“ทียูเอฟ” มองวิกฤตเป็นโอกาส เตรียมเท 3,000 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป มั่นใจดันรายได้ทะลุ 5,000 ล้านเหรียญในปี58 ล่าสุดลุยต่อตลาดยุโรป ไม่หวั่นเศรษฐกิจซบ พร้อมโฟกัสอาเซียนเล็งต่อยอดธุรกิจรับเออีซี เดินหน้าปลุกชีพ ซีเล็ก-ฟิชโช เชื่อสิ้นปีรายได้โตแน่ 20%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังมุ่งขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศในแถบในยุโรป เช่น รัสเซีย เยอรมัน และสแกนดิเนเวีย โดยการนำสินค้าภายใต้แบรนด์เอ็มดับบลิวเข้าไปทำตลาด อีดทั้งยังเดินหน้าขยายตลาดไปยังอาฟริกา และอเมริกาใต้ อีกส่วนหนึ่งด้วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจส่งออก จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้การส่งออกมา จากอเมริกา 36% ยุโรป 32% ญี่ปุ่น 10% อาฟริกา 3% โอเซียเนีย ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1
“แม้ว่าปัจจุบันยุโรปยังคงมีปัญหาในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากธุรกิจของบริษัทเป็นสินค้าบริโภคมีผลิตภัณพ์ปลาทูน่า และกุ้งแช่แข็งเป็นสินค้าหลักในการทำตลาด ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และยังมีช่องว่างให้เข้าไปขยายธุรกิจอีกมาก ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เติบโตสูงอยู่ที่ประมาณ 43% ส่งผลให้ปีนี้ทางบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับตลาดยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน หรือเออีซีที่จะมีขึ้นในปี 2558 นั้น บริษัทยังไม่มีแผนที่จะใช้งบลงทุนเพื่อรับการเปิดเสรีดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนามอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงทุนโรงงานเพิ่ม แต่จะเน้นการหาวัตถุดิบในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า และอินโดนีเซีย ซึ่งมีความสมบูรณ์ในด้านของทรัพยากรธรรมชาติมาเสริมแหล่งวัตถุดิบในประเทศ พร้อมทั้งนำสินค้าภายใต้แบรนด์ซีเล็ค และฟิชโช ชูเป็นสินค้าหลักในการทำตลาดภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับการทำตลาดในประเทศ
ส่วนแผนการทำตลาดในประเทศ ปีนี้เราจะหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าภายใต้แบรนด์ซีเล็ค และฟิชโช อย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่าจะหันมาทำตลาดในประเทศแต่สัดส่วนรายได้ในประเทศก็ยังคงเท่าเดิมที่ประมาณ 10% เนื่องจากตลาดต่างประเทศยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง
และแม้ว่าปีนี้จะไม่เน้นการลงทุน แต่ในส่วนของปีหน้าบริษัทยังคงมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจด้านต่างๆโดยหลังจากที่บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,323 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 43% หรือมียอดขายในรูปเงินบาท 98,670 ล้านบาท สูงเกินเป้าหมายที่วางไว้แบ่งเป็นในประเทศ 10% และต่างประเทศ 90% มั่นใจว่าภายในปีใ 2558 บริษัทจะมีรายได้แตะ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 8,000 ล้านเหรียญในปี 2563ได้
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังมุ่งขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศในแถบในยุโรป เช่น รัสเซีย เยอรมัน และสแกนดิเนเวีย โดยการนำสินค้าภายใต้แบรนด์เอ็มดับบลิวเข้าไปทำตลาด อีดทั้งยังเดินหน้าขยายตลาดไปยังอาฟริกา และอเมริกาใต้ อีกส่วนหนึ่งด้วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจส่งออก จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้การส่งออกมา จากอเมริกา 36% ยุโรป 32% ญี่ปุ่น 10% อาฟริกา 3% โอเซียเนีย ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1
“แม้ว่าปัจจุบันยุโรปยังคงมีปัญหาในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากธุรกิจของบริษัทเป็นสินค้าบริโภคมีผลิตภัณพ์ปลาทูน่า และกุ้งแช่แข็งเป็นสินค้าหลักในการทำตลาด ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และยังมีช่องว่างให้เข้าไปขยายธุรกิจอีกมาก ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เติบโตสูงอยู่ที่ประมาณ 43% ส่งผลให้ปีนี้ทางบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับตลาดยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน หรือเออีซีที่จะมีขึ้นในปี 2558 นั้น บริษัทยังไม่มีแผนที่จะใช้งบลงทุนเพื่อรับการเปิดเสรีดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนามอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงทุนโรงงานเพิ่ม แต่จะเน้นการหาวัตถุดิบในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า และอินโดนีเซีย ซึ่งมีความสมบูรณ์ในด้านของทรัพยากรธรรมชาติมาเสริมแหล่งวัตถุดิบในประเทศ พร้อมทั้งนำสินค้าภายใต้แบรนด์ซีเล็ค และฟิชโช ชูเป็นสินค้าหลักในการทำตลาดภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับการทำตลาดในประเทศ
ส่วนแผนการทำตลาดในประเทศ ปีนี้เราจะหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าภายใต้แบรนด์ซีเล็ค และฟิชโช อย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่าจะหันมาทำตลาดในประเทศแต่สัดส่วนรายได้ในประเทศก็ยังคงเท่าเดิมที่ประมาณ 10% เนื่องจากตลาดต่างประเทศยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง
และแม้ว่าปีนี้จะไม่เน้นการลงทุน แต่ในส่วนของปีหน้าบริษัทยังคงมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจด้านต่างๆโดยหลังจากที่บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,323 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 43% หรือมียอดขายในรูปเงินบาท 98,670 ล้านบาท สูงเกินเป้าหมายที่วางไว้แบ่งเป็นในประเทศ 10% และต่างประเทศ 90% มั่นใจว่าภายในปีใ 2558 บริษัทจะมีรายได้แตะ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 8,000 ล้านเหรียญในปี 2563ได้