อุดรธานี/เชียงใหม่ - ดีเอสไอส่งทีมสอบสวนลงพื้นที่อุดรฯ เรียกสอบหัวหน้าเภสัชกร รพ.ศูนย์อุดร-ผอ.รพ.สต.ทั้ง 30 แห่งทั่วจังหวัดสืบค้นหาเบาะแสจุดเชื่อมโยงขั้นตอนในกระบวนการสั่งซื้อยาแก้หวัดซูโดอีเฟดรีนที่หายไปก่อนรวบรวมหลักฐานประกอบคดี ฃณะ จนท.อีกชุดบุกสอบปากคำ 3 สาวคลังยาและผู้แทนบริษัทยาที่พัวพันการทุจริตสั่งซื้อ “ซูโดฯ" มากผิดปกติที่เชียงใหม่ในฐานะพยาน หวังข้อมูลเพิ่มเติมให้ทราบขั้นตอนทั้งหมดเพื่อสาวให้ถึงต้นตอ ด้าน สสจ.บุรีรัมย์ เผยเภสัชกร รพ.หนองกี่ยอมรับแอบอ้างชื่อ รพ.ซื้อยาซูโดอีเฟดรีนมาจำหน่ายร้านขายยาตัวเองจริง อ้างซื้อผ่านชื่อรพ.ราคาถูกมีกำไรมากกว่า ขณะ สสจ.ชงเรื่องให้ผู้ว่าฯ ตั้งกก.สอบเอาผิดวินัย พบซื้อเกินจำนวนถึง 8 ครั้ง คาดแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ด้านผู้ว่าฯ ย้ำหากผลสอบทำผิดจริงให้ดำเนินการตาม กม.อย่างเด็ดขาด
วานนี้ (24 เม.ย.) เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม 1 โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี คณะสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ประกอบด้วย นายภักดี จรูญกาญจนกุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ พ.ต.ท.ปฐม นาคะเสงี่ยม, ร.ต.อ.ชยลพ พาณิชย์อัตรา นายสมชาย ม้าหาญศึก เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ สำนักงานคดีความมั่นคง ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเพื่อสอบปากคำนายดำรงเกียรติ ตั้งเจริญ หัวหน้าเภสัชกรโรงพยาบาลอุดรธานี กรณียาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีนสูญหาย
พ.ต.ท.ปฐม นาคะเสงี่ยม เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ สำนักงานคดีความมั่นคง เปิดเผยถึงการเดินทางมาของคณะในวันนี้ว่า ต้องการทำการสอบปากคำนายดำรงเกียรติ ตั้งเจริญ หัวหน้าเภสัชกรประจำโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ส่วนในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) จะสอบปากคำผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีกจำนวน 30 แห่งในจังหวัดอุดรธานี เพื่อหาจุดเชื่อมโยงขั้นตอนในกระบวนการสั่งซื้อยาแก้หวัดที่สูญหายไป
นอกจากนี้แล้ว การสอบสวนปากคำครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรวบรวมหลักฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าส่วนใดเป็นอย่างไร และใครที่อยู่ในข่ายกระทำความผิด เพื่อคณะกรรมการจะได้พิจารณาต่อไป
สำหรับการลงพื้นที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีของดีเอสไอครั้งนี้ ได้มีการแยกกันปฏิบัติงาน โดยส่วนหนึ่งร่วมกับทางอัยการทำการสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง และอีกส่วนหนึ่งปิดห้องประชุมเล็กทำการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องของ รพ.สต.ทุกแห่งที่รับยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน โดยอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในห้องดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานีหลังถูกคำสั่งให้ย้ายไปช่วยราชการที่กระทรวงสาธารณสุข แต่ยังเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายของยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เพื่อทำการซักซ้อมกันในการที่จะให้การต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเมื่อตอนบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา
**สอบปากคำ 3 สาวที่เชียงใหม่
วันเดียวกันที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดยนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ฝ่ายชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบปากคำนางสาวพิชญ์สิณี ประเสริฐศรี หรือชื่อเดิม นางสาวฐิฎาภรณ์ คำป๊ก อายุ 32 ปี เจ้าหน้าที่คลังยาโรงพยาบาลเซ็นทรัล เมโมเรียล นางสาวศุภรดา หรือ สุทธินี ทองเที่ยง อายุ 25 ปี พนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานมิลาโน และนางมยุรี หลวงเครื่อง อายุ 40 ปี พนักงานห้างหุ้นส่วนเอเชี่ยนฟาร์มา ซูติคัล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงเอกสารสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนนับล้านเม็ด
ทั้งนี้ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ฝ่ายชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เผยว่า การสอบปากคำทั้ง 3 คนในครั้งนี้เป็นการสอบปากคำในฐานะพยานเพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนการสั่งซื้อยาว่ามีกระบวนการอย่างไรบ้าง และมีการส่งยาไปยังที่ใด เพื่อให้ทราบข้อมูลและความเกี่ยวโยงกันทั้งหมด
ขณะที่จากข้อมูลหลักฐานที่รวบรวมได้เบื้องต้นพบว่า แผงยาที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนที่ถูกนำไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมากในพื้นที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ น่าจะมีความเชื่อมโยงกับคนกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งจะมีการตรวจสอบว่ายาดังกล่าวมาจากโรงพยาบาลใด และบริษัทใด เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด
**สสจ.บุรีรัมย์ชงผู้ว่าฯสอบเภสัชกร
ทางด้าน นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)บุรีรัมย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่มีการตรวจพบ นายสมพงษ์ ตีรถะ เภสัชกรปฏิบัติการ โรงพยาบาลหนองกี่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ แอบอ้างชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีน ซึ่งใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด มาจำหน่ายที่ร้านขายยาของตัวเอง จนถูกสั่งย้ายเข้ามาช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ นั้น
จากผลสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับจังหวัด นายสมพงษ์ เภสัชกร ยอมรับว่า ได้แอบอ้างชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนจริง เนื่องจากการซื้อยาผ่านชื่อของโรงพยาบาล มีราคาถูกกว่าสั่งซื้อด้วยตัวเอง ทำให้ได้กำไรมากกว่า พร้อมยืนยันว่า การสั่งซื้อยาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หรือทางโรงพยาบาลแต่อย่างใด ได้ดำเนินการด้วยตัวเองเพียงลำพัง
นพ.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้สรุปผลการสอบสวนแล้วเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัยกับนายสมพงษ์ ตีรถะ เภสัชกรปฏิบัติการ โรงพยาบาลหนองกี่ ที่พบว่ามีการแอบอ้างใช้ชื่อโรงพยาบาล ในการสั่งซื้อยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เกินจำนวนที่โรงพยาบาลสั่งซื้อถึง 8 ครั้ง รวมเป็นยาชนิดเม็ดทั้งสิ้น 90,000 เม็ด และชนิดน้ำอีก 1,500 ขวด
หากผลการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการฯ เสร็จสิ้นออกมาเป็นประการใด ก็จะนำผลการสอบเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อจะได้พิจารณา หรือหากเภสัชกรดังกล่าวมีการกระทำผิดวินัยจริง ก็จะถูกดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาดทันที
ด้านนายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า หากผลสอบพบว่ามีการกระทำผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับขบวนการยาเสพติด ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้ง ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผิดชอบตามแนวชายแดนได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มป้องกันการลักลอบนำยาดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่อย่างเข้มงวดด้วย
**หาข้อมูลเพิ่ม“ซูโดฯ”รพ.ภูสิงห์หาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นายทัชชกร อรรณพเพ็ชร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้มาพบกับ นพ. กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ เพื่อติดตามสอบสวนกรณีที่ยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน หายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์ จำนวน 250,000 เม็ด ซึ่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ และคณะได้นำเอาเอกสารข้อมูลการสั่งซื้อยารวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้นายทัชชกร และคณะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
นายทัชชกร อรรณพเพ็ชร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า ตนและคณะมาตรวจสอบหาข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งจากการที่ได้ไปพบกับ นายเกริกชัย ผ่องแผ้ว นายอำเภอภูสิงห์และนายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ แล้ว ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีนี้เป็นอย่างมาก
ส่วนรายละเอียดหลักฐานต่างๆ ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นการทุจริตหรือไม่อย่างไร จะต้องรอสรุปพยานหลักฐานที่ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งตนจะได้สรุปข้อมูลพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคดีนี้รายงานอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป
วานนี้ (24 เม.ย.) เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม 1 โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี คณะสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ประกอบด้วย นายภักดี จรูญกาญจนกุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ พ.ต.ท.ปฐม นาคะเสงี่ยม, ร.ต.อ.ชยลพ พาณิชย์อัตรา นายสมชาย ม้าหาญศึก เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ สำนักงานคดีความมั่นคง ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเพื่อสอบปากคำนายดำรงเกียรติ ตั้งเจริญ หัวหน้าเภสัชกรโรงพยาบาลอุดรธานี กรณียาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีนสูญหาย
พ.ต.ท.ปฐม นาคะเสงี่ยม เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ สำนักงานคดีความมั่นคง เปิดเผยถึงการเดินทางมาของคณะในวันนี้ว่า ต้องการทำการสอบปากคำนายดำรงเกียรติ ตั้งเจริญ หัวหน้าเภสัชกรประจำโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ส่วนในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) จะสอบปากคำผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีกจำนวน 30 แห่งในจังหวัดอุดรธานี เพื่อหาจุดเชื่อมโยงขั้นตอนในกระบวนการสั่งซื้อยาแก้หวัดที่สูญหายไป
นอกจากนี้แล้ว การสอบสวนปากคำครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรวบรวมหลักฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าส่วนใดเป็นอย่างไร และใครที่อยู่ในข่ายกระทำความผิด เพื่อคณะกรรมการจะได้พิจารณาต่อไป
สำหรับการลงพื้นที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีของดีเอสไอครั้งนี้ ได้มีการแยกกันปฏิบัติงาน โดยส่วนหนึ่งร่วมกับทางอัยการทำการสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง และอีกส่วนหนึ่งปิดห้องประชุมเล็กทำการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องของ รพ.สต.ทุกแห่งที่รับยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน โดยอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในห้องดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานีหลังถูกคำสั่งให้ย้ายไปช่วยราชการที่กระทรวงสาธารณสุข แต่ยังเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายของยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เพื่อทำการซักซ้อมกันในการที่จะให้การต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีเมื่อตอนบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา
**สอบปากคำ 3 สาวที่เชียงใหม่
วันเดียวกันที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดยนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ฝ่ายชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบปากคำนางสาวพิชญ์สิณี ประเสริฐศรี หรือชื่อเดิม นางสาวฐิฎาภรณ์ คำป๊ก อายุ 32 ปี เจ้าหน้าที่คลังยาโรงพยาบาลเซ็นทรัล เมโมเรียล นางสาวศุภรดา หรือ สุทธินี ทองเที่ยง อายุ 25 ปี พนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานมิลาโน และนางมยุรี หลวงเครื่อง อายุ 40 ปี พนักงานห้างหุ้นส่วนเอเชี่ยนฟาร์มา ซูติคัล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงเอกสารสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนนับล้านเม็ด
ทั้งนี้ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ฝ่ายชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เผยว่า การสอบปากคำทั้ง 3 คนในครั้งนี้เป็นการสอบปากคำในฐานะพยานเพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนการสั่งซื้อยาว่ามีกระบวนการอย่างไรบ้าง และมีการส่งยาไปยังที่ใด เพื่อให้ทราบข้อมูลและความเกี่ยวโยงกันทั้งหมด
ขณะที่จากข้อมูลหลักฐานที่รวบรวมได้เบื้องต้นพบว่า แผงยาที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนที่ถูกนำไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมากในพื้นที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ น่าจะมีความเชื่อมโยงกับคนกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งจะมีการตรวจสอบว่ายาดังกล่าวมาจากโรงพยาบาลใด และบริษัทใด เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด
**สสจ.บุรีรัมย์ชงผู้ว่าฯสอบเภสัชกร
ทางด้าน นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)บุรีรัมย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่มีการตรวจพบ นายสมพงษ์ ตีรถะ เภสัชกรปฏิบัติการ โรงพยาบาลหนองกี่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ แอบอ้างชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีน ซึ่งใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด มาจำหน่ายที่ร้านขายยาของตัวเอง จนถูกสั่งย้ายเข้ามาช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ นั้น
จากผลสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับจังหวัด นายสมพงษ์ เภสัชกร ยอมรับว่า ได้แอบอ้างชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนจริง เนื่องจากการซื้อยาผ่านชื่อของโรงพยาบาล มีราคาถูกกว่าสั่งซื้อด้วยตัวเอง ทำให้ได้กำไรมากกว่า พร้อมยืนยันว่า การสั่งซื้อยาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หรือทางโรงพยาบาลแต่อย่างใด ได้ดำเนินการด้วยตัวเองเพียงลำพัง
นพ.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้สรุปผลการสอบสวนแล้วเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัยกับนายสมพงษ์ ตีรถะ เภสัชกรปฏิบัติการ โรงพยาบาลหนองกี่ ที่พบว่ามีการแอบอ้างใช้ชื่อโรงพยาบาล ในการสั่งซื้อยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เกินจำนวนที่โรงพยาบาลสั่งซื้อถึง 8 ครั้ง รวมเป็นยาชนิดเม็ดทั้งสิ้น 90,000 เม็ด และชนิดน้ำอีก 1,500 ขวด
หากผลการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการฯ เสร็จสิ้นออกมาเป็นประการใด ก็จะนำผลการสอบเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อจะได้พิจารณา หรือหากเภสัชกรดังกล่าวมีการกระทำผิดวินัยจริง ก็จะถูกดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาดทันที
ด้านนายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า หากผลสอบพบว่ามีการกระทำผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับขบวนการยาเสพติด ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้ง ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผิดชอบตามแนวชายแดนได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มป้องกันการลักลอบนำยาดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่อย่างเข้มงวดด้วย
**หาข้อมูลเพิ่ม“ซูโดฯ”รพ.ภูสิงห์หาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นายทัชชกร อรรณพเพ็ชร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้มาพบกับ นพ. กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ เพื่อติดตามสอบสวนกรณีที่ยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน หายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์ จำนวน 250,000 เม็ด ซึ่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ และคณะได้นำเอาเอกสารข้อมูลการสั่งซื้อยารวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้นายทัชชกร และคณะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
นายทัชชกร อรรณพเพ็ชร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า ตนและคณะมาตรวจสอบหาข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งจากการที่ได้ไปพบกับ นายเกริกชัย ผ่องแผ้ว นายอำเภอภูสิงห์และนายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ แล้ว ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีนี้เป็นอย่างมาก
ส่วนรายละเอียดหลักฐานต่างๆ ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นการทุจริตหรือไม่อย่างไร จะต้องรอสรุปพยานหลักฐานที่ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งตนจะได้สรุปข้อมูลพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคดีนี้รายงานอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป