ถ้าใครเห็นเด็กสมัยนี้แล้ว จะต้องนึกถึงความเป็นเด็กสมัยก่อนซึ่งสำหรับคนอายุเกือบ 70 ปีอย่างผมแล้ว ก็คือเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว เด็กสมัยนี้ก้าวหน้ากว่าเด็กสมัยก่อนมาก ทั้งนี้เนื่องจากอิทธิพลของโทรทัศน์ และที่สำคัญก็คือ internet เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง และกำหนดเรื่องที่อยากจะรู้ ตลอดจนจังหวะของการเรียนรู้ได้ การเรียนรู้ด้วยตนเองตามใจนี้ทำให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินจนลืมเวลา เหมือนกับการเล่นเกมที่เด็กสนุกจนลืมเวลา ต่างไปจากการเรียนที่มีครูสอน เด็กมักจะเบื่อง่าย วิธีการเรียนรู้อย่างหนึ่งก็คือ การเรียนผ่านการเล่น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นแสดงบทบาทในละคร หรือแม้แต่การเล่นกีฬา เด็กก็ได้เรียนรู้ เช่น การทำงานเป็นทีม การรับผิดชอบ การยึดถือกติกา การมีระเบียบวินัย และการรู้แพ้ รู้ชนะ เป็นต้น
สมัยที่ยังไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีมือถือ ไม่มี internet เราคงลืมไปแล้วว่าเด็กเรียนรู้นอกเหนือไปจากการเรียนในห้องเรียนได้อย่างไร
หนังสือคือสิ่งแรกที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ รุ่นผมก็เห็นจะเป็นหนังสือพลนิกร กิมหงวน เรื่องบู๊หน่อยก็เป็นเรื่องเสือใบ เสื้อดำ ผู้แต่งคือ ป.อินทรปาลิต เป็นบุคคลที่จัดว่ามีอิทธิพลต่อเด็กๆ (และผู้ใหญ่) รุ่นหลังสงครามมากที่สุด หัสนิยายพลนิกร กิมหงวน มีตัวละครอื่นๆ อีก นอกจากเมียของสี่สหาย (คือ ดร.ดิเรก รวมอยู่ด้วย) แล้วก็ยังมีคนรุ่นพ่อคือ เจ้าคุณประสิทธิ์ และเจ้าคุณปัจจนึก
นิยายเรื่องนี้จบเป็นตอนๆ แต่ละตอนก็มีความสนุกสนานเป็นเรื่องของครอบครัวไทยสมัยก่อนที่เป็นครอบครัวขยายอยู่ร่วมกัน มีบริวารแยะ มีคำศัพท์มากมายที่มาจากนิยายนี้ อย่างเช่น ความเป็นบ้านนอกมาจากชื่อของลุงเชย เป็นต้น ป.อินทรปาลิต เป็นนักชาตินิยม เพราะเคยเป็นนักเรียนนายร้อยมาก่อน จึงเล่าเรื่องสงครามอินโดจีน และการแสดงความรักชาติในรูปลักษณ์ต่างๆ ครอบครัวพลนิกร กิมหงวน เป็นชนชั้นกลางระดับสูง เป็นพวกอำมาตย์ แต่ก็มีคนเชื้อสายจีน คือ กิมหงวน เข้ามาเกี่ยว กิมหงวนต้องการเป็นคนไทยมาก นิยายนี้จึงแสดงให้เห็นถึงการผสมกลมกลืนระหว่างคนไทย-จีน วิถีชีวิตของสามสหายเป็นตัวแทนของคนทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ป.อินทรปาลิต ให้ดร.ดิเรก เป็นตัวแทนของความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้คนรู้จักชื่นชมยกย่องความเก่งกล้าสามารถของดร.ดิเรก ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เป็นความรู้สำหรับคนรุ่นหนุ่มก็คือ การเที่ยวกลางคืน และเที่ยวผู้หญิง ซึ่งเด็กจะรู้จักเรื่องเหล่านี้ก็จากการเที่ยวเตร่ของพลนิกร กิมหงวน
นอกจากหนังสือแล้วก็เป็นการบันเทิง สมัยก่อนโรงหนังที่ใหม่ที่สุดคือ คิง ควีน และแกรนด์ทั้งหมดอยู่แถบวังบูรพาซึ่งจัดเป็นแหล่งชอปปิ้งที่หรูหรา ห้างเซ็นทรัลยังเป็นห้องสองคูหา และร้านก็ยังเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใช่ศูนย์การค้าแบบสมัยนี้ ร้านอาหารใกล้ๆ โรงหนังมีข้าวผัดอเมริกันกับไอศกรีม หากเดินไปอีกหน่อยก็จะมีร้านขายไอศกรีมไข่แข็ง
เด็กสมัยก่อนนิยมจัดฉายหนังเก็บสตางค์ หนังฉายรอบเช้า เด็กหนุ่มสาวจะไปเช่าเหมาโรงแล้วขายบัตร 25 บาทบ้าง 30 บาทบ้าง ส่วนที่เฉลิมกรุง และเฉลิมไทยบางทีก็มีละครเวที
ตอนเย็นไม่มีที่เที่ยวที่ไหนจะฮิตเท่ากับสวนลุมพินี การไปเที่ยวสวนลุมฯ สมัยก่อน เราไม่พบคนไปออกกำลัง มีแต่หนุ่มสาวไปนั่งริมน้ำ กินมะพร้าวอ่อน และเย็นตาโฟเจ้าอร่อย ส่วนมากมักจะขับรถไปตอนเย็นๆ แถวนั้นจะมีภัตตาคารชายทะเลจันทร์เพ็ญ ขายไก่ย่างอร่อยมาก แต่ก่อนไก่ย่างมีแต่ที่นี่เท่านั้น ต่อมาจึงมีไก่ย่างอีสานและส้มตำที่สนามมวยราชดำเนินซึ่งฮิตติดอันดับมากๆ ใกล้ๆ กับร้านชายทะเลจันทร์เพ็ญ คือ มุมถนนสาทรจะมีร้านชื่อ ป.ประดิษฐ์ ขายปอเปี๊ยะอร่อยมาก ไม่มีใครเหมือนจนบัดนี้ผมกินปอเปี๊ยะที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่เคยกิน สมัยก่อนเราจะซื้อไก่ย่างชายทะเลแล้วแวะซื้อปอเปี๊ยะที่ป.ประดิษฐ์ ส่วนอาหารฝรั่งสมัยก่อนมีแต่ฮอทดอกที่ร้านแถวถนนสุขุมวิท พวกแฮมเบอร์เกอร์ และพิซซ่ายังไม่มีใครรู้จัก
หนุ่มๆ ที่เป็นจิ๊กโก๋จะนิยมเต้นช่า ช่า ช่า และต่อมาก็เต้นร็อก พวกนักเรียนประจำอย่างผมมีแต่ผู้ชาย ก็จะเอาผ้าขาวม้า หรือกางเกงนอนผูกกับราวระเบียงแล้วเต้นโดยดึงปลายผ้า ยึกยักอยู่อย่างนั้น
กิจกรรมพิเศษสำหรับคนแตกเนื้อหนุ่มก็คือ การขอเพลงหลุยส์ ธุระวณิชย์ จัดเพลงตามคำขอ พวกเรามักจะได้ยินชื่อพวกนักเรียนไป-มาทั้งหนุ่มและสาว ขอเพลงเป็นประจำ
สำหรับคนไทยโดยทั่วไปแล้ว สุนทราภรณ์ เป็นผู้ซึ่งให้ความบันเทิงแก่คนไทย และมีอิทธิพลต่อคนไทยมาก นอกจากการบรรเลงตามงานแล้ว ก็ยังออกวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์อีกด้วย
พอถึงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ย่างเข้าฤดูหนาว ก็จะมีงานวชิราวุธ และงานรัฐธรรมนูญ งานวชิราวุธมีการประกวดนางงาม มีการออกร้าน ที่คนแน่นก็คือร้านเบียร์สดของเบียร์สิงห์ และมีไก่ย่างแบบฝรั่งคือไก่หมุนอีกด้วย พวกผมนักเรียนวชิราวุธจะไปเล่นดนตรีที่ใต้ต้นกร่างใหญ่ ผมเคยไปร้องเพลงที่นั่น จำได้ว่าเป็นเพลง Venus ม.ร.ว.จีริเดชา กิติยากร เพื่อนซึ่งเป็นมือกลองบ่นว่า ผมร้องไม่เข้าจังหวะ
เด็กที่เติบโตมาสมัยนั้น มักจะไม่ค่อยเสียคน ยาบ้าก็ไม่มี ส่วนไนต์คลับก็มีน้อย เรียกว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมยังดีอยู่ หนุ่มสาวจะไปเที่ยวก็ไม่ออกนอกลู่นอกรอย จะคบกันก็ไปเที่ยวเป็นหมู่ใหญ่ๆ จะเห็นควงกันสองคนนั้นน้อยมาก และวันวาเลนไทน์ก็ไม่ใช่วัน “เสียสาว” เหมือนสมัยนี้
เด็กสมัยนี้ชอบท่องเที่ยวมาก แต่ที่น่าดีใจก็คือหลายคนชอบธรรมชาติ ไปป่าเขาลำเนาไพร ไปดำน้ำ ตั้งแคมป์ลูกๆ ของผมไม่มีลูกเลย ปีหนึ่งๆ พวกเขาไปเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ยอมเสียค่าที่พักแพงๆ ไปอยู่ตามเกาะ และตามเมืองเล็กๆ ในต่างประเทศ
คนสมัยนี้อ่านหนังสือน้อยลงมาก วันๆ หนึ่งอยู่กับโทรศัพท์ซึ่งใช้ได้สารพัด สมาธิของคนจึงสั้นลง และเบื่อง่ายเพราะมีสิ่งให้เลือกแยะมาก
พูดได้ว่ายุคนี้เป็นยุคทอง “ชีวิตที่เลือกได้” จริงๆ
สมัยที่ยังไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีมือถือ ไม่มี internet เราคงลืมไปแล้วว่าเด็กเรียนรู้นอกเหนือไปจากการเรียนในห้องเรียนได้อย่างไร
หนังสือคือสิ่งแรกที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ รุ่นผมก็เห็นจะเป็นหนังสือพลนิกร กิมหงวน เรื่องบู๊หน่อยก็เป็นเรื่องเสือใบ เสื้อดำ ผู้แต่งคือ ป.อินทรปาลิต เป็นบุคคลที่จัดว่ามีอิทธิพลต่อเด็กๆ (และผู้ใหญ่) รุ่นหลังสงครามมากที่สุด หัสนิยายพลนิกร กิมหงวน มีตัวละครอื่นๆ อีก นอกจากเมียของสี่สหาย (คือ ดร.ดิเรก รวมอยู่ด้วย) แล้วก็ยังมีคนรุ่นพ่อคือ เจ้าคุณประสิทธิ์ และเจ้าคุณปัจจนึก
นิยายเรื่องนี้จบเป็นตอนๆ แต่ละตอนก็มีความสนุกสนานเป็นเรื่องของครอบครัวไทยสมัยก่อนที่เป็นครอบครัวขยายอยู่ร่วมกัน มีบริวารแยะ มีคำศัพท์มากมายที่มาจากนิยายนี้ อย่างเช่น ความเป็นบ้านนอกมาจากชื่อของลุงเชย เป็นต้น ป.อินทรปาลิต เป็นนักชาตินิยม เพราะเคยเป็นนักเรียนนายร้อยมาก่อน จึงเล่าเรื่องสงครามอินโดจีน และการแสดงความรักชาติในรูปลักษณ์ต่างๆ ครอบครัวพลนิกร กิมหงวน เป็นชนชั้นกลางระดับสูง เป็นพวกอำมาตย์ แต่ก็มีคนเชื้อสายจีน คือ กิมหงวน เข้ามาเกี่ยว กิมหงวนต้องการเป็นคนไทยมาก นิยายนี้จึงแสดงให้เห็นถึงการผสมกลมกลืนระหว่างคนไทย-จีน วิถีชีวิตของสามสหายเป็นตัวแทนของคนทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ป.อินทรปาลิต ให้ดร.ดิเรก เป็นตัวแทนของความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้คนรู้จักชื่นชมยกย่องความเก่งกล้าสามารถของดร.ดิเรก ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เป็นความรู้สำหรับคนรุ่นหนุ่มก็คือ การเที่ยวกลางคืน และเที่ยวผู้หญิง ซึ่งเด็กจะรู้จักเรื่องเหล่านี้ก็จากการเที่ยวเตร่ของพลนิกร กิมหงวน
นอกจากหนังสือแล้วก็เป็นการบันเทิง สมัยก่อนโรงหนังที่ใหม่ที่สุดคือ คิง ควีน และแกรนด์ทั้งหมดอยู่แถบวังบูรพาซึ่งจัดเป็นแหล่งชอปปิ้งที่หรูหรา ห้างเซ็นทรัลยังเป็นห้องสองคูหา และร้านก็ยังเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใช่ศูนย์การค้าแบบสมัยนี้ ร้านอาหารใกล้ๆ โรงหนังมีข้าวผัดอเมริกันกับไอศกรีม หากเดินไปอีกหน่อยก็จะมีร้านขายไอศกรีมไข่แข็ง
เด็กสมัยก่อนนิยมจัดฉายหนังเก็บสตางค์ หนังฉายรอบเช้า เด็กหนุ่มสาวจะไปเช่าเหมาโรงแล้วขายบัตร 25 บาทบ้าง 30 บาทบ้าง ส่วนที่เฉลิมกรุง และเฉลิมไทยบางทีก็มีละครเวที
ตอนเย็นไม่มีที่เที่ยวที่ไหนจะฮิตเท่ากับสวนลุมพินี การไปเที่ยวสวนลุมฯ สมัยก่อน เราไม่พบคนไปออกกำลัง มีแต่หนุ่มสาวไปนั่งริมน้ำ กินมะพร้าวอ่อน และเย็นตาโฟเจ้าอร่อย ส่วนมากมักจะขับรถไปตอนเย็นๆ แถวนั้นจะมีภัตตาคารชายทะเลจันทร์เพ็ญ ขายไก่ย่างอร่อยมาก แต่ก่อนไก่ย่างมีแต่ที่นี่เท่านั้น ต่อมาจึงมีไก่ย่างอีสานและส้มตำที่สนามมวยราชดำเนินซึ่งฮิตติดอันดับมากๆ ใกล้ๆ กับร้านชายทะเลจันทร์เพ็ญ คือ มุมถนนสาทรจะมีร้านชื่อ ป.ประดิษฐ์ ขายปอเปี๊ยะอร่อยมาก ไม่มีใครเหมือนจนบัดนี้ผมกินปอเปี๊ยะที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่เคยกิน สมัยก่อนเราจะซื้อไก่ย่างชายทะเลแล้วแวะซื้อปอเปี๊ยะที่ป.ประดิษฐ์ ส่วนอาหารฝรั่งสมัยก่อนมีแต่ฮอทดอกที่ร้านแถวถนนสุขุมวิท พวกแฮมเบอร์เกอร์ และพิซซ่ายังไม่มีใครรู้จัก
หนุ่มๆ ที่เป็นจิ๊กโก๋จะนิยมเต้นช่า ช่า ช่า และต่อมาก็เต้นร็อก พวกนักเรียนประจำอย่างผมมีแต่ผู้ชาย ก็จะเอาผ้าขาวม้า หรือกางเกงนอนผูกกับราวระเบียงแล้วเต้นโดยดึงปลายผ้า ยึกยักอยู่อย่างนั้น
กิจกรรมพิเศษสำหรับคนแตกเนื้อหนุ่มก็คือ การขอเพลงหลุยส์ ธุระวณิชย์ จัดเพลงตามคำขอ พวกเรามักจะได้ยินชื่อพวกนักเรียนไป-มาทั้งหนุ่มและสาว ขอเพลงเป็นประจำ
สำหรับคนไทยโดยทั่วไปแล้ว สุนทราภรณ์ เป็นผู้ซึ่งให้ความบันเทิงแก่คนไทย และมีอิทธิพลต่อคนไทยมาก นอกจากการบรรเลงตามงานแล้ว ก็ยังออกวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์อีกด้วย
พอถึงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ย่างเข้าฤดูหนาว ก็จะมีงานวชิราวุธ และงานรัฐธรรมนูญ งานวชิราวุธมีการประกวดนางงาม มีการออกร้าน ที่คนแน่นก็คือร้านเบียร์สดของเบียร์สิงห์ และมีไก่ย่างแบบฝรั่งคือไก่หมุนอีกด้วย พวกผมนักเรียนวชิราวุธจะไปเล่นดนตรีที่ใต้ต้นกร่างใหญ่ ผมเคยไปร้องเพลงที่นั่น จำได้ว่าเป็นเพลง Venus ม.ร.ว.จีริเดชา กิติยากร เพื่อนซึ่งเป็นมือกลองบ่นว่า ผมร้องไม่เข้าจังหวะ
เด็กที่เติบโตมาสมัยนั้น มักจะไม่ค่อยเสียคน ยาบ้าก็ไม่มี ส่วนไนต์คลับก็มีน้อย เรียกว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมยังดีอยู่ หนุ่มสาวจะไปเที่ยวก็ไม่ออกนอกลู่นอกรอย จะคบกันก็ไปเที่ยวเป็นหมู่ใหญ่ๆ จะเห็นควงกันสองคนนั้นน้อยมาก และวันวาเลนไทน์ก็ไม่ใช่วัน “เสียสาว” เหมือนสมัยนี้
เด็กสมัยนี้ชอบท่องเที่ยวมาก แต่ที่น่าดีใจก็คือหลายคนชอบธรรมชาติ ไปป่าเขาลำเนาไพร ไปดำน้ำ ตั้งแคมป์ลูกๆ ของผมไม่มีลูกเลย ปีหนึ่งๆ พวกเขาไปเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ยอมเสียค่าที่พักแพงๆ ไปอยู่ตามเกาะ และตามเมืองเล็กๆ ในต่างประเทศ
คนสมัยนี้อ่านหนังสือน้อยลงมาก วันๆ หนึ่งอยู่กับโทรศัพท์ซึ่งใช้ได้สารพัด สมาธิของคนจึงสั้นลง และเบื่อง่ายเพราะมีสิ่งให้เลือกแยะมาก
พูดได้ว่ายุคนี้เป็นยุคทอง “ชีวิตที่เลือกได้” จริงๆ