ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ต้องนับเป็นข่าวร้ายของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศผู้เสียภาษีอีกหนึ่งครั้ง เมื่อถึงที่สุดแล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติเห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับผู้ได้รับจากการชมุนุมทางการเมือง โดยอนุมัติให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในวงเงิน 2,000 ล้านบาท
และนั่นส่งผลทำให้มีผู้แห่มายื่นแบบคำร้องกันแบบมืดฟ้ามัวดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนเสื้อแดง” ที่รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งมาดปรารถนาจะมอบเงินก้อนโตให้เพื่อหล่อเลี้ยงมวลชนของตนเองเอาไว้เคลื่อนไหวทางการเมือง
ทั้งนี้ ตัวเลขที่นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานอนุกรรมการด้านการเยียวยาทางแพ่ง และการฟื้นฟูด้วยวิธีการอื่นเปิดเผยต่อสาธารณชนก็คือ มีผู้มายื่นแบบคำร้องแล้ว 862 ราย โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หากยื่นเอกสารครบถ้วน และมีการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ก็จะสามารถดำเนินการทยอยจ่ายเงินได้ทันที แต่สำหรับกรณีผู้เสียชีวิตจะต้องรอไปถึงวันที่ 12 เม.ย.55 เนื่องจากต้องรอข้อมูลให้แน่ชัดเสียก่อน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหลังจากนั้นจะเห็นเหล่าคนเสื้อแดง แห่แหนเข้าไปรุมทึ้งงบเยียวยากันยกใหญ่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์แย่งชิงเงินคนตายกันยกใหญ่ ด้วยการอ้างตัวเป็นผู้เสียหายเข้าไปติดต่อขอรับเงินจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นกรณีของเงินชดเชยของ เสธ.แดงซึ่งปรากฏว่า น.ส.ลัดดาวัลย์ พลฤทธิ์ อ้างตนเป็นภรรยานอกสมรสของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงพร้อมด้วย ด.ช.นักรบ สวัสดิผล (แดงน้อย) อ้างเป็นลูกชายของเสธ.แดง ได้มาลงทะเบียนเพื่อขอรับการเยียวยาด้วย
ในขณะเดียวกัน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะลูกสาวเสธ.แดง ก็มาลงทะเบียนเรียกร้องค่าเยียวยา 7 ล้านบาทด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายน.ส.ขัตติยากล่าวถึงกรณีที่แม่ของด.ช.นักรบได้มายื่นขอรับการเยียวยาด้วยว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะพิจารณาสิทธิการให้เงินเยียวยากับบุคคลใด เพราะหลังจากพ่อเสียชีวิตก็ไม่เคยได้ติดต่อกันเลย และขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนคดีความที่ตนเองได้ยื่นคัดค้านการรับรอง ด.ช.นักรบเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ในการตายของเสธ.แดง ซึ่งจากที่ปรากฏก็คงเห็นลางๆ แล้วว่า ด้วยตัวเลขเม็ดเงินขนาดนี้ คงไม่มีใครยอมใครกันง่ายๆแน่นอน
ไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากนั้นแล้ว กลายเป็นว่างานนี้ทำเอาอาคารอเนกประสงค์สถานสงเคราะห์เด็กหญิง บ้านราชวิถี ศูนย์ช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง ปี 2548-2553 ที่รับลงทะเบียนผู้ที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง กลายเป็นเวทีศึกสายเลือดซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนกันเลยทีเดียว อย่างเช่นมีกรณีปัญหาการทวงสิทธิทับซ้อนกัน ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ เนื่องจากผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่มีบุตรด้วยกัน ขณะนี้แม่สามีก็ไม่พอใจลูกสะใภ้ เพราะเคยรับการเยียวยาไปแล้ว แต่แบ่งเงินให้แม่สามีเพียงเล็กน้อย จึงทำให้ต่างคนต่างมายื่นเพื่อขอรับการเยียวยา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องแนะนำให้ไปไกล่เกลี่ยกันก่อน เนื่องจากเป็นปัญหาด้านข้อกฎหมาย โดยพบปัญหาดังกล่าวประมาณ 10 ราย นอกจากนั้นยังพบกรณีบิดาเสียชีวิต และลูกๆซึ่งต่างคนต่างมีครอบครัวแล้ว มาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน จนเกิดการโต้เถียงกันจนวุ่นวาย
ขณะเดียวกัน มติเยียวยาในรอบนี้ก็ยังได้รวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองตั้งแต่ ปี 2548-2553 ซึ่งนอกจากกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ยังรวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบกลุ่มอื่นด้วยเช่นกัน และยิ่งหากจะนำอุดมการณ์ทางการเมืองมาเปรียบเทียบด้วยแล้วก็คงต้องบอกว่า ต่างกันชนิดราวฟ้ากับเหว เลยทีเดียว
ตัวอย่างชัดเจนคือกรณีของ นางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ แม่น้องโบว์-นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในการสัมภาษณ์สำนักข่าว ทีนิวส์เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ว่า ไม่ขอรับเงินเยียวยา 7.75 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า “ไม่อยากเบียดบังเงินภาษีอาการของประชาชน ซึ่งเดิมทีได้ปรึกษากับครอบครัวว่า จะมอบเงินดังกล่าวให้กลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ แต่ขณะนี้รู้สึกรังเกียจ และไม่อยากมีส่วนร่วมกับคนเสื้อแดงในกรณีนี้ ที่สำคัญเห็นว่ารัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องดำเนินการสอบสวนให้ชัดเจนว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ใช้กฎหมู่บุกเผาบ้านเผาเมือง เหมาะสมที่จะได้รับเยียวยาหรือไม่ด้วย”
เช่นเดียวกับกรณีที่ “นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” ภรรยาของ “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” พร้อมด้วยครอบครัวนายทหารอีก 5 นาย ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อให้ติดตามความคืบหน้าของคดีและค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น
“เวลาผ่านไป 1 ปี ปรากฏว่า ความคืบหน้ากลายเป็นว่า ไม่สามารถระบุตัวผู้ทำความผิดได้ และในเนื้อหาก็ไม่ได้ระบุถึงสิ่งที่เคยแถลงไว้ ก็ข้องใจ และขอความกระจ่าง ในช่วงเปลี่ยนผ่านจะมั่นใจได้หรือไม่ว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักฐานจากหน่วยงานต่างๆ สำหรับกรณีที่รัฐบาลให้เงินเยียวยา 7.75 ล้านบาทนั้น ก็ได้ติดตามข่าว แต่ไม่มีใครติดต่อเข้ามาแจ้งเป็นทางการ คิดว่าหลักเกณฑ์ต่างๆ ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจน เพราะในมติครม.ตอนท้ายระบุว่า ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ไม่ใช่ผู้ที่ทำความผิด แต่ในกรณีของเจ้าหน้าที่ทหารที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่คงไม่อยู่ในข่ายผู้ทำความผิด แต่ยังสับสนกับมาตรการที่เกิดขึ้น ต้องมีการดำเนินการที่รอบคอบ”
....ฟังทั้งแม่น้องโบว์และภรรยา พล.อ.ร่มเกล้าแล้วคงต้องถามคนเสื้อแดงว่ารู้สึกอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนไม่ว่าจะมีถ้อยคำใดจะกระแทกไปถึงต่อมสามัญสำนึกของคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้ฟัง นายปัณณวัฒน์ นาคมูล ผู้ประสานงานกลุ่ม นปช. จ.อุตรดิตถ์ ก็หดหู่ใจเข้าไปอีก เมื่อนายปัณณวัฒน์ได้นำผู้ถูกคุมขังจากเหตุการณ์เผาเมือง มาขอค่าเงินเยียวยาต่อคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีด้วย
นายปัณณวัฒน์กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่อยากสะท้อนไปยังรัฐบาล และคณะกรรมการที่กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเยียวยา โดยเฉพาะกรณีผู้ที่ถูกคุมขังที่ไม่ถึง 90 วัน ไม่ได้ระบุไว้ในหลักเกณฑ์ แต่มีผู้ชุมนุมจำนวนมากที่ถูกคุมขังไม่ถึง 90 วัน แต่ในหลักเกณฑ์ระบุว่าถูกคุมขังเกินกว่ า90 วัน แต่ไม่ถึง 180 วัน หรือเกินกว่า 180 วัน อาจจะไม่ได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงขอให้พิจารณาให้ด้วย
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ต้องจ่ายคนถูกขังไม่ถึง 90 วันด้วย เรียกว่าได้คืบจะเอาศอกโดยแท้ ทั้งที่ความเป็นจริงก็คือไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดงเหล่านี้หลอกหรือ ที่มีพฤติกรรมรุนแรงจนถูกนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะหลักฐานก็มีเด่นชัดอยู่ในสำนวนการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ จนนำไปสู่ขั้นตอนของชั้นศาล ซึ่งนั้นก็หมายความว่าเป็นความผิดโดยสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตาม เชื่อแน่ว่าหากประชาชนที่มีหัวใจในความยุติธรรม ได้ฟังแล้วคงจะต้องเจ็บปวดหัวใจไปตามกันๆ หากถึงที่สุดแล้ว เงินจำนวน 2000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนจะต้องถูกนำไปชดเชยให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง และคงจะไม่เสียเวลานักหากจะหยิบยกคำพูดของ สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ ที่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ชนิดแทงใจดำคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินกันทั้งประเทศเลยทีเดียว
“2 พันล้าน ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย คนทำงานได้เงินเดือนเดือนละ 15,000 โดยไม่หักค่าใช้จ่ายเลย กว่าจะรวบรวมให้ได้ 1 ล้านบาทจะต้องใช้เวลาในการรวบรวมถึง 66 เดือน จึงจะได้ 1 ล้านบาท คนทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำแล้วได้เงินเดือนที่ยังไม่หักค่าใช้จ่าย ต้องใช้เวลาถึงหกสิบหกเดือนจึงจะรวมเงินได้ 1 ล้านบาท กับคนที่ป่วนบ้านป่วนเมือง แห่กันไปเผาบ้านเผาเมืองให้ตึกรามและโรงภาพยนตร์ของประชาชนเสียหายเป็นพัน เป็นหมื่นล้าน รวมทั้งสถานที่ราชการของรัฐแต่ละจังหวัดให้เสียหายไปกี่หมื่นกี่แสนล้านบาท ต้องหาเงินมาเพื่อสร้างขึ้นใหม่เพื่อบริการประชาชนต่อไปอีกเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็ยากจะหาตัวเลขที่แท้จริงมารองรับความเป็นจริงในความชั่วช้าของคนเหล่านี้ได้ มันคุ้มกันไหมกับความเลวของคนกลุ่มนี้”
“โจรควรจะมีผลตอบแทนด้วยตะราง แต่กลับได้รับเงินมหาศาลจากรัฐบาลนี้ คนพวกนี้หรือที่มีความดีจนควรจะได้รับเงินรายละเจ็ดกว่าล้านบาทจากรัฐ คนพวกนี้น่ะหรือที่ขนยางรถยนต์มาเป็นคันรถเพื่อเอามาสร้างความปั่นป่วนให้เจ้าหน้าที่รัฐและทหารให้ยุ่งยากยิ่งขึ้น คนพวกนี้หรือที่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีให้มาดูแลทุกข์สุขของประชาชนคนไทยทั้ง 66 ล้านคน คนพวกนี้หรือที่รัฐบาลปัจจุบันปล่อยให้บินออกนอกประเทศไป (แกล้ง) บวชห่มเหลือง หวังให้หายมลทินที่ทำชั่ว ชวนคนไทยเผากรุงเทพฯ ด้วยขวดพลาสติกคนละขวด แค่ขอให้มาเอาน้ำมันจากพวกมันเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงอย่างง่ายๆ และโง่ๆ คนพวกนี้น่ะหรือ? ที่เอาเงินมาจ่ายให้พวกคนไร้การศึกษาจากจังหวัดต่างๆ มาลงคะแนนให้พวกมันได้คะแนนนำหน้าพรรคอื่นอย่างขาดลอย”