xs
xsm
sm
md
lg

ทำอย่างนี้สิเรียก “สองมาตรฐาน” ได้ไหม?(ตอนที่ ๑)

เผยแพร่:   โดย: คมสัน โพธิ์คง

คมสัน โพธิ์คง
สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


ก่อนวันสงกรานต์หนึ่งวัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยจากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายรังสรรค์ พลนิกรกิจ ร้องคัดค้านการสรรหามีมติเอกฉันท์ให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาจำนวน ๓๒ ราย โดยในข้อกล่าวหาที่ ๓ ได้ร้องคัดค้านประเด็นนายสัก กอแสงเรือง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา ๑๑๕(๙) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้เสนอศาลฎีกา เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยและมีคำสั่ง ดังนี้

๑. มีมติเอกฉันท์ให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา นายสัก กอแสงเรือง และให้ดำเนินการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามมาตรา ๒๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๑๓๔ แห่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐

๒. มีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายสัก กอแสงเรือง

๓. มีมติด้วยเสียงข้างมากให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายสัก กอแสงเรือง ตามมาตรา ๑๖๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และสภาทนายความตามมาตรา ๑๓๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

แต่การร้องต่อศาลฎีกาในกรณีของนายสัก กอแสงเรือง นี้ผมมีความเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้กระทำการ “สองมาตรฐาน” ในเรื่องลักษณะเดียวกันนี้ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับเรื่อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวการมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ต่างกันตรงที่กรณีของนายสัก กอแสงเรือง เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา แต่นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ

หากผมจำไม่ผิดเรื่องของ นายจตุพร พรหมพันธุ์นั้น ขณะนี้เรื่องได้อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญและจะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นี้ ซึ่งหากศาลตัดสินประการใดก็จะส่งผลให้มีการตั้งคำถามถึงการกระทำการให้มาตรฐานการส่งเรื่องไปศาลในประเด็นเรื่องการขาดคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกรัฐสภาจึงมีความแตกต่างกัน ซึ่งการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณีของนายสัก กอแสงเรือง ทำให้ผมสงสัยและตั้งคำถามว่า ทำไม? เพราะเหตุใด? คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงเสนอเรื่องของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งมีปัญหาเรื่องของการมีลักษณะต้องห้ามไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เสนอเรื่องไปศาลฎีกาเช่นเดียวกับกรณีของนายสัก กอแสงเรือง ซึ่งมีปัญหาเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกัน ทั้งที่บทบัญญัติเรื่องการขาดคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามเป็นบทเดียวกัน คือ มาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และทำไม?เพราะเหตุใด? คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงไม่ดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้รับรองการมีคุณสมบัติและการไม่มีลักษณะต้องห้ามของนายจตุพร พรหมพันธุ์ และพรรคเพื่อไทย ตามมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๑๓๗ ประกอบกับมาตรา ๘๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา เหมือนกับที่ให้ให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายสัก กอแสงเรือง ตามมาตรา ๑๖๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และสภาทนายความตาม มาตรา ๑๓๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และทำไม?เพราะเหตุใด? คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงไม่มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้มีปัญหาการมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับที่มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายสัก กอแสงเรือง ผู้มีปัญหาการมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเข้าใจและดำเนินการเช่นนั้น แต่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ นายสัก กอแสงเรือง เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๑๕(๙) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจริงหรือไม่ ซึ่งผมมีความเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งตีความข้อกฎหมายผิด เพราะผมเห็นว่ามาตรา ๑๑๕(๙) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทเฉพาะกาลเรื่องอายุของวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ไม่สามารถนำมาใช้บังคับกับวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาครั้งที่สองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ได้

ในข้อสงสัยในประเด็นแรกที่ผมไม่เข้าใจว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ใช้ข้อกฎหมายแตกต่างกันในเรื่องเดียวกันอย่างกับไม่มีมาตรฐานการพิจารณาวินิจฉัย และอย่าอ้างว่ากรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นการวินิจฉัยเรื่องของการมีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรณีของนายสัก กอแสงเรือง เป็นการวินิจฉัยการมีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา คงไม่สามารถอ้างได้อย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะบทบัญญัติมาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติไว้ว่า

“มาตรา ๙๑ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๖ (๓)(๔)(๕)(๖)(๗)(๘)และ(๑๐)หรือ มาตรา ๑๑๙ (๓)(๔)(๕)(๗)และ(๘)แล้วแต่กรณี ให้ประธานแห่งสภาที่รับคำร้องส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพแห่งสมาชิกสภานั้นสิ้นสุดลงหรือไม่

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง

ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง”


เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีความเห็นว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งมีปัญหาเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเห็นว่านายสัก กอแสงเรือง เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยเห็นว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๑๑๕(๙) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งบทบัญญัติมาตรา ๑๑๕(๙) ดังกล่าวเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๑๙(๔) ก็ควรจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกันและเหมือนกันตามบทบัญญัติลายลักษณ์อักษร แต่เพราะเหตุใด? จึงเลือกที่จะส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยในกรณีของการคัดค้านการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๒๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือที่แท้จริงหวังผลโดยมีความประสงค์จะดำเนินคดีอาญาแก่นายสัก กอแสงเรือง ใช่หรือไม่ ทั้งที่กรณีนี้ไม่สามารถดำเนนคดีอาญาได้

คณะกรรมการการเลือกตั้งจะอ้างว่าเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับเรื่องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาที่ ๒๑๑๒/๒๕๕๒ ซึ่งได้เคยมีคำวินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยมาตรา ๒๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าเป็นเรื่องลักษณะเดียวกับที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้เคยเสนอไปศาลฎีกาและศาลได้ยกคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ถึงแม้ศาลจะพิจารณาวินิจฉัยก็ไม่ได้ปรากฏคำวินิจฉัยเกี่ยวกับเขตอำนาจของศาลฎีกากับศาลรัฐธรรมนูญว่าศาลใดเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาในเรื่อง “การขาดสมาชิกภาพจากการขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม” อันเป็นเจตนารมณ์ของมาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และศาลใดเป็นผู้พิจารณา “ความสุจริตและเที่ยงธรรมในการสรรหา” อันเป็นเจตนารมณ์ของมาตรา ๒๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงเห็นได้ว่า ตามมาตรา ๒๔๐ มีเจตนารมณ์ที่จะให้ศาลฎีกาพิจารณา “ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรมในการสรรหา” ใน ๒ประเด็น คือ การไม่ชอบด้วยกฎหมายของการสรรหา(หมายถึงการกระทำของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหา ตามคำพิพากษาศาลฏีกา(แผนกคดีเลือกตั้ง)ที่ ๒๑๑๒/๒๕๕๒ ) และการกระทำของผู้รับการสรรหาที่ทำให้การสรรหาไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามมาตรา ๒๓๘ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีของการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ของนายสัก กอแสงเรือง เป็นข้อมูลที่ปรากฏชัดในสาธารณะ ทั้งในฐานข้อมูลของวุฒิสภา หน้าหนังสือพิมพ์ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ในฐานข้อมูลการรับรองบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเอง ด้วย หากข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏตามฐานข้อมูลดังกล่าว และในใบเสนอชื่อของสภาทนายความและในแบบให้ความยินยอมเสนอชื่อของนายสัก กอแสงเรือง ที่เสนอต่อคณะกรรมการสรรหาที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการการเลือกตั่งและ ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา และหากมีข้อมูลดังกล่าวในการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาแล้วหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เสนอข้อมูลทั้งที่ฐานข้อมูลอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ว่าด้วยเหตุใด คงไม่เข้าลักษณะที่จะทำให้กระบวนการสรรหานั้น เป็นกระบวนการสรรหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอำนาจในการตีความคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามเป็นอำนาจของคณะกรรมการสรรหา และศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะตีความอีกและไม่เข้าลัษณะที่จะทำให้การสรรหากระทบต่อ “ความสุจริตและเที่ยงธรรมในการสรรหา” แต่ผมว่าในกรณีนี้น่าจะถือว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความรับผิดทางอาญาเสียมากกว่า เพราะหลังจากคณะกรรมการสรรหาดำเนินการเสร็จสิ้น คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้รับรองและประกาศผลการสรรหา จะเป็นการผิดซ้ำผิดซ้อนหรือไม่ หรือเรื่องลืมเสนอต่อศาลยุติธรรมให้พิจารณาความผิดของคณะกรรมการการเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกัน

ในข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญเกี่ยวการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมมีความเห็นมาตลอดว่าเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูยไม่ใช่ศาลฎีกา ซึ่ง
ผมมีแผนผังแสดงให้เห็นดังนี้

การวินิจฉัยคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามของ ส.ส./ส.ว.เลือกตั้ง

การวินิจฉัยคุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้ามของ ส.ว.สรรหา

อย่างไรก็ตาม หากดำเนินเรื่องต่อไปและหากคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การสรรหาที่เกี่ยวกับการสิ้นสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเป็นเรื่องของการไม่ชอบด้วยกฎหมายของการสรรหาแล้ว ก็จะมีคำถามมากมายว่ากรณีใดที่เหลือให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา ๙๑ บ้าง และหากคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลฎีกาเห็นว่าการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาทุกกรณีเป็นเรื่องของการไม่ชอบด้วยกฎหมายของการสรรหาตามมาตรา ๒๔๐ ทุกกรณีแล้ว ผมมีความเห็นว่ากรณีดังกล่าวเท่ากับคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสนอให้ศาลฎีกาทำการยกเลิกบทบัญญัติมาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญ ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาโดยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องเสนอให้รัฐสภาทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กรณีนี้จะเรียกว่าหักดิบรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้หรือไม่

คณะกรรมการการเลือกตั้งควรต้องเข้าใจในข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับขอบเขตของอำนาจหน้าที่ของตนให้ชัดเจนและกระทำการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องตามหลักการของกฎหมายหรือเป็นไปตาม “นิติวิธี”ของการใช้และการตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยไม่เกิดข้อกังขาว่า กำลังกระทำการใดที่เป็นการเลือกปฏิบัติ จนถึงขนาดที่เรียกได้ว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “ไร้มาตรฐาน” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีของนายสัก กอแสงเรือง หรือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่มีการพิจารณาวินิจฉัยเสนอต่อศาลแตกต่างกัน ทั้งที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเดียวกัน

ผมยังมีข้อสงสัยในตรรกวิธีคิดของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการพิจารณามาตรา ๙๑ และมาตรา ๒๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าแยกปัญหาการมีลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการมีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภาส่งไปยังศาลต่างกันได้อย่างไรทั้งที่บทบัญญัติในมาตรา ๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติอยู่ในมาตราเดียวกัน นอกจากนี้ผมยังมีประเด็นที่ต้องนำเสนอต่อสาธารณชน ให้ฉุกคิดเกี่ยวกับการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ผมกำลังตั้งคำถามว่ากระทำการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในกรณีของนายสัก กอแสงเรืองและนายจตุพร พรหมพันธุ์ เช่น การตีความ คำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น” ตามมาตรา ๑๑๕(๙) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้เกิดผลประหลาดในการตีความ โดยมีการตีความคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น” มีความหมายรวมถึง “สมาชิกวุฒิสภา” ในบท “คุณสมบัติและการมีลักษณะต้องห้าม”ของ “สมาชิกวุฒิสภา” ในมาตรา ๑๑๕(๙) แล้วมาตราอื่นในบทที่เกี่ยวกับ “วุฒิสภา” ในมาตรา ๑๑๖ และมาตรา ๑๑๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะตีความอย่างไร หรือ การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น” จะนับอย่างไร

โปรดติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น