“ทียูเอฟ” เร่งสร้างความแข็งแกร่งตลาดทั่วโลก หลังยุโรปและอเมริกาอยู่ตัวแล้ว ดันสู่รายได้ 240,000 ล้านบาท ในปี 2558 พร้อมรุกเออีซีต่อเนื่อง ด้านในประเทศไทย ทุ่ม 3,000 ล้านบาท ขยายธุรกิจ พร้อมรีแบรนด์ดิ้ง เปลี่ยนโลโก้ครั้งแรกรอบ 35 ปี
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆรวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น จากเดิมที่ตลาดต่างประเทศหลัก คือ อเมริกา สัดส่วนรายได้ 36% และยุโรปสัดส่วนรายได้ 32% จากรายได้รวมต่างประเทศ มีความแข็งแกร่งมากแล้วและเป็นผู้นำในตลาดแล้ว
โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆที่ต้องการขยายเพิ่มเติมมากขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียโดยเฉพาะในกลุ่มเออีซีที่จะมีผลในปี 2558 นี้ ซึ่งขณะนี้ในกลุ่มเออีซีมีรายได้สัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น คาดว่าหลังจกานี้จะเพิ่มเป็น 20% ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่าย หรือแม้แต่การตั้งโรงงาน และการเทคโอเวอร์ ซึ่งยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ
สำหรับสัดส่วนยอดขายปี 2554 นอกจากอเมริกาและยุโรปที่กล่าวมาข้างต้น ยังมาจากญี่ปุ่น10% แอฟริกา 3% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย2% แคนาดา 1% อเมริกาใต้ 1% ส่วนไทย 10% จากรายได้รวมปีที่แล้วของทียูเอฟรวม 98,670 ล้านบาท หรือ 3,232 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสัดส่วน 2 ใน 3 เป็นรายได้ที่มาจากบริษัทลูกในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2563 จะมีประมาณ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 240,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดรายได้เติบโต 20% ล่าสุดได้ขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศปาปัวนิวกินี ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทจากฟิลิปปินส์ และผู้ร่วมทุนอีกราย โดยทียูเอฟถือหุ้น 1 ใน 3 เพื่อดำเนินการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง คาดว่าจะเริ่มผลิตได้กลางปีนี้
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในประเทศไทย ตั้งงบประมาณลงทุนไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ตามปกติ ซึ่งไม่นับรวมกับงบประมาณการเทคโอเวอร์หรือร่วมกิจการต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิต ส่วนงบการตลาดในประเทศตั้งไว้ 200 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท ทำการปรับภาพลักษณ์หรือรีแบรนด์ทียูเอฟครั้งแรกในไทยในรอบ 35 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมา
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆรวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น จากเดิมที่ตลาดต่างประเทศหลัก คือ อเมริกา สัดส่วนรายได้ 36% และยุโรปสัดส่วนรายได้ 32% จากรายได้รวมต่างประเทศ มีความแข็งแกร่งมากแล้วและเป็นผู้นำในตลาดแล้ว
โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆที่ต้องการขยายเพิ่มเติมมากขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียโดยเฉพาะในกลุ่มเออีซีที่จะมีผลในปี 2558 นี้ ซึ่งขณะนี้ในกลุ่มเออีซีมีรายได้สัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น คาดว่าหลังจกานี้จะเพิ่มเป็น 20% ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่าย หรือแม้แต่การตั้งโรงงาน และการเทคโอเวอร์ ซึ่งยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ
สำหรับสัดส่วนยอดขายปี 2554 นอกจากอเมริกาและยุโรปที่กล่าวมาข้างต้น ยังมาจากญี่ปุ่น10% แอฟริกา 3% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย2% แคนาดา 1% อเมริกาใต้ 1% ส่วนไทย 10% จากรายได้รวมปีที่แล้วของทียูเอฟรวม 98,670 ล้านบาท หรือ 3,232 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสัดส่วน 2 ใน 3 เป็นรายได้ที่มาจากบริษัทลูกในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2563 จะมีประมาณ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 240,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดรายได้เติบโต 20% ล่าสุดได้ขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศปาปัวนิวกินี ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทจากฟิลิปปินส์ และผู้ร่วมทุนอีกราย โดยทียูเอฟถือหุ้น 1 ใน 3 เพื่อดำเนินการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง คาดว่าจะเริ่มผลิตได้กลางปีนี้
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในประเทศไทย ตั้งงบประมาณลงทุนไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ตามปกติ ซึ่งไม่นับรวมกับงบประมาณการเทคโอเวอร์หรือร่วมกิจการต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิต ส่วนงบการตลาดในประเทศตั้งไว้ 200 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท ทำการปรับภาพลักษณ์หรือรีแบรนด์ทียูเอฟครั้งแรกในไทยในรอบ 35 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมา