ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปทุมธานี พื้นที่สีแดงของพรรคเพื่อไทย สร้างความไม่พอใจให้กับ “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” เป็นอย่างยิ่ง
ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร พานทองแท้ ชินวัตร
แต่ผลที่เกิดขึ้นได้สะท้อนข้อเท็จจริงทางการเมือง ณ เดือนเมษายน ปี 55 ในระดับหนึ่ง
ประเด็นสำคัญ คือ การตลาดของพรรคเพื่อไทย กำลังมีอาการ “กลวงใน”
สัญญาลูกผู้หญิงของนายกรัฐมนตรี ไม่ปรากฏออกมาให้เห็น แต่ใช้การ “สร้างภาพ” ว่าทำจริง
ที่สำคัญ “ความไม่เอาไหน” กับวิธีการ “เอาอยู่” ของยิ่งลักษณ์ กำลังถูกทำโทษ
ข้อเท็จริงทางการเมืองก็คือ การเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทย และเสื้อแดง กวาด ส.ส.ปทุมธานี เรียบทั้ง 6 เขต 6 ที่นั่ง
แต่ผลการเลือกตั้งซ่อม เขต 5 อำเภอลำลูกกา แทน ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ที่ลาออกไปสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปรากฏว่า นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ชนะคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย
ไม่ว่าจะชนะเท่าไหร่...ความหมายก็คือ ผู้ชนะได้เป็นส.ส.
ทั้งนี้ คะแนนของผู้สมัครทั้งหมด ได้แก่ หมายเลข 1 นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนรวม 24,119 คะแนน หมายเลข 2 นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนรวม 27,981 คะแนน และหมายเลข 3 นายณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย พรรคไทยมหารัฐพัฒนา ได้คะแนนรวม 347 คะแนนหลัง
แม้ว่ามีผู้มาสิทธิเพียง 37 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
แตกต่างจากคะแนนที่ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ชนะด้วยคะแนนสูงสุดของจังหวัดปทุมธานี 49,524 คะแนน ในการเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ ปี 2554
แต่ผ่านมาเพียงปีเดียว ตัวเลขทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ในปทุมธานี แตกต่างจากที่เคยเป็น
ที่สำคัญ ยังคนอีกจำนวนมาก ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง รวมทั้งคนเสื้อแดง
จนทำให้ ทักษิณ สะบัดหน้าเหลี่ยมด่า ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ในที่ประชุมพรรค ว่าเป็นต้นเหตุของการแพ้เลือกตั้ง และจะไม่ส่งลงเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยอีก
ตามมาด้วยการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของ ”พานทองแท้ ชินวัตร” ทายาทของทักษิณ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ถึงกรณีพรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จ.ปทุมธานี ว่า
“ เพียงช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยต้องเสียที่นั่ง ส.ส.เขตไปถึง 2 ที่นั่ง ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย คิดว่า ส.ส.ในพรรคน่าจะถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษา และถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ควรเกิดขึ้นอีก และคิดว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น”
ลูกชายเจ้าของพรรค ได้สั่งสอน ส.ส.ในพรรคต่อ อีกว่า
“ เรื่องแรกคือกรณีที่ ส.ส.จังหวัดปทุมธานี (ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี) ลาออกมาเพื่อลงเลือกตั้งนายก อบจ. ผมคิดว่าพรรคการเมืองทุกพรรคเคารพการตัดสินใจของส.ส.ในพรรคทุกท่านนะครับ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย ซึ่งจุดศูนย์กลาง คือประชาชน หากใครที่คิดว่าลงเลือกตั้ง ส.ส.แล้วจะเปลี่ยนใจเป็นอื่น ก็ไม่ควรอาสามารับใช้ประชาชน”
“ อย่าลืมว่าที่ประชาชนเลือกท่านมา ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนของพรรค เมื่อท่านตัดสินใจทำสิ่งใดที่เป็นการละทิ้งหน้าที่ และเขาต้องการจะแสดงพลังให้ ส.ส. ที่เขาเคยเลือกไปนั้นทราบว่า เขาไม่เห็นด้วย พลังดังกล่าวนั้นย่อมกระทบกระเทือนถึงภาพลักษณ์โดยรวมของพรรค ทำให้คนบางคนฉวยโอกาสใช้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ มาโจมตีว่า คะแนนนิยมของพรรคตกต่ำลง”
นั่นหมายความว่า การที่ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ได้รับเลือกตั้ง เพราะความนิยมในพรรคเพื่อไทย ดังนั้นการที่ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ พ่ายแพ้ เป็นเพราะชาวปทุมธานี ไม่เห็นด้วยที่ลาออกไปลงสมัคร นายก อบจ. (เพื่อหวังรวยจากงบประมาณ) แต่ไม่ใช่เพราะคะแนนความนิยมพรรคตกต่ำ ตามความเข้าใจของพานทองแท้
“โดยส่วนตัวผมคิดว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มากขึ้นของพี่น้องประชาชน เป็นพัฒนาการทางการเมือง ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ ส.ส.ทุกท่านทำงานหนักขึ้น โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น ซึ่งประโยชน์ย่อมตกกับพี่น้องประชาชนครับ”
ลูกชายเจ้าของพรรคยังเขียนอีกว่า “อีกกรณีหนึ่งก็คือเรื่องของ ส.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์...กรณีนี้ มิได้เกิดจากความบกพร่องในการรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด โดยไม่เจตนาเกี่ยวกับการแสดงบัญชีทรัพย์สินในส่วนของเงินกู้ยืม และต้องมารับโทษแบนถึง 5 ปี ”
“ การเลือกตั้งซ่อมเขตของน้องเชียร์ จะเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า พี่น้องประชาชนยังนิยมในพรรคเพื่อไทยอยู่อย่างเดิมหรือไม่ เราจะลบคำสบประมาทว่า กระแสพรรคตกต่ำได้หรือไม่”
“ ผมขอเพียงแต่หากพรรคเพื่อไทยกระแสไม่ตกจริง และพ่อแม่พี่น้องชาวเชียงใหม่ เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลาย ขอให้ขาประจำทั้งหลาย ยอมรับความจริง และเลิกกล่าวหากันแบบไร้สติเสียที โดยเฉพาะมุกเดิมๆ แพ้อำนาจเงิน แพ้อำนาจรัฐ น่าจะหมดไปจากการเมืองไทยได้แล้วนะครับ”
พานทองแท้ ช่างล้าหลังกับการเมืองไทยเสียจริง
แปลไทยเป็นไทยก็คือ เขาเชื่อว่า ข้อเท็จจริงทางการเมืองที่ปทุมธานี ไม่ได้บอกว่า พรรคเพื่อไทยตกต่ำ
และเขากำลังเรียกร้องให้การเลือกตั้งซ่อมที่เชียงใหม่ ชดเชยข้อเท็จจริงที่ปทุมธานี
คนละจังหวัด คนละสนามเลือกตั้ง แต่คุณโอ๊ค เอามายำมั่วซั่ว
ที่สำคัญยังท่องภาษาเดิมๆ ของพ่อมาอธิบาย การกระทำผิดกฎหมายของน้องสาวอีก นั่นคือ “ความเข้าใจผิดโดยไม่เจตนา” เหมือนกับ “บกพร่องโดยสุจริต”
ข้อความเหล่านี้ จึงเป็น “ข้อความที่ไร้สติ” พอสมควร
เช่นเดียวกับ ความกะล่อนในคำอธิบายของ “แดงหน้าเหี่ยว” ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บอกว่า “การพ่ายแพ้อาจเกิดจากการเลือกตั้งที่จัดเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นแบบกระทันหัน อีกทั้งอาจจะเกิดจากที่ ส.ส. ลงพื้นที่ไม่ทั่วถึงในช่วงที่เกิดอุทกภัย”
กลับไปโทษคนจัดการเลือกตั้งเสียนี่
ตอนพูด คุณธิดา อาจจะใช้เท้าแทนหัวพูด
ที่สำคัญเธออ้างว่า การทำงานของ ส.ส.ไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง เป็นคนละส่วนกัน
ตรงกันข้ามกับ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บอกในเรื่องเดียวกันว่า “เรื่องที่คนเสื้อแดงไม่สนับสนุนนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ไม่มีทางแยกจากกันได้ ถ้าแยกเมื่อไหรก็แพ้ทั้งคู่"
ตกลงว่า เป็นคนกลุ่มเดียวกัน หรือ ไม่เกี่ยวกัน !!??
แต่คนทั่วไป เขาไม่ต้องการคำอธิบายแบบเอาสีข้างถู เพราะข้อเท็จจริงทางการเมือง ล้วนแต่บ่งชี้ชัดอยู่แล้ว
ปัญหาคือ คนไทยไม่ชอบพวกสร้างโรงน้ำแข็ง ปั้นน้ำเป็นตัวไปวันๆ แบบแดงหน้าเหี่ยว
กระนั้นก็ตาม เหตุผลแห่งความพ่ายแพเชิงประจักษ์ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนปทุมธานีผิดหวังกับพรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง อย่างมิรู้ลืมกับ “ความไม่เอาไหน” ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
แต่คนปทุมธานี ก็ยังไม่ถึงกับ เทใจให้พรรคประชาธิปัตย์
พวกเขาเลือกคนทำงาน มากกว่าพวกเจ้าเล่ห์ หลอกให้เลือกไปวันๆ
แม้กระทั่งการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมานี ก็บ่งบอกว่า คนปทุมธานี ไม่โง่ให้พรรคเพื่อไทยหลอกอีก
ปรากฏว่า ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี อดีต ส.ส. ที่ยอมลงทุนลาออกมาสมัครเพื่อหวัง คั่วงบงบประมาณของจังหวัดปทุมธานี “สอบตก”
หลายคนจึง “สมน้ำหน้า” ที่คนปทุมธานี สั่งสอนคนหลอกลวง หลังจากเคยเทคะแนนให้เป็นส.ส.
ทั้งนี้ ผลคะแนนการเลือกตั้งนายกอบจ. ปทุมธานี จากผู้สมัครนายกอบจ. จำนวน 5 คน ประกอบหมายเลข 1 นายชาญ พวงเพ็ชร อดีตนายกอบจ. หมายเลข 2 ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี อดีต ส.ส.เขต 5 พรรคเพื่อไทย หมายเลข 3 นายสุพจน์ ศรีสุวรรณ หมายเลข 4 นายชาญ หอมหวาน และ หมายเลข 5 นายสมนึก สอนเนย หลังการปิดหีบลงคะแนน เมื่อเวลา 15.00 น. จากจำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งจังหวัด 1,057 หน่วย
ผลปรากฏว่า เบอร์ 1 นายชาญ ได้ 214,429 คะแนน เบอร์ 2 ว่าที่ รต.สุเมธ ได้ 110,974 คะแนน เบอร์ 3 นายสุพจน์ได้ 2,032 คะแนน เบอร์ 4 นายชาญ ได้ 958 คะแนน และ เบอร์ 5นายสมนึก ได้ 785 คะแนน จากผลคะแนน นายก อบจ.คนใหม่ก็คือ นายชาญ มีคะแนนทิ้งห่าง ว่าที่รต.สุเมธ ถึง 103,455 คะแนน
โดยมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 49 % ของประชาชนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 721,058 คน
ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งตำแหน่ง นายกอบจ. ของผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะที่จังหวัดปทุมธานีเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ พล.ท.มะ โพธิ์งาม อดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ก็พ่ายแพ้แก่ นายรังสรรค์ รัศมีฤกษ์เศรษฐ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งนายกอบจ. กาญจนบุรี
นั่นหมายความว่า สนามเลือกตั้งส.ส.ของกาญจนบุรี ในอนาคต อาจจะเป็นประชาธิปัตย์ทั้งหมด
เพราะข้อเท็จจริงทางการเมืองในปัจจุบัน บ่งบอกว่า นายกอบจ. มีอิทธิพลต่อคะแนนการเลือกตั้งส.ส. มากที่สุด เพราะมีงบประมาณจำนวนมากอยู่ในมือ
“ปรากฏการณ์นี้จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป เพราะตอนนี้การเมืองอุดมการณ์ การแก้ไขรัฐธรรรมนูญ มันกินไม่ได้แล้ว ประชาชนอยากเห็นรัฐบาลแก้ปัญหา ปากท้องมากกว่าเอาเวลาและเงินไปเยียวยาคนเผาบ้านเผาเมือง??????????” นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งการความพ่ายแพ้หลายครั้ง ของพรรคเพื่อไทย
น้ำท่วม ของแพง คนตกงาน ความขัดแย้ง.....
ยังคงเป็น 3 เรื่องสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วไปผิดหวังกับพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง
แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี คนหนึ่งบอกกับนักข่าวว่า สาเหตุที่ นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ พ่ายแพ้ต่อ นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง นั้น เนื่องจากในช่วงวิกฤติมหาอุทกภัย เมื่อปลายปี 54 ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ลงมาดูแลความเดือดร้อนของชาวบ้านว่าได้รับความลำบากมากเพียงใดในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้อย่างย่อยยับในครั้งนี้
สอดคล้องกับข้อสังเกตุของ “เทพไท เสนพงศ์” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุสาเหตุที่ นายสมชาย ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย (พท.) แพ้ให้กับ นายเกียรติศักดิ์ ผู้สมัครของปชป. มาจาก 3 สาเหตุได้แก่
1. ผู้สมัครของเพื่อไทย เป็นคนนอกพื้นที่ ต่างกับผู้สมัครของประชาธิปัตย์ ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านต่อเนื่อง ทำให้สามารถชนะใจสำเร็จ
2. การบริหารงานของรัฐบาลนี้ผิดพลาด เห็นได้จาก ทั้งๆที่ จ.ปทุมธานี เป็นของพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย แต่กลับช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมล่าช้า และไม่ทั่วถึง นโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ก็ล้มเหลว ทำให้คนตกงาน และสินค้าราคาแพง
3. ชาวบ้านเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง เพราะการที่จู่ๆ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ลาออกจากส.ส.ไปลงเลือกตั้ง นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพราะหวังจะได้บริหารงบประมาณของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ชาวบ้านรับไม่ได้
ที่สำคัญ ปรากฏการณ์ที่ ปทุมานี ยังบ่งบอกอีกว่า คนเสื้อแดงไม่ใช่พลังทางการเมืองในการชี้ขาดความพ่ายแพ้ หรือชัยชนะ
แต่พลังของประชาชนในพื้นที่ ที่ได้รับความเดือดร้อนต่างหาก คือของจริง
ขณะเดียวกัน ชัยชนะเพียงเฉียดฉิว ของประชาธิปัตย์ ก็บ่งบอกเช่นเดียวกันว่า ประชาธิปัตย์ ยังไม่ชนะใจคนปทุมธานีได้ทั้งหมด
หากการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ยังพ่ายแพ้แก่เพื่อไทย
ก็เป็นเรื่องปกติของข้อเท็จจริงทางการเมือง
แต่หากพ่ายแพ้แบบ ไม่ห่างมากนัก นั่นคือ ชัยชนะของประชาธิปัตย์
เพราะฐานเสียงของใครของมัน
แต่ที่สำคัญ ความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทย เพื่อต้องการอำนาจ และความร่ำรวยจากตำแหน่งทางเมือง ยังมีอยู่สูง
จนทำให้ “พิชิต ตามูล” แกนนำ นปช.เชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ข่มขู่พรรคเพื่อไทย ว่า “หากพรรคส่งคนที่ประชาชนไม่เห็นชอบ หรือเป็นเผด็จการในพรรค อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเลือกตั้งส.ส. หรือ นายกอบจ.ปทุมธานี ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน”
อำนาจ...ไม่เข้าใครออกใครง่ายๆ หรอก !!