xs
xsm
sm
md
lg

DSIขีด3วันส่งคดีฉกซูโดฯ ตร.ออกหมายจับคนขนยาแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ดีเอสไอขีดเส้น 3 วัน 7สถานีตำรวจส่งสำนวนสอบสวนคดียาซูโดอีเฟดรีนหาย พร้อมเชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนัดแรก 2 เม.ย.นี้ "ธาริต"บุกพบสาธารณสุข หารือสอบ รพ.รัฐ เอกชน คลีนิก และบริษัทยาต่อวันนี้ ด้าน รพ.นวมินทร์ 9 ยันยาไม่หาย แค่รายงานผิดพลาด แต่ที่รพ.ภูสิงห์ พบหายจริง 2.5 แสนเม็ด ส่วนคดีเภสัชกร รพ.ทองแสนขัน สั่งซื้อยา ถูกส่งถึงมือ ปปท. แล้ว ล่าสุดตำรวจออกหมายจับ "อาร์ท" คนหอบยาขึ้นเชียงใหม่ "ไพจิตร์"สั่งเฉียบ 1 เดือน ต้องสรุปสอบข้าราชการเอี่ยวฉกยา

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทร์ขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ประสานให้สถานีตำรวจ 7 แห่ง ได้แก่ สภ.เมืองอุดร , สภ.กมลาไสย , สภ.ภูสิงห์ , สภ.สันกำแพง , สภ.ฮอด , สภ.ดอยหล่อ และสภ.ทองแสนขัน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ ส่งสำนวนการสอบสวนคดีลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟดรีนออกจากโรงพยาบาลจำนวนมากมาให้ดีเอสไอภายใน 3 วัน โดยดีเอสไอจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปรับสำนวนใน 7 ท้องที่วันที่ 30 มี.ค.นี้ หลังจากที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้มีมติให้รับเป็นคดีพิเศษแล้ว

พร้อมกันนี้ ดีเอสไอได้ทำหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาสนธิกำลังสอบสวนคดี ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) , สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยจะนัดการประชุมวางแผนงานร่วมกันอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย. เวลา 14.00 น.

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (28 มี.ค.) ตนจะเข้าพบกับนพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายพสิษฐ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข เพื่อหารือถึงการสนธิกำลังตรวจสอบทั้งโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก และบริษัทยาที่มียอดการสั่งใช้มากผิดปกติด้วย

***สั่งสอบยาหายจากรพ.นวมินทร์9

นายธาริตกล่าวว่า ได้มอบหมายให้นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ สำนักคดีความมั่นคง ไปขอข้อมูลการสั่งซื้อยาแก้หวัดของรพ.นวมินทร์ 9 เนื่องจาก อย. พบข้อมูลความต่างในการรายงานยอดสั่งซื้อยาแก้หวัดประมาณ 300,000 เม็ด จึงขอให้เจ้าหน้าที่รพ. ชี้แจงส่วนต่างที่ไม่ตรงกัน และขอให้ผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำยาออกจากระบบของรพ. เข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอเพื่อกันตัวไว้เป็นพยาน

ด้านนายทวีวัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลการสั่งซื้อยาของรพ.นวมินทร์ 9 พบว่ามีความแตกต่างจากรพ.ทั่วไป เนื่องจากเป็นรพ.เอกชนจึงมีระบบบริหารและจัดซื้อของตัวเอง ดังนั้นดีเอสไอจะตรวจสอบความผิดปกติได้จากยอดการสั่งซื้อและสั่งจ่ายยาในระบบเมื่อตรงกันก็ถือว่าไม่มีความผิดปกติ ซึ่งในส่วนของรพ.นวมินทร์ 9 มีการจัดซื้อยากับบริษัท โอสถอินเตอร์แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด โดยรพ.นวมินทร์ 9 เป็นศูนย์กลางการสั่งซื้อยาให้กับรพ. เครือข่าย คือ รพ.นวมินทร์ 1 และคลินิกเครือข่ายอีก 13 แห่ง ซึ่งมีเจ้าหน้าห้องยาเป็นผู้ดูแลคลังยาศูนย์กลางก่อนจะกระจายยาไปยังรพ.นวมินทร์ 1 ซึ่งจะมีเภสัชกรเป็นผู้ดูแล อย่างไรก็ตาม รพ.นวมินทร์ 9 ชี้แจงถึงยอดการสั่งยาที่ไม่ตรงกันว่าเกิดจากความผิดพลาดในการรายงานของบริษัทต่ออย. เพราะบริษัทรายงานยอดรวมว่ายอดสั่งซื้อจำนวน 650,000 เม็ด เป็นของรพ.นวมินทร์ 9 ทั้งที่จริงแล้วยาถูกนำมาแบ่งให้รพ.นวมินทร์ 1 จำนวน 300,000 เม็ด เบื้องต้นทราบว่าบริษัทโอสถฯ ได้ทำหนังสือรับรองและเข้าชี้แจงกับอย.ไปเมื่อวันที่ 26 มี.ค.แล้ว

***รพ.ยันยาไม่หายแค่รายงานผิดพลาด

นายยุทธภูมิ มีประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารที่เป็นผู้รับผิดชอบคลังยาของรพ.นวมินทร์ 9 กล่าวยืนยันว่า ยอดจากสั่งซื้อยาที่มีความแตกต่างกันเกิดจากความผิดพลาดในการรายงานของบริษัทโอสถฯ เนื่องจากทางบริษัทรายงานยอดรวมการสั่งซื้อทั้งของรพ.นวมินทร์ 1 และนวมินทร์ 9 โดยยอดการสั่งซื้อของรพ.นวมินทร์ 9 มีจำนวน 350,000 เม็ด ขณะที่ยอดการสั่งซื้อของรพ.นวมินทร์ 1 มีจำนวน 300,000 เม็ด ซึ่งขณะนี้บริษัทโอสถฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกับอย.แล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าผลการชี้แจงเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรพ.นวมินทร์ 9 ซึ่งเปิดให้บริการมา 3 ปี มียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดการสั่งยอดต้องเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ป่วย โดยที่ผ่านมา ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการสั่งจ่ายยาดังกล่าว แต่ยอมรับว่ารพ. ไม่เคยเห็นยอดการสั่งยาที่บริษัท โอสถฯ แจ้งกับอย. สำหรับสต๊อกยาของรพ.นวมินทร์ 9 ขณะนี้เหลือยาอยู่ประมาณ 190,000 เม็ด โดยล่าสุดอย.ได้กันยาไว้ 100,000 เม็ด แต่หากรพ.ต้องการสั่งจ่ายยาให้ผู้ป่วยเพิ่มก็สามารถขออนุญาตจากทางอย.ได้ครั้งละ 50,000 เม็ด

***รพ.ภูสิงห์ยาหายจริง2.5แสนเม็ด

วันเดียวกันนี้ ที่โรงพยาบาลภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณียาแก้ไข้หวัดสูตร “ซูโดอีเฟดรีน” หายจากโรงพยาบาลภูสิงห์ จำนวน 250,000 เม็ด โดยมี นพ.วันชัย เหล่าเสถียรกิจ รองสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ลงพื้นที่ตรวจสอบเก็บข้อมูลโดยมีผู้เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่เภสัชกรประจำโรงพยาบาลเข้าให้ข้อมูลเป็นครั้งที่ 2

นพ.วันชัยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และข้อมูลที่ได้เป็นประโยชน์ต่อผลการสอบสวนมาก โดยยอดจำนวนยาที่หายไปตรงตามผลการตรวจสอบของดีเอสไอ คือ จำนวน 250,000 เม็ด และจะเร่งสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด คาดว่าภายในสัปดาห์นี้อาจทราบรายละเอียดทั้งหมด ส่วนขั้นตอนการสอบสวน จะดูรายละเอียดทั้งหมด ขั้นตอนการสั่งซื้อยา ขั้นตอนการตรวจรับยา และการเก็บรักษายาในคลังยา รวมไปถึงการจ่ายยา โดยเฉพาะการจ่ายยานั้นต้องดูว่ามีเอกสารจ่ายยาที่ถูกต้องหรือไม่ มีผู้ป่วยคนไหนรับยาเกินความเป็นจริงหรือไม่

ส่วนการเอาผิดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากผลการสอบสวนแล้วเสร็จ พบว่า การจ่ายยาและการเก็บรักษายาในคลังยาเกิดความผิดพลาดจริง เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บริหารโรงพยาบาลต้องรับผิดชอบกับกรณีเรื่องนี้โดยตรง เพราะถือว่าเป็นความผิดโดยตรงจากความบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะต้องย้ายออกจากพื้นที่แน่ ซึ่งผลสอบสวนจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้

***ส่งสำนวนเภสัชกรรพ.ทองแสนขันให้ปปท.

ด้านพ.ต.ท.อำนาจ คำอุไร รอง ผกก.สส.สภ.ทองแสนขัน กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนายขจร วินัยพาณิช รอง สสจ.อุตรดิตถ์ พร้อมนายพิทยา คชนิล นิติกรชำนาญการ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน เภสัชกร 7 ประจำโรงพยาบาลทองแสนขัน ลักลอบจำหน่ายยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีน มียอดสั่งซื้อจากบริษัทยาในนามโรงพยาบาลทองแสนขัน ด้วยข้อหาปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ว่า ด้านการสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วเกือบ 10 ปาก พร้อมทั้งให้ทางผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาทองแสนขัน ตรวจสอบและเซ็นเอกสารรับรองสำเนาเงินฝาก ทั้งกระแสรายวันและออมทรัพย์ ชื่อเงินสวัสดิการและลูกจ้างโรงพยาบาลทองแสนขัน ที่นายธีรพงษ์ เภสัชกร เซ็นสั่งจ่ายเช็คเงินสด เป็นค่ายาซูโดอีเฟดรีน ให้กับบริษัทยาร่วมกับนายแพทย์สาโรจน์ ใจมุข แพทย์ประจำโรงพยาบาลทองแสนขัน ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองแสนขัน เพื่อนำเอกสารดังกล่าวไปประกอบสำนวนส่งมอบให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.)จ.พิษณุโลก

ล่าสุดได้ส่งเรื่องดังกล่าวถึงมือ ปปท.จ.พิษณุโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ปปท.จะนำเรื่องเข้าส่วนกลางที่กรุงเทพฯ เพื่อนำเป็นเรื่องรวมกับพื้นที่จังหวัดอื่นที่เป็นคดีเดียวกัน

***ออกหมายจับ"อาร์ท"คนขนยา

ขณะที่ทาง พ.ต.ท.อาทิตย์ ใจมา พงส.สบ.3 สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้ดำเนินการออกหมายจับนายอุดร การสมพรต หรือนายอาร์ท บ้านเลขที่ 195/9 ต.ต้นเปา อ.สันกำแพง จงเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำกล่องพัสดุยาซูโดอีเฟดรีน จากพื้นที่โรงพยาบาลทองแสนขัน มารวบรวมเอาไว้ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อนำยาดังกล่าว ที่มีส่วนผสมสารตั้งต้นสำหรับผลิตยาเสพติดนำไปผลิตยาบ้า ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ตัวเนื่องจากหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อยู่

ในส่วนของ สภ.ทองแสนขัน กำลังรอเอกสารบางส่วนเพิ่มเติมจาก สภ.สันกำแพง เพื่อนำมาประกอบสำนวนในคดีเพิ่มเติม เพื่อพ่วงเอาผิดกับผู้ร่วมขบวนการในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ นอกเหนือจากนายธีรพงษ์ เภสัชกร โรงพยาบาลทองแสนขัน

** “พสิษฐ์”เร่งหาความผิดปกติสต๊อก

นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า มีสถานพยาบาลที่เกิดความผิดปกติในเรื่องสต็อกยากี่แห่ง แต่ในส่วนที่ตรวจสอบไปแล้ว เช่น รพ.นวมินทร์ 9 ยังต้องตรวจซ้ำ เพื่อหาว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นว่ามาจากส่วนใด โดยวันที่ 28 มี.ค. จะเข้าตรวจสอบคลินิกที่ได้รับเบาะแสเพิ่มเติม สำหรับที่อื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึก ซึ่งยังมี รพ.ส่วนหนึ่งที่รายงานตัวเลขไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งนี้ การตรวจสอบไม่ได้ต้องการเอาผิดผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพราะเชื่อว่า ผู้บริหารบริหารงานอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ผู้กระทำในขบวนการอาจเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด และต้องการหาว่าความจริงแล้ว ใครเป็นปลาตัวใหญ่กันแน่

ส่วนกรณีเรื่องของการตรวจสอบข้าราชการระดับสูง ตนต้องขอเวลาในการหารือร่วมคณะทำงานว่าจะมีรายละเอียดหรือหลักฐานอะไรเพิ่มหรือไม่ หากได้รับข้อมูลใหม่ๆ ก็จะนำเรื่องดังกล่าว รายงานให้ รมว.สาธารณสุขทราบ

***"ไพจิตร์"เร่งสอบข้ารายการเอี่ยวยา

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโรงพยาบาลอีก 3 แห่งเข้าข่ายเบิกจ่ายยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนผิดปกติหรือไม่ ว่า สำหรับรพ.เสริมงาม จ.ลำปาง รพ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ รพ.สันทราย จ.เชียงใหม่ กำลังเร่งให้ได้ผลตรวจสอบเบื้องต้นภายในสัปดาห์นี้ว่า มีความผิดปกติหรือไม่

ส่วนการย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ขณะนี้ได้ย้ายมาส่วนกลางแล้ว 9 คน ได้แก่ รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ จำนวน 3 คน คือ ผอ.รพ.สอบวินัยไม่ร้ายแรง เภสัชกร และเจ้าพนักงานสอบวินัยร้ายแรง รพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ย้าย 2 คน คือ ผู้อำนวยการและเภสัชกร รพ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ มีเภสัชกร 1 คน รพ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มี 3 คน คือ ผู้อำนวยการผอ.สอบวินัยไม่ร้ายแรง เภสัชกรและเจ้าพนักงานสอบวินัยร้ายแรง ส่วนเภสัชกรที่รพ.อุดรธานี ขณะนี้ยังหลบหนีอยู่

"ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปพร้อมกับการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยของจังหวัด โดยตามขั้นตอนระเบียบราชการจะใช้ระยะเวลาสอบ 60 วัน แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงตั้งเงื่อนเวลาให้เสร็จภายใน 1เดือน ส่วนกรณีรพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ที่รายงานเบื้องต้นพบว่าน่าจะมีมูลความผิดนั้น ล่าสุดได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า เภสัชกรได้เข้าชี้แจงกับทางจังหวัดว่า ยาที่สั่งมาได้มีการแบ่งให้หน่วยทหาร หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ใช้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ติดแนวชายแดน ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร โดยได้กำชับผู้ตรวจราชการจังหวัดทำรายงานให้เสร็จภายในวันที่ 30 มี.ค.นี้" นพ.ไพจิตร์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น