นพ.เหวง โตจิราการว่า “ทักษิณ ขายชาติ” ตอนหลังหมอเหวง บอกว่า “ผมรักทักษิณ” ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ความเข้าใจของผู้เขียนไม่เคยเปลี่ยน ว่าทักษิณขายสมบัติชาติจริง
กฎหมายของประเทศไทยสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แก้ง่าย อยากได้อะไรก็แก้กฎหมายเอาได้ให้ดังใจ ตอนหาเสียงก็บอกว่าจะเข้าไปแก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว กลับไปออกกฎหมายเพิ่มการขายชาติเป็นฉบับที่ 12, 13, 14 ฯลฯ นับไม่ถ้วนขึ้นมาอีก และทุกวันนี้กำลังคิดร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้ถูกใจตัว
ประเทศชาติประชาชนคนไทยไทยโชคร้ายเพิ่มขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ 'กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์' พระบิดากฎหมายไทยกล่าวไว้ “กฎหมายคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครอง ว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้ว ตามธรรมดาต้องโทษ เราต้องระวัง อย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความชั่ว ฤๅความยุติธรรม กฎหมายเป็นแบบคำสั่งที่เราต้องปฏิบัติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีอาจจะชั่วได้ ฤๅไม่ยุติธรรมได้ ความคิดว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม มีบ่อที่เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ศาสนาต่างๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดได้แห่งเดียวคือจากผู้ปกครองแผ่นดิน ฤๅที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น”
ดูจากสุนทรพจน์เมื่อใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศงวดสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าว ทำเนียบรัฐบาล วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2546 เวลา 20.30 น.
“ก่อนนี้ในกติกาเราต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ (IMF) แต่วันนี้ไม่ใช่ครับ เราจะกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุน เพื่อให้เกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพ และเพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ทุกระบบ ซึ่งตรวจสอบจากระบบของตลาดทุนและตรวจสอบด้วยระบบของราชการ ตรวจสอบด้วยระบบของผู้ถือหุ้นเอง”
การที่หนี้ไอเอ็มเอฟหมดไม่ใช่ฝีมืออะไรของทักษิณ แต่เป็นเพราะค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไหลออกมายังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไทย จึงทำให้ไทยใช้หนี้ IMF หมด มีการหาเหตุให้มีการแปรรูปวิสาหกิจต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ตนของบางคน
นี่คือหนึ่งในกฎหมายที่ถูกแก้ เพื่อประโยชน์ตน แต่เกิดผลเสียต่อประเทศชาติ
ปตท.เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในตลาดหุ้นไทย เป็นบริษัทแรกที่ถูกแปรรูป และแปรรูปในปีแรกของการที่ทักษิณได้เป็นรัฐบาลในปี 2544
ตอนแรก ปตท.จะ IPO ที่ราคาหุ้นละ 50 บาท ต่อมามีข่าวอ้างว่า 50 บาทแพงไป ต่างชาติไม่สนใจ จะทำให้ขายไม่ได้ จึงตกลง IPO ที่ราคาหุ้นละ 35 บาท
อีก 6 ปีถัดมา ราคาหุ้น ปตท.ขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 440 บาท http://yfrog.com/z/jal1fp
1) แสดงว่า การแปรรูป ปตท.รัฐได้เงินเข้าคลังน้อยมาก ไม่พอที่จะใช้หนี้ไอเอ็มเอฟด้วย และเชื่อว่าเงินส่วนนี้ไม่ได้นำไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟแต่อย่างใด คนซื้อที่ราคา 35 บาทเหมือนได้เปล่า
2) เป็นไปได้ นักการเมืองผู้จองซื้อหุ้น ปตท.สามารถให้นอมินีกู้เงินในต่างประเทศ จองหุ้นในนามต่างชาติ เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 350 บาท มีกำไร 10 เท่า แล้วขายหุ้นออก 1 ใน 10 ส่วน ก็สามารถใช้หนี้เงินกู้หมด สมมติจองซื้อ 300 ล้านหุ้น ต้องกู้เงิน 10,500 ล้านบาท เมื่อหุ้นขึ้นไปที่ 350 บาท ก็ทำให้มีมูลค่าเพิ่มมาเป็น 105,000 ล้านบาท ขายออก 1/10 ส่วน ได้เงินมา 10,500 ล้านบาท นำไปชำระดอกเบี้ย ชำระค่าบริหารจัดการ 3,000 ล้านบาท ทำให้มีสินทรัพย์สุทธิเหลือ 91,500 ล้านบาท
3) ผู้ที่คิดจะเอาอยู่ ย่อมจะได้เอาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน รู้จักฉวยโอกาสเอาเงื่อนไขและเวลามาก่อให้เกิดประโยชน์ตน มีหนังสือแสดงเจตจำนงให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจมาใช้หนี้ไอเอ็มเอฟรองรับ จึงรีบเร่งให้มีการแปรรูป เพื่อที่จะทำให้จองซื้อหุ้นได้ที่ราคาถูก วันเข้าตลาด SET Index ปิดที่ 305 จุด ซึ่งเป็นช่วงตลาดเพิ่งฟื้นตัวหลังการเข้าโครงการไอเอ็มเอฟในปี 2540 แล้วมีการกดราคาซื้ออีก
เป็นวิธีทำให้มีเงินออกไปกองไว้ที่ต่างชาติได้มาก และได้ง่าย
ปี 2555 มติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ปตท.ให้ปันผลหุ้นละ 13 บาทต่อปี ก็ได้รับเงินปันอีก 3,900 ล้านบาท หลายปีก่อนหน้านั้นก็ได้รับเงินปันผลทุกปี ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท
ต้นปี 2549 ได้มีการแก้กฎหมายธุรกิจโทรคมนาคม จากต่างชาติถือหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมไทยไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และจากต่างชาติเป็นกรรมการได้ไม่เกิน 1 คนใน 4 คน เป็นต่างชาติเป็นกรรการได้ 4 คน เหมือนเป็นการปั่นราคาขึ้นแบบหนึ่ง จากนั้นก็มีการขายชินคอร์ปให้กับทางเทมาเส็กสิงคโปร์ ได้เงินประมาณ 74,000 ล้านบาท
วิกฤตเศรษฐกิจหลังการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537 ทำให้เงินบาทเสียหาย ทำให้สภาพคล่องเสียหาย ทำเอกชนและสถาบันการเงินล้มลง สถาบันการเงินขนาดกลางและขนาดเล็กไปขอสภาพคล่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ต้องเอาใบหุ้นไปจำนองกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟู แต่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไปขอสภาพคล่องจากประเทศสิงคโปร์ ต้องเอาใบหุ้นไปจำนองกับประเทศสิงคโปร์ เมื่อไม่สามารถไถ่ถอนใบหุ้นออกมาได้ ก็ทำให้ใบหุ้นตกเป็นของสิงคโปร์ เช่น ธนาคารกรุงเทพ เหลือเป็นของคนไทย 10.39 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารกสิกรไทยเหลือเป็นของคนไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์
สินทรัพย์ของประเทศไทยตกเป็นของต่างชาติเกิดจาก 2 สาเหตุ 1) มีสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบเศรษฐกิจ (ตลาดหุ้น) 2) มีผู้ที่ตั้งใจจะขายสมบัติชาติ เพื่อความมั่งคั่งแห่งตน ทำให้ชาวบ้านใช้ค่าบริการแพงขึ้น
ข้อกล่าวหาต่อคน จึงไม่อยู่ที่ขายหุ้นแล้วไม่เสียภาษีให้รัฐ ข้อกล่าวหาที่แท้จริงคือขายชาติ ก็ต้องไปดูว่าคนที่ขายชาติต้องมีความผิดแบบใดบ้าง
สถาบันการเงินในรูปเอกชน ธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของไทย ตกเป็นของต่างชาติหมดและแทบหมด ทำให้ไทยตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจต่างชาติ
การตกเป็นเมืองขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีประเทศไหนยกแผ่นดินไทยไปได้ แต่มีการส่งส่วยไปบรรณาการประเทศที่เราตกเป็นเมืองขึ้นของเขาทุกปี
การตกเป็นเมืองขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็ไม่มีต่างชาติที่ไหนยกแผ่นดินไทยไปได้ แต่มีการจ่ายเงินปันผลให้เขาทุกปี เหลือปันผลให้คนไทยน้อยนิด เช่น คนไทยที่ถือหุ้นธนาคารกรุงเทพ 10.39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับเงินปันผลจากธนาคารกรุงเทพ คนไทยที่ถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับเงินปันผลจากธนาคารกสิกรไทย เงินปันผลส่วนใหญ่ต่างชาติเป็นผู้รับไป และคนไทยถูกลดฐานะเป็นลูกจ้างของต่างชาติไปแล้ว
การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2555 จะทำให้ประเทศไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ สินทรัพย์ของประเทศไทยตกเป็นของคนประเทศสิงคโปร์ เป็นของคน ต่างชาติอื่นๆ แทบหมดแล้ว วลีเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน “ก้าวให้พ้นความเป็นรัฐชาติ” เป็นวลีแห่งอวิชชาชาติของกลุ่มคนชายชาติของประเทศ ซึ่งมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของคนในประเทศเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ส่วนประชาชน คน ในประเทศจะเดือดร้อนเพิ่มขึ้น เหมือนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับประชาคมยุโรปนั่นเอง
กฎหมายของประเทศไทยสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แก้ง่าย อยากได้อะไรก็แก้กฎหมายเอาได้ให้ดังใจ ตอนหาเสียงก็บอกว่าจะเข้าไปแก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว กลับไปออกกฎหมายเพิ่มการขายชาติเป็นฉบับที่ 12, 13, 14 ฯลฯ นับไม่ถ้วนขึ้นมาอีก และทุกวันนี้กำลังคิดร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้ถูกใจตัว
ประเทศชาติประชาชนคนไทยไทยโชคร้ายเพิ่มขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ 'กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์' พระบิดากฎหมายไทยกล่าวไว้ “กฎหมายคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครอง ว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้ว ตามธรรมดาต้องโทษ เราต้องระวัง อย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความชั่ว ฤๅความยุติธรรม กฎหมายเป็นแบบคำสั่งที่เราต้องปฏิบัติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีอาจจะชั่วได้ ฤๅไม่ยุติธรรมได้ ความคิดว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม มีบ่อที่เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ศาสนาต่างๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดได้แห่งเดียวคือจากผู้ปกครองแผ่นดิน ฤๅที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น”
ดูจากสุนทรพจน์เมื่อใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศงวดสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าว ทำเนียบรัฐบาล วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2546 เวลา 20.30 น.
“ก่อนนี้ในกติกาเราต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ (IMF) แต่วันนี้ไม่ใช่ครับ เราจะกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุน เพื่อให้เกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพ และเพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ทุกระบบ ซึ่งตรวจสอบจากระบบของตลาดทุนและตรวจสอบด้วยระบบของราชการ ตรวจสอบด้วยระบบของผู้ถือหุ้นเอง”
การที่หนี้ไอเอ็มเอฟหมดไม่ใช่ฝีมืออะไรของทักษิณ แต่เป็นเพราะค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไหลออกมายังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไทย จึงทำให้ไทยใช้หนี้ IMF หมด มีการหาเหตุให้มีการแปรรูปวิสาหกิจต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ตนของบางคน
นี่คือหนึ่งในกฎหมายที่ถูกแก้ เพื่อประโยชน์ตน แต่เกิดผลเสียต่อประเทศชาติ
ปตท.เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในตลาดหุ้นไทย เป็นบริษัทแรกที่ถูกแปรรูป และแปรรูปในปีแรกของการที่ทักษิณได้เป็นรัฐบาลในปี 2544
ตอนแรก ปตท.จะ IPO ที่ราคาหุ้นละ 50 บาท ต่อมามีข่าวอ้างว่า 50 บาทแพงไป ต่างชาติไม่สนใจ จะทำให้ขายไม่ได้ จึงตกลง IPO ที่ราคาหุ้นละ 35 บาท
อีก 6 ปีถัดมา ราคาหุ้น ปตท.ขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 440 บาท http://yfrog.com/z/jal1fp
1) แสดงว่า การแปรรูป ปตท.รัฐได้เงินเข้าคลังน้อยมาก ไม่พอที่จะใช้หนี้ไอเอ็มเอฟด้วย และเชื่อว่าเงินส่วนนี้ไม่ได้นำไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟแต่อย่างใด คนซื้อที่ราคา 35 บาทเหมือนได้เปล่า
2) เป็นไปได้ นักการเมืองผู้จองซื้อหุ้น ปตท.สามารถให้นอมินีกู้เงินในต่างประเทศ จองหุ้นในนามต่างชาติ เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 350 บาท มีกำไร 10 เท่า แล้วขายหุ้นออก 1 ใน 10 ส่วน ก็สามารถใช้หนี้เงินกู้หมด สมมติจองซื้อ 300 ล้านหุ้น ต้องกู้เงิน 10,500 ล้านบาท เมื่อหุ้นขึ้นไปที่ 350 บาท ก็ทำให้มีมูลค่าเพิ่มมาเป็น 105,000 ล้านบาท ขายออก 1/10 ส่วน ได้เงินมา 10,500 ล้านบาท นำไปชำระดอกเบี้ย ชำระค่าบริหารจัดการ 3,000 ล้านบาท ทำให้มีสินทรัพย์สุทธิเหลือ 91,500 ล้านบาท
3) ผู้ที่คิดจะเอาอยู่ ย่อมจะได้เอาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน รู้จักฉวยโอกาสเอาเงื่อนไขและเวลามาก่อให้เกิดประโยชน์ตน มีหนังสือแสดงเจตจำนงให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจมาใช้หนี้ไอเอ็มเอฟรองรับ จึงรีบเร่งให้มีการแปรรูป เพื่อที่จะทำให้จองซื้อหุ้นได้ที่ราคาถูก วันเข้าตลาด SET Index ปิดที่ 305 จุด ซึ่งเป็นช่วงตลาดเพิ่งฟื้นตัวหลังการเข้าโครงการไอเอ็มเอฟในปี 2540 แล้วมีการกดราคาซื้ออีก
เป็นวิธีทำให้มีเงินออกไปกองไว้ที่ต่างชาติได้มาก และได้ง่าย
ปี 2555 มติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ปตท.ให้ปันผลหุ้นละ 13 บาทต่อปี ก็ได้รับเงินปันอีก 3,900 ล้านบาท หลายปีก่อนหน้านั้นก็ได้รับเงินปันผลทุกปี ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท
ต้นปี 2549 ได้มีการแก้กฎหมายธุรกิจโทรคมนาคม จากต่างชาติถือหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมไทยไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และจากต่างชาติเป็นกรรมการได้ไม่เกิน 1 คนใน 4 คน เป็นต่างชาติเป็นกรรการได้ 4 คน เหมือนเป็นการปั่นราคาขึ้นแบบหนึ่ง จากนั้นก็มีการขายชินคอร์ปให้กับทางเทมาเส็กสิงคโปร์ ได้เงินประมาณ 74,000 ล้านบาท
วิกฤตเศรษฐกิจหลังการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537 ทำให้เงินบาทเสียหาย ทำให้สภาพคล่องเสียหาย ทำเอกชนและสถาบันการเงินล้มลง สถาบันการเงินขนาดกลางและขนาดเล็กไปขอสภาพคล่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ต้องเอาใบหุ้นไปจำนองกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟู แต่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไปขอสภาพคล่องจากประเทศสิงคโปร์ ต้องเอาใบหุ้นไปจำนองกับประเทศสิงคโปร์ เมื่อไม่สามารถไถ่ถอนใบหุ้นออกมาได้ ก็ทำให้ใบหุ้นตกเป็นของสิงคโปร์ เช่น ธนาคารกรุงเทพ เหลือเป็นของคนไทย 10.39 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารกสิกรไทยเหลือเป็นของคนไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์
สินทรัพย์ของประเทศไทยตกเป็นของต่างชาติเกิดจาก 2 สาเหตุ 1) มีสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบเศรษฐกิจ (ตลาดหุ้น) 2) มีผู้ที่ตั้งใจจะขายสมบัติชาติ เพื่อความมั่งคั่งแห่งตน ทำให้ชาวบ้านใช้ค่าบริการแพงขึ้น
ข้อกล่าวหาต่อคน จึงไม่อยู่ที่ขายหุ้นแล้วไม่เสียภาษีให้รัฐ ข้อกล่าวหาที่แท้จริงคือขายชาติ ก็ต้องไปดูว่าคนที่ขายชาติต้องมีความผิดแบบใดบ้าง
สถาบันการเงินในรูปเอกชน ธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของไทย ตกเป็นของต่างชาติหมดและแทบหมด ทำให้ไทยตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจต่างชาติ
การตกเป็นเมืองขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีประเทศไหนยกแผ่นดินไทยไปได้ แต่มีการส่งส่วยไปบรรณาการประเทศที่เราตกเป็นเมืองขึ้นของเขาทุกปี
การตกเป็นเมืองขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็ไม่มีต่างชาติที่ไหนยกแผ่นดินไทยไปได้ แต่มีการจ่ายเงินปันผลให้เขาทุกปี เหลือปันผลให้คนไทยน้อยนิด เช่น คนไทยที่ถือหุ้นธนาคารกรุงเทพ 10.39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับเงินปันผลจากธนาคารกรุงเทพ คนไทยที่ถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับเงินปันผลจากธนาคารกสิกรไทย เงินปันผลส่วนใหญ่ต่างชาติเป็นผู้รับไป และคนไทยถูกลดฐานะเป็นลูกจ้างของต่างชาติไปแล้ว
การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2555 จะทำให้ประเทศไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ สินทรัพย์ของประเทศไทยตกเป็นของคนประเทศสิงคโปร์ เป็นของคน ต่างชาติอื่นๆ แทบหมดแล้ว วลีเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน “ก้าวให้พ้นความเป็นรัฐชาติ” เป็นวลีแห่งอวิชชาชาติของกลุ่มคนชายชาติของประเทศ ซึ่งมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของคนในประเทศเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ส่วนประชาชน คน ในประเทศจะเดือดร้อนเพิ่มขึ้น เหมือนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับประชาคมยุโรปนั่นเอง