เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมต้องไปกาบัตรเลือกตั้งในช่องโหวตโนอีกครั้งหนึ่ง ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อยืนยันการไม่ยอมรับระบบการเมืองอันล้มเหลวแล้วอย่างสิ้นเชิงในทุกระดับของประเทศนี้
การเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็น อบจ. เทศบาลเมือง เทศบาลนคร หรือเทศบาลตำบล จนถึง อบต.ล้วนแล้วแต่เลียนแบบการฉ้อฉลไม่ผิดเพี้ยนไปจากการเมืองระดับชาติแต่อย่างใดเลย ส.ส., ส.จ., ส.ท., หรือ ส.อบต. ล้วนแล้วแต่เป็นเครือข่ายผูกโยงกันอย่างแยกไม่ออก ในทุกจังหวัด ตัวนักการเมืองท้องถิ่นก็เริ่มผูกขาดจำกัดตัวคนจำกัดวงศ์ตระกูลมาให้เลือกไม่กี่คนไม่กี่วงศ์ตระกูล เฉกเช่นเดียวกับการเลือตั้ง ส.ส.ที่กลายเป็นสมบัติผลัดกันชมของไม่กี่ค่ายทางการเมือง ที่ผูกขาดอำนาจรัฐประเทศไทย
ทั้งนี้เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นในทุกระดับ พรรคการเมืองใหญ่ ได้ลงมาควบคุมบงการ หรือส่งสมาชิกพรรคลงรับเลือกตั้ง ประกาศเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นกันอีกต่อไปแล้ว การเลือกตั้งท้องถิ่นในทุกจังหวัด จึงกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างหัวโจกพรรคการเมืองใหญ่สองสามค่าย ไม่ต่างจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด
เจตนารมณ์ในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงล้มเหลวแล้วอย่างสิ้นเชิงดุจเดียวกัน เพราะอำนาจการบริหารจัดการในท้องถิ่น ยังคงรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่พรรคการเมืองระดับชาติไม่กี่พรรคการเมือง ซึ่งผลัดกันเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล
ถ้าสังคมไทยยังนิ่งเฉยยอมรับสภาพการณ์ทางการเมืองเช่นนี้อีกต่อไป อย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็พยากรณ์ล่วงหน้าได้เลยว่า อนาคตอันใกล้นี้ นายทุนใหญ่ผู้เชี่ยวชาญการผูกขาดอำนาจรัฐ จะกลับมาสยายปีกครอบคลุมทุกองคาพยพ เพื่อบริหารจัดการประเทศในรูปแบบประชานิยมการตลาด ที่ฝ่ายการเมืองจะร่ำรวยและร่ำรวยมหาศาล ขณะที่รากหญ้าประชานิยมจะยากจนและยากจนลง
ในครั้งที่เริ่มมีแนวคิดในการกระจายอำนาจใหม่ๆ ผมเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมวงเสวนาอยู่หลายครั้งหลายวาระ และได้เคยเสนอความเห็นว่า ไม่ควรเร่งรีบผลีผลามในการตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ยังไม่เคยมีการเตรียมความพร้อมประชาชนในท้องถิ่น ผมเสนอว่า ควรเริ่มต้นด้วยการตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นศูนย์ข้อมูลระดับตำบลก่อน เพื่อรวบรวมข้อมูลทุกๆ ด้านของแต่ละตำบลให้ละเอียดมากกว่าข้อมูล จปฐ.ที่กรมพัฒนาชุมชนเคยทำไว้แล้ว เพราะผมเชื่อว่า การมีข้อมูลตำบลที่ถูกต้องเป็นจริง คือ พื้นฐานที่จะใช้ในการพัฒนาตำบลอย่างถูกทิศทางมากกว่าระบบเดิมที่รวมศูนย์อำนาจในการสั่งการพัฒนาจากส่วนกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะสวนทางกับความต้องการและจำเป็นที่แท้จริงของตำบล
การตั้งศูนย์ข้อมูลตำบล จะใช้งบประมาณและกำลังคนไม่มาก ซึ่งผมเชื่อว่า เมื่อแต่ละตำบลมีข้อมูลพื้นฐานของตนมากขึ้น นั่นคือการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้มแข็งของตำบล ซึ่งเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง คนในตำบลจะลุกขึ้นมาบอกส่วนกลางเองว่า ตำบลต้องการพัฒนาไปในแนวทางและทิศทางใด ที่ตรงกับความต้องการและความจำเป็นของตำบลอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้น องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเทศบาลตำบลจะเกิดขึ้นและเป็นเองโดยธรรมชาติ มิใช่การยัดเยียดการกระจายอำนาจจนกลายเป็นรูปแบบพิกลพิการอย่างที่เห็นที่เป็นอยู่
แต่แนวคิดที่นำเสนอนี้ ก็เป็นเพียงเสียงนกเสียงกาที่ล่องลอยไปในนภากาศ เราจึงได้เห็นการโหมกระหน่ำกระจายอำนาจ ด้วยการแข่งขันการสร้างสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลใหญ่โตมโหฬารเกินความจำเป็น และกระจายการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานประเภทถนนแหล่งน้ำ ที่กลายเป็นการกระจายการฉ้อฉลคอร์รัปชันเข้าไปใกล้ชิดถึงประตูบ้านของผู้คนในระดับตำบล โดยใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมากมายมหาศาล เพื่อแลกกับการได้มาซึ่งโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพต่ำแบบน่าเกลียดน่าชัง
และการเลือกตั้งที่ยึดถือกันนักกันหนาว่าเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ความขัดแย้งแตกแยกร้าวฉานในหมู่บ้านและชุมชนชนบทอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทำให้ผมหวนคิดถึงระบบการแต่งตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านในอดีต ที่เลียนแบบระบบพ่อปกครองลูกของสังคมไทยมายาวนาน เรามีกำนันในแต่ละตำบลที่ผิดแผกแตกต่างกันไป ตามสภาพการณ์ของชุมชนหมู่บ้านในแต่ละตำบล บางตำบลมีกำนันที่เป็นนักเลงใจถึงพึ่งได้ บางตำบลมีกำนันเป็นนักเทศน์ธรรมะธัมโม บางตำบลมีกำนันเป็นคหบดีร่ำรวย และบางตำบลมีกำนันยากจนแต่เป็นอดีตครูบาอาจารย์ ที่ผู้คนเคารพศรัทธา เหล่านั้นคือความหลากหลายที่เป็นไปตามธรรมชาติ และเป็นการปกครองที่ชุมชนตำบลสงบสุขราบรื่นร่มเย็นเสมอมา
ดูสภาพการเมืองในระบอบประชาธิปไตยปนเปื้อนอย่างปัจจุบันแล้ว ทำให้ผมชักจะคล้อยตามที่นักวิชาการนอกกรอบหลายท่านเคยให้ข้อคิดไว้ว่า หรือว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยตะวันตก มันครอบลงได้ไม่สนิทกับสังคมชุมชนตะวันออกอย่างประเทศไทย เพราะโดยพื้นฐานการศึกษาและวัฒนธรรมค่านิยมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และด้วยเหตุผลดังกล่าวกระมัง ที่ยุคสมัยประชาธิปไตยสีแดงแจ๋อย่างทุกวันนี้ การเลือกตั้งทางการเมืองในทุกระดับ จึงพิกลพิการน่าเกลียด ชนิดที่คนเลือกตั้งอย่างผมและเชื่อว่ารวมถึงคนไทยอีกหลายล้านคนยอมรับมันไม่ได้เลย