“คนที่จะกล่าวหาผู้อื่นกระทำผิดนั้น ควรที่จะมีการตรวจสอบรายละเอียดให้เกิดความรอบคอบเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเกิดความเสียหายได้ ทั้งที่ความจริงแล้วบุคคลนั้นไม่ได้กระทำการอะไรที่ผิดเลย แต่ผมไม่ได้ถือว่าการเป็นบุคคลสาธารณะอยู่ในตำแหน่งตุลาการแล้ว ใครจะทำหน้าที่ตรวจสอบไม่ได้ หากเห็นว่าเราทำไม่ถูกไม่ควรก็สามารถบอกกล่าวกันได้” นายจรัญกล่าว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นั้นได้ชื่อว่าเป็นนักตรวจสอบคนหนึ่ง เคยตรวจสอบคนชั่ว คนหนีภาษีจนส่งผลให้เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญในวงสังคม จนกระทั่งได้รับการสรรหาให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา นายเรืองไกรมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากที่เคยตรวจสอบคนชั่ว คนเลว เขากลับไม่สนใจพฤติกรรมของคนชั่ว คนเลว กลับมาพยายามที่จะตรวจสอบคนดี เช่น เห็นการรับเชิญไปบรรยายความรู้ให้นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมที่ กกต.เป็นเรื่องผิดจริยธรรม เห็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันหนีการประชุมไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์เป็นเรื่องปกติ เห็นเรื่องที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่เขาเคยตรวจสอบเรื่องภาษีทำร้ายประเทศเป็นเรื่องปกติ
นายเรืองไกร เมื่อพ้นจากตำแหน่งวุฒิสภาแล้วก็ไม่ได้รับการสรรหาให้กลับมาเป็นวุฒิสภาอีก แต่ก็ยังคงเดินหน้าเป็นนักตรวจสอบอยู่
ความพยายามที่จะตรวจสอบคนดีอย่างนายจรัญ จึงได้แต่พยายามที่จะทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นรื่องขึ้นมาให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะดิสเครดิตของนายจรัญ ภักดีธนากุล หรือถ้าหากสามารถทำให้ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ลดความน่าเชื่อถือลงได้ก็จะยิ่งเป็นเรื่องวิเศษ
พวกเขาไม่สามารถหาเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ผิดพลาดได้ เพราะคนดีๆ เขาจะไม่ทำผิด ไม่ทำชั่ว เช่น ไม่โกงภาษี ไม่เผาบ้านเผาเมือง ไม่คอร์รัปชัน ฯลฯ
เพราะพวกเขาต้องการที่จะยุบทิ้งทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เราก็เคยได้รู้กันอยู่แล้วว่ามีความพยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญโดยสร้างคลิปอื้อฉาวต่างๆ ขึ้น ไอ้คนที่ถูกแจ้งความ และถูกดำเนินคดีว่ามีส่วนร่วมในการสร้างคลิป ปล่อยคลิปเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยก็สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูให้มันมีอยู่มีกินในกระทรวงสาธารณสุขเหมือนคนอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่รับใช้ระบอบทักษิณ ก็จะได้รับปูนบำเหน็จให้มีตำแหน่งแห่งที่ ถ้าหากเป็นข้าราชการประจำก็จะได้เลื่อนตำแหน่งมีความมั่นคง ถ้ามิใช่ข้าราชการก็หาตำแหน่งทางการเมืองให้ เป็นที่ปรึกษาบ้าง เป็นเลขา ผู้ช่วยเลขาบ้าง ถ้าหากตาย บาดเจ็บ ก็เอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย 7.5 ล้านบาทบ้าง 4 ล้านบาทบ้าง 3 ล้านบาทบ้าง แล้วแต่กรณี ไม่เห็นหรือที่ทำกันอยู่เวลานี้?
ถ้าหากนายเรืองไกรสำรวจดูตัวเองสักนิดก็จะพบว่า ทุกวันนี้ความน่าเชื่อถือที่สังคมมีต่อตัวเองจะลดลงไป แตกต่างกับสมัยที่เคยตรวจสอบคนชั่ว คนเลว สังคมจะให้ความเคารพยกย่อง แต่ก็อีกนั่นแหละ นายเรืองไกรก็อาจจะได้สำรวจพบความจริงดังกล่าวนี้แล้ว แต่ก็ยังเดินหน้าที่จะทำเช่นนี้ต่อไป เพราะนายเรืองไกรอาจจะพอใจกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต นายเรืองไกรอาจจะมั่งคั่ง มั่นคงขึ้นก็เป็นได้
มนุษย์เราก็เช่นนี้เอง อยู่ที่ว่าใครจะเลือกทางเดิน นักการเมืองที่รับใช้ทักษิณคนหนึ่งมันถามครูของมันว่า “เคยเห็นไหมครู ครูเคยเห็นเงินสดๆไหม 5 ล้าน 10 ล้าน 20 ล้าน ครูเคยเห็นไหม ครูเคยได้จับไหม?” เมื่อครูเตือนสติมัน มันกลับพูดคนละเรื่อง
แน่นอนว่าครูของนักการเมืองที่รับใช้ทักษิณย่อมไม่เคยเห็นและไม่เคยจับแน่ ถ้าหากเคยเห็นเคยจับก็คงจะไม่ต้องมาเสียเวลาเตือนสติลูกศิษย์ชั่วแน่ๆ