ทักษิณ โฟนอินที่โบนันซ่า “วันนี้พวกเรายังไม่หมดภารกิจนะครับ จนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยคืนมา วันนี้ได้มาส่วนหนึ่งแล้วคือการให้ไปเลือก ส.ส.ร.เพราะฉะนั้นเราจะต้องช่วยกันดูแลเอาคนที่มีหัวใจประชาธิปไตยจริงๆ มาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ครับ”
หลักฐานชี้ชัดครับว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” แนวคิดนี้ไม่ใช่แต่ทักษิณเท่านั้น ซึ่งผู้ปกครองผู้ซึ่งมีอำนาจ 18 ครั้ง ต่างก็มีแนวคิด “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” นี่คือความเห็นผิดอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุแห่งความหายนะของชาติในทุกด้าน เช่น เป็นเหตุแห่งเผด็จการรัฐสภา เป็นเหตุแห่งรัฐประหาร เป็นเหตุแห่งความแตกแยกในชาติ เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุแห่งความหลงผิดตามผู้ปกครองและความอ่อนแอของคนในชาติ เป็นเหตุแห่งความล้มเหลวล้าหลังอย่างรอบด้านของชาติ ฯลฯ
ปัญหาการเมืองไทยนับแต่คณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ ก็เพราะเห็นผิดอย่างร้ายแรง “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย”
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลกและในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากคอร์รัปชัน ความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและขัดผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 14 ครั้งยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหารร่างรัฐธรรมนูญรัฐบาลจากเลือกตั้ง คอร์รัปชันรัฐประหารร่างรัฐธรรมนูญรัฐบาลจากการเลือกตั้ง...เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์”
แสดงให้เห็นว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 18 ครั้ง ขาดองค์ประกอบที่สำคัญคือ ไม่มีหลักการปกครอง (ไม่มีระบอบ) ไม่มีหลักนิติธรรมทางการเมืองของประชาชนดังสัมพันธภาพ ดังนี้
จะเห็นชัดว่าเมื่อหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่มี หรือไม่มีตัวระบอบฯ ที่แท้จริง ระบอบฯ จึงกลายเป็นตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล นักการเมือง เห็นชัดว่า อำนาจอธิปไตยกลายเป็นของกลุ่มทุนและนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นเอง และใช้รูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงได้เรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” นี่คือสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่จริงๆ ที่ครอบงำประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน 80 ปี
ส่วนเผด็จการรัฐสภาเป็นผล เป็นปรากฏการณ์ เป็นปลายเหตุของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ
จากตารางดังกล่าวจึงก่อให้เกิดปัญญารู้ชัดว่า ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยยังไม่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมีเพียง กฎหมายรัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภาเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เข้าใจผิด ประการที่หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง คุณต่อสู้เพื่อรักษาก็สูญเปล่าเพราะมันยังไม่มี
ประการที่สอง ไม่มีประมุขประเทศไหนในโลกเป็นประมุขระบอบ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐเท่านั้น ประการที่สาม การเขียนว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จึงเป็นการเขียนหลอก ดุจดังเขียนเสือให้วัวกลัว โดยนำอักษร “พระมหากษัตริย์” ให้เป็นประมุขระบอบ จึงเป็นการเขียนที่ทำลายและลดพระบรมเดชานุภาพโดยไม่รู้ตัว
ส่วนแนวทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของพรรคเพื่อไทย มันก็เป็นขบวนการเดิมๆ หลอก ทำลายประชาชนเช่นเดิม เพื่อประโยชน์ของพรรคฯ เพื่อทักษิณ เพื่อกลุ่มนายทุนสามานย์ กลุ่มนักการเมืองสัตว์นรกเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
แนวทางแก้ไขเพื่อป้องกันเผด็จการรัฐสภา ป้องกันรัฐประหาร ป้องกันความแตกแยกในชาติ ป้องกันคอร์รัปชันทุกระดับ ป้องกันความหลงผิดตามผู้ปกครองและความอ่อนแอ อ่อนปัญญาของคนในชาติ ป้องกันความล้มเหลวล้าหลังอย่างรอบด้านของชาติ ฯลฯ จะป้องกันได้นั้น พสกนิกร พันธมิตรฯ ชาวโหวตโน จะต้องร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้มีการสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย 9 โดยพระเจ้าแผ่นดิน
มาเถอะ ร่วมมือกันเปลี่ยนการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์ นักการเมืองเลวเพียงหยิบมือเดียว เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ)
หลังทรงสถาปนาแล้ว จากนั้นจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ยึดโยงกับหลักการปกครองฯ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ยังคงใช้ระบบรัฐสภาเช่นเดิม แต่เนื้อหาใหม่ เพียงเท่านี้ เราก็ได้ระบอบการเมืองเป็นของปวงชน ประชาชนมีหลักประกันอย่างแท้จริงจาก “ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา” ดังนั้นการต่อสู้คือการให้ปัญญาและร่วมมือกันโค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงจะนำไปสู่การแก้ไขเหตุแห่งวิกฤตชาติได้อย่างแท้จริง
หลักฐานชี้ชัดครับว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” แนวคิดนี้ไม่ใช่แต่ทักษิณเท่านั้น ซึ่งผู้ปกครองผู้ซึ่งมีอำนาจ 18 ครั้ง ต่างก็มีแนวคิด “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” นี่คือความเห็นผิดอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุแห่งความหายนะของชาติในทุกด้าน เช่น เป็นเหตุแห่งเผด็จการรัฐสภา เป็นเหตุแห่งรัฐประหาร เป็นเหตุแห่งความแตกแยกในชาติ เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุแห่งความหลงผิดตามผู้ปกครองและความอ่อนแอของคนในชาติ เป็นเหตุแห่งความล้มเหลวล้าหลังอย่างรอบด้านของชาติ ฯลฯ
ปัญหาการเมืองไทยนับแต่คณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ ก็เพราะเห็นผิดอย่างร้ายแรง “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย”
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลกและในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากคอร์รัปชัน ความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและขัดผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 14 ครั้งยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหารร่างรัฐธรรมนูญรัฐบาลจากเลือกตั้ง คอร์รัปชันรัฐประหารร่างรัฐธรรมนูญรัฐบาลจากการเลือกตั้ง...เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์”
แสดงให้เห็นว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 18 ครั้ง ขาดองค์ประกอบที่สำคัญคือ ไม่มีหลักการปกครอง (ไม่มีระบอบ) ไม่มีหลักนิติธรรมทางการเมืองของประชาชนดังสัมพันธภาพ ดังนี้
จะเห็นชัดว่าเมื่อหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่มี หรือไม่มีตัวระบอบฯ ที่แท้จริง ระบอบฯ จึงกลายเป็นตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล นักการเมือง เห็นชัดว่า อำนาจอธิปไตยกลายเป็นของกลุ่มทุนและนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นเอง และใช้รูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงได้เรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” นี่คือสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่จริงๆ ที่ครอบงำประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน 80 ปี
ส่วนเผด็จการรัฐสภาเป็นผล เป็นปรากฏการณ์ เป็นปลายเหตุของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ
จากตารางดังกล่าวจึงก่อให้เกิดปัญญารู้ชัดว่า ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยยังไม่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมีเพียง กฎหมายรัฐธรรมนูญกับระบบรัฐสภาเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เข้าใจผิด ประการที่หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง คุณต่อสู้เพื่อรักษาก็สูญเปล่าเพราะมันยังไม่มี
ประการที่สอง ไม่มีประมุขประเทศไหนในโลกเป็นประมุขระบอบ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐเท่านั้น ประการที่สาม การเขียนว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จึงเป็นการเขียนหลอก ดุจดังเขียนเสือให้วัวกลัว โดยนำอักษร “พระมหากษัตริย์” ให้เป็นประมุขระบอบ จึงเป็นการเขียนที่ทำลายและลดพระบรมเดชานุภาพโดยไม่รู้ตัว
ส่วนแนวทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของพรรคเพื่อไทย มันก็เป็นขบวนการเดิมๆ หลอก ทำลายประชาชนเช่นเดิม เพื่อประโยชน์ของพรรคฯ เพื่อทักษิณ เพื่อกลุ่มนายทุนสามานย์ กลุ่มนักการเมืองสัตว์นรกเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
แนวทางแก้ไขเพื่อป้องกันเผด็จการรัฐสภา ป้องกันรัฐประหาร ป้องกันความแตกแยกในชาติ ป้องกันคอร์รัปชันทุกระดับ ป้องกันความหลงผิดตามผู้ปกครองและความอ่อนแอ อ่อนปัญญาของคนในชาติ ป้องกันความล้มเหลวล้าหลังอย่างรอบด้านของชาติ ฯลฯ จะป้องกันได้นั้น พสกนิกร พันธมิตรฯ ชาวโหวตโน จะต้องร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้มีการสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย 9 โดยพระเจ้าแผ่นดิน
มาเถอะ ร่วมมือกันเปลี่ยนการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์ นักการเมืองเลวเพียงหยิบมือเดียว เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองเป็นของปวงชน คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครอง เป็นระบอบ เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ)
หลังทรงสถาปนาแล้ว จากนั้นจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ยึดโยงกับหลักการปกครองฯ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ยังคงใช้ระบบรัฐสภาเช่นเดิม แต่เนื้อหาใหม่ เพียงเท่านี้ เราก็ได้ระบอบการเมืองเป็นของปวงชน ประชาชนมีหลักประกันอย่างแท้จริงจาก “ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา” ดังนั้นการต่อสู้คือการให้ปัญญาและร่วมมือกันโค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงจะนำไปสู่การแก้ไขเหตุแห่งวิกฤตชาติได้อย่างแท้จริง