ASTVผู้จัดการรายวัน - รถบรรทุกแก๊ส LPG พุ่งชนสะพานย่านพัฒนาการพลิกคว่ำไฟลุกท่วม ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย บ้านเรือนเสียหาย 5 หลัง ขณะที่ตำรวจเร่งติดตามเจ้าของรถ พร้อมโชเฟอร์ที่หลบหนีมาสอบหาข้อเท็จจริง ด้านกทม. เผยทำบ้านพัง 5 หลัง ด้านผู้บริหารปิคนิคฯ ยันไม่เกี่ยวข้องรถแก๊สระเบิด
วานนี้ (23 มี.ค.) เวลา 05.30 น. พ.ต.ท.กฤษดา ขันโสดา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.คลองตัน รับแจ้งเหตุมีรถบรรทุกแก๊ส 10 ล้อ แอลพีจี พุ่งชนราวสะพานคลองบ้านป่า ใกล้กับชุมชนคลองสะแก ถ.พัฒนาการ บริเวณปากซอย 20-22 ขาเข้ามุ่งหน้าแยกคลองตัน แขวงและเขตสวนหลวง กทม. พลิกคว่ำจนเกิดเพลิงลุกไหม้ จึงรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมประสานรถดับเพลิงจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. กว่า 10 คัน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูและป่อเต็กตึ๊ง
โดยที่เกิดเหตุเป็นช่วงระหว่างสะพาน พบรถบรรทุกแก๊สแอลพีจี ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว ทะเบียน ทว 75-3816 กทม. สภาพชนกับราวสะพานด้านเกาะกลางเสียหายทั้งคัน จนมีแก๊สรั่วไหลตามพื้นผิวถนน มีแสงไฟพวยพุ่งสูงกว่า 10 เมตร ออกมาจากถังบรรจุแก๊ส เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ เพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามออกไป จากการตรวจสอบพบตึกแถวบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหายและมีกระจกแตก รวมทั้งบริเวณโรงไม้ ของบริษัท ไต้ฮั้ว ค้าไม้ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ได้เกิดเพลิงไหม้บนหลังคาทำให้ชาวบ้านต้องรีบดับไฟจนสามารถคุมเพลิงไว้ได้ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายบัวพันธ์ สุวรรณแสน อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 ม.7 ต.หนองแวงควง อ. ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ลูกจ้างร้านค้าไม้ ถูกไฟไหม้ตามตัว อาการสาหัส ถูกนำตัวส่ง รพ.เพชรเวช ส่วนคนขับรถบรรทุกหลบหนีไปหลังเกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดการจราจรตั้งแต่สี่แยกคลองตัน ยาวไปถึงปากซอยพัฒนาการ 25 ประมาณ 1 ก.ม.
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถบรรทุกแก๊สคันดังกล่าวได้ขับตามรถเก๋งมาด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุรถเก๋งกลับชะลอความเร็วทำให้รถบรรทุกต้องรีบหักหลบกะทันหันพจนเสียหลักพุ่งไปชนกับราวสะพานและท่อส่งน้ำจนแตก และพลิกคว่ำดังกล่าว ช่ววงนั้นคนขับรถบรรทุกพยายามจะวิ่งเข้าไปปิดวาล์ว แต่กลับเกิดระเบิดเสียก่อน ทำให้คนขับอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้
พ.ต.ท.กฤษดา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะทำการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ รวมถึงติดตามบริษัทเจ้าของรถแก๊ส และคนขับรถแก๊สมาสอบปากคำ หากสอบสวนแล้วพบมีความผิดจะต้องดำเนินการต่อไป
**จนท.ระดมฉีดน้ำไม่ให้เกิดอันตราย
เวลา 09.00 น. นายประเวศน์ เพียรธรรม ผอ.เขตสวนหลวง กล่าวว่า จากการตรวจสอบพื้นที่การชนของรถบรรทุกแก๊ส ส่งผลให้ท่อน้ำประปาที่อยู่บนสะพานได้รับความเสียหายแตกยาวประมาณ 40 ซม. และทำให้น้ำได้พุ่งใส่ตัวรถ ประกอบกับทางเจ้าหน้าที่ก็ระดมฉีดน้ำเลี้ยงเอาไว้ ทำให้ไม่อันตรายมาก โดยปริมาณแก๊สในถังบรรทุกมีอยู่ประมาณ 4,000 ลิตร คงต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกว่าแก๊สจะหมด
นางพูน ทรัพย์สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของ ธพ.ที่ดูแลเรื่องระบบความปลอดภัยได้เข้าไปยังพื้นที่ เพื่อเร่งทำการตรวจสอบจากกรณีดังกล่าวแล้ว
ส่วนนายสมนึก บำรุงสี รองอธิบดี ธพ.ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมลงพื้นที่เข้าไปยังที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ได้เดินทางถึงที่เกิดเหตุและได้เข้าทำการตรวจสอบยืนยันในความปลอดภัย โดยได้มีการกันพื้นที่โดยรอบเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้และมีการควบคุมเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ได้มีการฉีดน้ำเป็นม่านบังเพื่อให้ไฟเผาไหม้จนหมด ซึ่งยืนยันปริมาณแก๊สที่ออกมาไม่ได้อยู่ในระดับอันตรายใดๆโดยได้มีการควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมดจึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัย
**ทำบ้านพัง 5 หลังเจ็บ 1
เวลา 13.30 น. นายวัลลภ สุวรรรณดี รองผู้ว่า กทม. เปิดเผยว่า บ้านเรือนได้รับความเสียหายประมาณ 5 หลัง กระจกแตกหลายบาน คาดว่าน่าจะเกิดจากแรงดันของแก๊ส ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ได้ฉีดน้ำเลี้ยง เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนและไม่ให้เพลิงลุกลามตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งเวลา 11.30 น. เนื่องจากตัวถังฉีดขาด เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปปิดวาร์วได้ จึงมีเพลิงไฟออกมาเป็นระยะๆ ทำได้เพียงรอให้แก๊สหมดถัง
นายวัลลภ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายรถออกและเปิดทางจราจรแล้ว ทางบริษัทฯ เจ้าของรถก็ทราบเรื่องแล้ว คงต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แต่คนขับรถได้หนีไป อย่างไรก็ตาม จากนี้จึงเป็นเรื่องของเจ้าที่ตำรวจในการสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนกทม. ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่รับผิดชอบแล้ว
**ส่งจนท.ซ่อมท่อประปาทันทีหลังไฟดับ
น.ส.ทรรศนีย์ ฤกษ์ศานติวงษ์ ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กร การประปานครหลวง(กปน.) กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ท่อประปา ซึ่งเป็นท่อประธานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 มิลลิเมตรแตก ส่งผลให้น้ำในบริเวณนั้นไหลอ่อน ซึ่งกปน. ได้ส่งกองงานซ่อมท่อประธานซึ่งได้เตรียมความพร้อมในการซ่อมท่อแล้ว
**ตร.ยันพ้นขีดอันตรายแล้ว
พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก. สน.คลองตัน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่ววโชคดีที่ถังแก๊สมีระบบเซฟตี้ทำงาน ทำให้แก๊สพุ่งสู่อากาศ ไม่เกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนที่ประตูน้ำเมื่อปี 2533โดยเหตุการณ์รถแก๊สคว่ำที่ถนนพัฒนาการ จากการสอบถามวิศวกร ปตท. ที่มาที่เกิดเหตุพบว่าสถานการณ์พ้นขีดอันตรายแล้ว
***ปิคนิค ยันไม่เกี่ยวข้องรถแก๊ส
นายสงวน ตรีเจริญวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการตรวจสอบรถแก๊สLPGที่พลิกคว่ำและเกิดเพลิงไหม้ที่แถวพัฒนาการ เขตสวนหลวงนั้น เป็นรถรับจ้างขนแก๊สของบริษัท พีลาทัส แลนด์ แอนด์ ทรานสปอร์ต ซึ่งรับขนส่งแก๊สให้เวิลด์แก๊สเพื่อไปส่งยังลูกค้าเวิลด์แก๊สจึงไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใดแม้ว่ารถแก๊สดังกล่าวจะมีโลโก้ของบริษัทฯติดอยู่ก็ตาม
*** ระดมถกคุมเข้มความปลอดภัย
นายวีระพล จิระประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเรียกประชุมผู้ประกอบการรถก๊าซLPG และผู้ประกอบการธุรกิจLPG มาหารือและกำชับเรื่องความปลอดภัยในการขนส่ง หลังจากเกิดอุบัติเหตุรถก๊าซแอลพีจีไฟไหม้ที่ถนนพัฒนาการ รวมถึงหารือกับกรมการขนส่งทางบกว่า จะมีการควบคุมดูแลพนักงานขับรถขนส่งก๊าซเพิ่มเติมได้อย่างไร
เพราะกฎหมายดูแลคนขับเป็นกฎหมายภายใต้กรมการขนส่งทางบก และที่ผ่านมาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากความประมาทของคนขับทั้งสิ้น
วานนี้ (23 มี.ค.) เวลา 05.30 น. พ.ต.ท.กฤษดา ขันโสดา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.คลองตัน รับแจ้งเหตุมีรถบรรทุกแก๊ส 10 ล้อ แอลพีจี พุ่งชนราวสะพานคลองบ้านป่า ใกล้กับชุมชนคลองสะแก ถ.พัฒนาการ บริเวณปากซอย 20-22 ขาเข้ามุ่งหน้าแยกคลองตัน แขวงและเขตสวนหลวง กทม. พลิกคว่ำจนเกิดเพลิงลุกไหม้ จึงรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมประสานรถดับเพลิงจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. กว่า 10 คัน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูและป่อเต็กตึ๊ง
โดยที่เกิดเหตุเป็นช่วงระหว่างสะพาน พบรถบรรทุกแก๊สแอลพีจี ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว ทะเบียน ทว 75-3816 กทม. สภาพชนกับราวสะพานด้านเกาะกลางเสียหายทั้งคัน จนมีแก๊สรั่วไหลตามพื้นผิวถนน มีแสงไฟพวยพุ่งสูงกว่า 10 เมตร ออกมาจากถังบรรจุแก๊ส เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ เพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามออกไป จากการตรวจสอบพบตึกแถวบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหายและมีกระจกแตก รวมทั้งบริเวณโรงไม้ ของบริษัท ไต้ฮั้ว ค้าไม้ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ได้เกิดเพลิงไหม้บนหลังคาทำให้ชาวบ้านต้องรีบดับไฟจนสามารถคุมเพลิงไว้ได้ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายบัวพันธ์ สุวรรณแสน อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 ม.7 ต.หนองแวงควง อ. ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ลูกจ้างร้านค้าไม้ ถูกไฟไหม้ตามตัว อาการสาหัส ถูกนำตัวส่ง รพ.เพชรเวช ส่วนคนขับรถบรรทุกหลบหนีไปหลังเกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดการจราจรตั้งแต่สี่แยกคลองตัน ยาวไปถึงปากซอยพัฒนาการ 25 ประมาณ 1 ก.ม.
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถบรรทุกแก๊สคันดังกล่าวได้ขับตามรถเก๋งมาด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุรถเก๋งกลับชะลอความเร็วทำให้รถบรรทุกต้องรีบหักหลบกะทันหันพจนเสียหลักพุ่งไปชนกับราวสะพานและท่อส่งน้ำจนแตก และพลิกคว่ำดังกล่าว ช่ววงนั้นคนขับรถบรรทุกพยายามจะวิ่งเข้าไปปิดวาล์ว แต่กลับเกิดระเบิดเสียก่อน ทำให้คนขับอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้
พ.ต.ท.กฤษดา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะทำการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ รวมถึงติดตามบริษัทเจ้าของรถแก๊ส และคนขับรถแก๊สมาสอบปากคำ หากสอบสวนแล้วพบมีความผิดจะต้องดำเนินการต่อไป
**จนท.ระดมฉีดน้ำไม่ให้เกิดอันตราย
เวลา 09.00 น. นายประเวศน์ เพียรธรรม ผอ.เขตสวนหลวง กล่าวว่า จากการตรวจสอบพื้นที่การชนของรถบรรทุกแก๊ส ส่งผลให้ท่อน้ำประปาที่อยู่บนสะพานได้รับความเสียหายแตกยาวประมาณ 40 ซม. และทำให้น้ำได้พุ่งใส่ตัวรถ ประกอบกับทางเจ้าหน้าที่ก็ระดมฉีดน้ำเลี้ยงเอาไว้ ทำให้ไม่อันตรายมาก โดยปริมาณแก๊สในถังบรรทุกมีอยู่ประมาณ 4,000 ลิตร คงต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกว่าแก๊สจะหมด
นางพูน ทรัพย์สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของ ธพ.ที่ดูแลเรื่องระบบความปลอดภัยได้เข้าไปยังพื้นที่ เพื่อเร่งทำการตรวจสอบจากกรณีดังกล่าวแล้ว
ส่วนนายสมนึก บำรุงสี รองอธิบดี ธพ.ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมลงพื้นที่เข้าไปยังที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ได้เดินทางถึงที่เกิดเหตุและได้เข้าทำการตรวจสอบยืนยันในความปลอดภัย โดยได้มีการกันพื้นที่โดยรอบเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้และมีการควบคุมเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ได้มีการฉีดน้ำเป็นม่านบังเพื่อให้ไฟเผาไหม้จนหมด ซึ่งยืนยันปริมาณแก๊สที่ออกมาไม่ได้อยู่ในระดับอันตรายใดๆโดยได้มีการควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมดจึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัย
**ทำบ้านพัง 5 หลังเจ็บ 1
เวลา 13.30 น. นายวัลลภ สุวรรรณดี รองผู้ว่า กทม. เปิดเผยว่า บ้านเรือนได้รับความเสียหายประมาณ 5 หลัง กระจกแตกหลายบาน คาดว่าน่าจะเกิดจากแรงดันของแก๊ส ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ได้ฉีดน้ำเลี้ยง เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนและไม่ให้เพลิงลุกลามตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งเวลา 11.30 น. เนื่องจากตัวถังฉีดขาด เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปปิดวาร์วได้ จึงมีเพลิงไฟออกมาเป็นระยะๆ ทำได้เพียงรอให้แก๊สหมดถัง
นายวัลลภ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายรถออกและเปิดทางจราจรแล้ว ทางบริษัทฯ เจ้าของรถก็ทราบเรื่องแล้ว คงต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แต่คนขับรถได้หนีไป อย่างไรก็ตาม จากนี้จึงเป็นเรื่องของเจ้าที่ตำรวจในการสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนกทม. ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่รับผิดชอบแล้ว
**ส่งจนท.ซ่อมท่อประปาทันทีหลังไฟดับ
น.ส.ทรรศนีย์ ฤกษ์ศานติวงษ์ ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กร การประปานครหลวง(กปน.) กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ท่อประปา ซึ่งเป็นท่อประธานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 มิลลิเมตรแตก ส่งผลให้น้ำในบริเวณนั้นไหลอ่อน ซึ่งกปน. ได้ส่งกองงานซ่อมท่อประธานซึ่งได้เตรียมความพร้อมในการซ่อมท่อแล้ว
**ตร.ยันพ้นขีดอันตรายแล้ว
พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก. สน.คลองตัน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่ววโชคดีที่ถังแก๊สมีระบบเซฟตี้ทำงาน ทำให้แก๊สพุ่งสู่อากาศ ไม่เกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนที่ประตูน้ำเมื่อปี 2533โดยเหตุการณ์รถแก๊สคว่ำที่ถนนพัฒนาการ จากการสอบถามวิศวกร ปตท. ที่มาที่เกิดเหตุพบว่าสถานการณ์พ้นขีดอันตรายแล้ว
***ปิคนิค ยันไม่เกี่ยวข้องรถแก๊ส
นายสงวน ตรีเจริญวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการตรวจสอบรถแก๊สLPGที่พลิกคว่ำและเกิดเพลิงไหม้ที่แถวพัฒนาการ เขตสวนหลวงนั้น เป็นรถรับจ้างขนแก๊สของบริษัท พีลาทัส แลนด์ แอนด์ ทรานสปอร์ต ซึ่งรับขนส่งแก๊สให้เวิลด์แก๊สเพื่อไปส่งยังลูกค้าเวิลด์แก๊สจึงไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใดแม้ว่ารถแก๊สดังกล่าวจะมีโลโก้ของบริษัทฯติดอยู่ก็ตาม
*** ระดมถกคุมเข้มความปลอดภัย
นายวีระพล จิระประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเรียกประชุมผู้ประกอบการรถก๊าซLPG และผู้ประกอบการธุรกิจLPG มาหารือและกำชับเรื่องความปลอดภัยในการขนส่ง หลังจากเกิดอุบัติเหตุรถก๊าซแอลพีจีไฟไหม้ที่ถนนพัฒนาการ รวมถึงหารือกับกรมการขนส่งทางบกว่า จะมีการควบคุมดูแลพนักงานขับรถขนส่งก๊าซเพิ่มเติมได้อย่างไร
เพราะกฎหมายดูแลคนขับเป็นกฎหมายภายใต้กรมการขนส่งทางบก และที่ผ่านมาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากความประมาทของคนขับทั้งสิ้น
