ดีเอสไอเตรียมเรียกข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข สืบหาข้อมูลโยงขบวนการผลิตยาบ้า เผยมีหลักฐานชี้ชัดพบ 3 โรงพยาบาลเกี่ยวข้อง
วันนี้ (10 เม.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ประชุมวางแนวทางการสอบสวนคดีทุจริตเบิกยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ออกจากโรงพยาบาล ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (พฐ.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับที่จะใช้ในการดำเนินคดีต่อกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องในการส่งจำหน่ายยาแก้หวัดให้ขบวนการผลิตยาเสพติดใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า และยาไอซ์
นายสรรเสริญกล่าวภายหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมสนธิกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องจากการประชุมนัดแรก เมื่อวันที่ 2 เมษายน เพื่อร่วมกันติดตามข่าวสารล่าสุดจากทุกหน่วยงาน นำมารายงานให้ดีเอสไอได้รับทราบ และได้มีการแลกเปลี่ยนและโดยจะหารือว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้การสอบสวนขยายผลอยู่ในแนวทางเดียวกัน โดยได้ข้อสรุปว่าบางส่วนอาจต้องสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมในบางที่
“ขณะนี้แน่นอนแล้วว่าโรงพยาบาลมี 3 แห่งที่มีหลักฐานชัดสามารถดำเนินคดีได้ โดยไม่มีอุปสรรคอะไร ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์จังหวัดอุดรธานี โรงพยาบาลทองแสงขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ และโรงพยาบาลสยามราษฎร์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน” รองอธิบดีดีเอสไอกล่าว
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวถึงแนวทางการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดเพิ่งมีหนังสือให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเข้ามาร่วมทำการสอบสวน ซึ่งวันนี้ดีเอสไอได้ประชุมหารือไปแล้วค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม คิดว่าอาจไม่ต้องถึงขั้นออกหมายจับ เพราะผู้กระทำความผิดที่เป็นราชการ อาจเชิญตัวมาสอบถามและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำก่อน ทั้งนี้ ผู้ที่จะเชิญมาส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว โดยจะสอบถามพฤติกรรมที่เกิดขึ้น คาดว่าจะเรียกตัวมาไม่ยาก เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ส่วนจะมีการดำเนินคดีข้อหาอื่นนอกเหนือจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 หรือไม่นั้น กรณีที่เป็นเจ้าพนักงานสามารถดำเนินตามข้อหาอาญา มาตรา 147 และ 157 ได้เลย ส่วนการจะใช้กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ร.บ.ยาและ พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท จะต้องแยกว่าพฤติกรรมการกระทำความผิดว่าเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ใด โดยบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับคดีดังกล่าว มีทั้งโรงพยาบาลรัฐ และคลินิกเอกชน ซึ่งการพิจารณาลักษณะความผิดหากมีการพบหลักฐานเป็นยาที่ยังอยู่ในแผงบรรจุจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยา แต่ถ้าพบยาดังกล่าวถูกแกะออกจากห่อที่บรรจุแล้วตั้งแต่ 80 เม็ดขึ้นไปจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์
ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า วันนี้ตนได้เดินทางเข้าพบกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้พบความเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว แต่ยังต้องตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกต่อไป
วันเดียวกัน นายนพพล น้อยบ้านโง้ง และ น.ส.ศรีวรินทร์ บุญทับ ตัวแทนกลุ่มประชาชนปฏิวัติองค์กรอิสระทุจริตเงินแผ่นดิน (ปปอ.) เข้ายื่นหนังสือต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้เร่งตรวจสอบกรณีมีข่าวบุคคลใกล้ชิดข้าราชการระดับสูงอักษรย่อ ป. และข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวข้องกรณียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนรั่วไหลออกจากสถานพยาบาล ซึ่งเบื้องต้นดีเอสไอรับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว