xs
xsm
sm
md
lg

คำเตือน “เป็นไข้” อย่าด่วนกิน “ยาลดไข้” !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วผมได้เขียนบทความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เกี่ยวกับประโยชน์ของการมีไข้ ก็ได้ปรากฏว่ามีผู้อ่านหลายท่านให้ความสนใจและเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ถ้าจะได้มีโอกาสแบ่งปันในพื้นที่นี้ให้มากขึ้น

โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “ธรรมชาติบำบัด” ที่อาจนำมาใช้ประยุกต์กับวิกฤติการกินยาของคนไทยในปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555 นายวิทยา บูรณศิริ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษาของกรมการแพทย์ เกี่ยวกับการใช้ยาของคนไทยว่า “ปัจจุบันคนไทยกินยาเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก”

“ปัจจุบันประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายจากการใช้ยาเพิ่มขึ้นจาก 36,506 ล้านบาทในปี 2543 เป็น 98,375 ล้านบาท แต่ในปี 2551 โดยมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 46.7 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ซึ่งสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วกว่า 2 เท่าตัว และมีแนวโน้มนำเข้ายาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากร้อยละ 46 เป็นร้อยละ 65 ในช่วงเดียวกัน

ในปี 2553 คนไทยบริโภคยาทั้งยาแผนปัจจุบันและแผนโบราณที่ผลิตเองและนำเข้าปีละประมาณ 47,000 ล้านเม็ด หรือเฉลี่ยร้อยละ 128 เม็ด
โดยมีผู้ป่วยซื้อยากินเองร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด จากการสำรวจสุขภาพคนไทยปี 2550 – 2552 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปกินยาแก้ปวดทุกวันร้อยละ 2.3 กินยานอนหลับเป็นประจำ ร้อยละ 3.3 กินยาลูกกลอน เป็นประจำร้อยละ 2.1 และกินยาลดความอ้วน ร้อยละ 1.1 ซึ่งยากที่คนไทยใช้มากเป็นอันดับ 1 คือ ยาปฏิชีวนะ ใช้ถึงร้อยละ 20 ของยาทั้งหมด ซึ่งบ่อยครั้งเป็นการใช้ยาเกินขนาดเป็นสาเหตุของการดื้อยาเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสะสมอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ”

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันคนไทยกินยาทุกคนเฉลี่ยวันละ 2 เม็ดต่อวัน คำถามก็คือเรากินยามากไปหรือเปล่า !!?

ตัวอย่างเช่น “โรคไข้หวัด” มักจะพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ มักจะกินยาสูตรสำเร็จ ได้แก่ กินยาลดไข้ กินยาลดน้ำมูก กินยาแก้อักเสบ เป็นพื้นฐาน และหากมีอาการไอก็มักจะกินยาแก้ไข มีเสมหะก็กินยาละลายเสมหะ และถ้าเกิดอากาหอบหืดตามมากก็ต้องพ่นยาขยายหลอดลมและอาจสูดยาลดอาการอักเสบที่หลอดลมตามมา

เฉพาะยาแก้อักเสบอย่างเดียวคนไทยก็ต้องกินยาต่อเนื่องยาวนานไม่ต่ำกว่า 1-2 อาทิตย์เพื่อป้องกันการดื้อยา และยาแก้อักเสบในยุคหลังก็จะแรงขึ้นและแพงขึ้นตามความแรงของยา

เมื่อปี 2549 มีงานวิจัยของ Craven, R และ Hirnle, C. ในงานรวบรวมงานพื้นฐานทางด้านการพยาบาล: สุขภาพมนุษย์และการทำงาน ได้แสดงให้เห็นว่า “ไข้มีประโยชน์ในกระบวนการรักษาของร่างกาย” เหมือนกัน เช่น ช่วยในการเคลื่อนที่ของเม็ดเม็ดเลือดขาว สนับสนุนการกลืนกินของเม็ดเลือดขาว ลดฤทธิ์ของชีวพิษภายในตัว (endotoxin) เพิ่มการแบ่งตัวของที-เซลล์ และสนับสนุนการทำงานของอินเตอร์เฟอรอน (interferon)

จากงานวิจัยดังกล่าวที่แสดงให้เห็นว่า “ไข้” เป็นภาวะในร่างกายที่ผลิตอุณหภูมิสูงขึ้นนั้นถือเป็นกลไกในการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายเราเอง เพื่อให้เชื้อโรคทำงานได้น้อยลง ในขณะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายเราทำงานได้เร็ว แบ่งตัวและขยายตัวได้มาก อีกทั้งมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการจัดการกับโรคร้ายและช่วยรักษาโรคได้หลายชนิดรวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับ แบคทีเรีย ไวรัส และ มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้ถูกต่อยอดในการยืนยันโดยงานเขียนของแพทย์ในต่างประเทศอีกหลายชิ้นที่แสดงว่าไข้ได้ผลดีขึ้นกับผู้ป่วยหลายโรคจำนวนมาก

ผลงานวิจัยข้างต้นดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของคุณหมอ “เจคอบ วาทักกันเชรี” นักธรรมชาติบำบัดจากอินเดีย ซึ่งมีโรงพยาบาล 4 แห่งในอินเดียที่ใช้ธรรมชาติบำบัดโดยปฏิเสธและต่อต้านการใช้ยาเคมีในยุคปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ได้ให้ความเห็นมาโดยตลอดว่า “ไข้” เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่เราไม่ควรไปกินยาลดไข้

“ไข้” เป็นปฏิกิริยาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้างภูมิคุ้มกันขจัดโรคร้าย การกินยาลดไข้แบบสุ่มสี่สุ่มห้าจึงเป็นการกดอาการที่ร่างกายจะสร้างอุณหภูมิเพื่อรักษาด้วยตัวเอง และทำให้เราต้องพึ่งพายาเคมีและยาแก้อักเสบมากขึ้น และทำให้อาการป่วยอยู่กับตัวเรานานมากขึ้น


แต่เนื่องจากการย่อยสลายอาหาร คืองานหนักมากของร่างกาย ก่อนจะเป็นไข้เราจะมีอาการบางอย่างเตือนให้รู้ก่อนได้แก่ “กินอาหารไม่อร่อย ปากขมๆ ไม่หิว เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว” สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ร่างกายกำลังบอกเราว่า ร่างกายต้องการพักจากการกินและการย่อยที่ใช้พลังงานมาก เพราะร่างกายในเวลานั้นต้องการเอาพลังงานไปสร้างอุณหภูมิความร้อนและซ่อมสร้างส่วนทีสึกหรอ หากใช้เวลาและพลังงานมาย่อยอาหาร ร่างกายจะทำงานในการซ่อมแซมไม่ได้ และจะใช้เวลารักษายืดเยื้อยาวนานขึ้น

เช่นเดียวกันเวลาเป็นหวัดคนส่วนมากมักจะนิยมกินยา “ลดน้ำมูก” ให้แห้งสนิท ทั้งๆที่ในทางธรรมชาติบำบัดกลับมองว่า “น้ำมูก” เป็นมูกเมือกประเภทหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหรือพิษเข้าสู่ร่างกาย และได้ออกแบบกลไกให้มนุษย์เอาน้ำมูกออกมาเพื่อนำเชื้อโรคและพิษออกจากร่างกายด้วยสั่งน้ำมูก หรือจาม หรือไอเอาเสมหะ ให้มากที่สุด แต่พอเรากินยาลดน้ำมูกก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้เร็ว และหากไม่นำมูกออกมา มูกที่ค้างในคอก็ทำจะทำให้คออักเสบ หากมีมูกที่ค้างในโพรงจมูกทำให้เกิดไซนัส และไมเกรน คนที่กินยาลดน้ำมูกจึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการข้างเคียงลามตามมา เช่น มีอาการไอ หอบหืด หรือ หลอดลมอักเสบตามมาได้

หมอเจคอบ ได้เคยมีโอกาสมาบรรยายในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนกล่าวถึง “ไข้” ว่า ในหนังสือ Text Book ทางการแพทย์ที่ใช้มาเป็นเวลา 51 ปี พิมพ์ครั้งที่ 20 แล้วสรุปว่า การเป็นไข้ทำให้เกิดการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย และการกดอาการด้วยยา จะยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย เช่น ยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้อ

และที่โรงพยาบาลนวชีวันในรัฐเคราล่า ซึ่งหมอเจคอบดำเนินการธรรมชาติบำบัดอยู่ มีการใช้ยาพาราเซตามอล 2 เม็ดบดแล้วคลุกข้าวให้หนูกินเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนูในบริเวณโรงพยาบาล ซึ่งได้ผลดี


อีกทั้งยาพาราเซลตามอลเพิ่มความเสี่ยงต่อตับอักเสบและทำให้ไตเสีย โดยในหนังสือ Pill Book ระบุข้อบ่งใช้และคำเตือนว่า British National Formulary หรือการปฏิบัติตัวกรณีฉุกเฉิน จากการใช้ยาผิดพลาดกรณีใช้ ยาพาราเซตามอล 10-15 กรัมใน 24 ชั่วโมง ก่อให้เกิดผลร้ายต่อตับและไตคือเซลล์ตับและไตวาย หากใช้ต่อเนื่องกัน 3-5 วัน คนๆนั้นก็จะเสียชีวิตได้

ความเลวร้ายและความล้มเหลวทางการเมือง ที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมาก หมอเจคอบเคยระบุว่าประเทศไทยยังมียาที่องค์การอนามัยโลกประกาศห้ามใช้แล้ว หลายตัว เช่น

ยา Analgin (Dipyron) หรือ Novalgin, ยา Cissapride เป็นยาแก้อาการ ปวดตามข้อ มีผลทำลายไตอย่างรุนแรง และสำคัญที่สุดคือ Nimesulide ยาแรงกว่าพาราเซตามอล “ปกติแพทย์จะสั่งให้เด็กกิน” มีผลข้างเคียงทำให้ไตวาย อย่างเฉียบพลัน องค์การอนามัยโลกจึงสั่งให้เลิกใช้ แต่เมืองไทยก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การกินยาลดไข้ และลดน้ำมูก ทำให้ร่างกายรักษาด้วยตัวเองไม่ได้ และจะต้องกินยาแก้อักเสบตามมา หรืออาจจะต้องกินยามากกว่านั้น เช่น ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลมเพื่อแก้หอบหืด และยาแก้หลอดลมอักเสบ ดังนั้นคนที่เลือกแนวทางการใช้ยาเคมีแผนปัจจุบันมักจะต้องกินยาหลายเม็ดในการเป็นโรคหวัด 1 รอบ แลจะต้องใช้เวลานานกว่า 1- 2 อาทิตย์กว่าจะกินยาวงรอบนั้นหมด

ตรงกันข้ามกับคนที่เลือกแนวทางธรรมชาติบำบัด ที่จะปล่อยให้ไข้ขึ้นเพื่อรักษาตัวเอง ขับพิษออกด้วยน้ำมูกให้มาก ไม่ทานอาหารย่อยยากระหว่างมีไข้ และดื่มเฉพาะน้ำผลไม้ กลับพบว่าสามารถหายป่วยจากหวัดเร็วขึ้นเพียงไม่กี่วัน (หรืออาจจะวันเดียว) และไม่มีอาการข้างเคียงจากยา !!!?


อาจจะมีคำถามที่หลายคนมักจะถามว่าถ้าไข้ขึ้นสูงจน “ช็อก” จะไม่อันตรายหรอกหรือ ซึ่งเรื่องนี้นายใจเพชร กล้าจน หรือ “หมอเขียว” แห่งสันติอโศกนักธรรมชาติบำบัดไทย ให้ความเห็นว่า แม้ว่าอาการไข้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็ต้องมี “ความพอดี” หากร่างกายรู้สึกทนไม่ได้ ทนไม่ไหว จึงค่อยเช็ดตัวจากภายนอกแทน

นอกจากนี้ หมอเจคอบ วาทักกันเชรี ยังได้อธิบายจากประสบการณ์รักษาว่าคนที่เป็นไมเกรนส่วนใหญ่มักจะกินยากดอาการขับพิษของร่างกายมากมาแล้วทั้งสิ้น จึงให้ความเห็นว่า

เวลาไปซื้อยา เราคิดว่ายาเป็นยาที่ดีมากเพราะหวัดหยุดทันทีแต่เชื่อว่า ในระยะเวลา 10-20 ปีต่อมาเราจะได้รับโรคไมเกรน

ต่อมาตับเราก็ทำงานด้วยประสิทธิภาพลงจากผลข้างเคียงของยา และจะเริ่มป่วยเป็นเบาหวาน เพราะยาสมัยใหม่กว่า 155 ชนิด ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน

ต่อมาพอเรากินยารักษาโรคเบาหวานไป 4-5 ปี เราก็จะมีอาการความดันโลหิตสูงตามมา จากนั้น 3-4 ปี ก็จะมีอาการโรคหัวใจตามมาเป็นผลพลอยได้

ต่อมาเรากินยารักษาโรคหัวใจ ภายใน 3-6 ปี เราก็จะป่วยเป็นโรคไต ชาตามมือ เท้า เปื่อยพุพองจากโรคเหบาหมาย และเบาหวานขึ้นไปที่ตา

คนที่เลือกแนวทางการกินยาเคมี มักจะจบลงด้วยการกินยาเคมีตัวอื่นๆที่เป็นโรคที่ลามเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่จากการกินยามากมาย จนสุดท้ายก็จะต้องกินยาเต็มกำมือ และดำรงชีวิตอยู่ด้วยยาเคมีเท่านั้น


คนที่รวยที่สุดจากโรคร้ายที่ลามเป็นลูกโซ่จากยาเคมีก็จะเป็นบริษัทยาทั้งหลาย และมีความสุขที่มนุษยชาติกินยาเพิ่มมากขึ้นทุกปี !!!

และถ้าคนไทยปรับวิธีคิดและหันมาให้ความสำคัญกับ “ธรรมชาติบำบัดมากขึ้น” สุขภาพคนไทยน่าจะดีขึ้นและอัตราการกินยาเคมีก็จะลดลง และมีโรคร้ายที่เป็นผลต่อเนื่องจากยาน้อยลง ประหยัดเงินจากการรักษาโรคได้มากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติและสร้างความสุขของคนไทย

“อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้ !!!

กำลังโหลดความคิดเห็น