ASTVผู้จัดการรายวัน-ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้ ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยเสี่ยงมากสุดต่อการลงทุนในตลาดหุ้นหากปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงต่างชาติอาจทิ้งหุ้นทั่วโลก แต่ระยะสั้น เชื่อยังซื้อหุ้นไทยอยู่ แม้ตั้งแต่ต้นปีซื้อสุทธิแล้วกว่า 6 หมื่นล้าน เหตุ ปันผลสูง-กำไรโต พีอียังต่ำเทียบกับเพื่อนบ้าน
นาย วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนนักลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่แม้ปัจจุบันจะมีแรงการซื้อที่ปรับตัวลดลง เนื่องจาก ค่าP/Eตลาดหุ้นไทยถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคและบริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโตที่ดี และการที่รัฐบาลมีการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% รวมถึงการที่รัฐบาลมีโครงการลงทุนเพื่อกระต้นเศราฐกิจ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนระยะยาวจากที่ได้ผลตอบแทนที่ดี
อีกทั้งในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงแรงๆที่จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไทยออกไป โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยแล้ว 61,072 ล้านบาท และ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือเรื่องราคาน้ำมัน เพราะหากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ก็จะกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนและจะส่งให้เงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆมีการทบทวนในเรื่องนโยบายอัตราดอกเบี้ย และอาจทำให้มีการดูดสภาพคล่องส่วนเกินกลับไป ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกไป
"ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยน้อยลง เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้มีนักลงทุนบางกลุ่มมีการระมัดระวังการลงทุนจากที่ตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมีการขายหุ้นในส่วนที่มีกำไรออกไปบ้าง แต่จากปัจจุบันที่สภาพคล่องเงินส่วนเกินในโลกมีจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ "นายวิรไท กล่าว
สำหรับภาพรวมเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับกว่า 30,000 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าจำนวนบัญชีการซื้อขายรวมจะมีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกราคมที่อยู่ที่ 704,131 บัญชี ส่วนการที่ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมีผลทำให้นักลงทุนมีการเข้ามาลงทุนในออยล์ฟิวเจอร์สมากขึ้น สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงกว่า 600%
ด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความคืบหน้าแนวทางการแก้ปัญหาในกรีซ การแก้ปัญหาสภาพคล่องของยุโรปจากนโยบายปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางยุโรป เป็นปัจจัยสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนโลกดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตน้ำท่วม ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติใหม่ในหลายๆ ด้าน
ล่าสุด ดัชนีหุ้นไทยวานนี้(14มี.ค.) ปิดที่1,164.36 จุด เพิ่มขึ้น 10.80 จุด หรือ0.94%มูลค่าการซื้อขาย 34,238.33 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,109.64 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อ 669.26 ล้านบาท นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตามคาดการณ์ โดยระหว่างวันมีการปรับเพิ่มขึ้นแรง เป็นการรีบาวด์ตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับขึ้นตาม โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทั้งแบงก์และกลุ่มสื่อสารรายตัวสนับสนุน ซึ่งปัจจัยหลักเป็นเรื่องที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)แสดงท่าทีที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดก็ออกมาดี ขณะที่ด้านปัญหาหนี้ยุโรปก็คลี่คลายลงแล้ว ส่วนราคาน้ำมันทรงตัว อย่างไรก็ตาม จะต้องระวังวันนี้(15มี.ค.) เพราะมีโอกาสพบแรงขายทำกำไร และมีโอกาสที่ตลาดหุ้นต่างประเทศจะปรับย่อตัวลงเช่นกันจากที่ปรับขึ้นแรง โดยให้แนวรับ 1,155 - 1,150 จุด ส่วนแนวต้าน 1,170 จุด
นาย วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนนักลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่แม้ปัจจุบันจะมีแรงการซื้อที่ปรับตัวลดลง เนื่องจาก ค่าP/Eตลาดหุ้นไทยถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคและบริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโตที่ดี และการที่รัฐบาลมีการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% รวมถึงการที่รัฐบาลมีโครงการลงทุนเพื่อกระต้นเศราฐกิจ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนระยะยาวจากที่ได้ผลตอบแทนที่ดี
อีกทั้งในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงแรงๆที่จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไทยออกไป โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยแล้ว 61,072 ล้านบาท และ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือเรื่องราคาน้ำมัน เพราะหากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ก็จะกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนและจะส่งให้เงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆมีการทบทวนในเรื่องนโยบายอัตราดอกเบี้ย และอาจทำให้มีการดูดสภาพคล่องส่วนเกินกลับไป ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกไป
"ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยน้อยลง เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้มีนักลงทุนบางกลุ่มมีการระมัดระวังการลงทุนจากที่ตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมีการขายหุ้นในส่วนที่มีกำไรออกไปบ้าง แต่จากปัจจุบันที่สภาพคล่องเงินส่วนเกินในโลกมีจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ "นายวิรไท กล่าว
สำหรับภาพรวมเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับกว่า 30,000 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าจำนวนบัญชีการซื้อขายรวมจะมีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกราคมที่อยู่ที่ 704,131 บัญชี ส่วนการที่ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมีผลทำให้นักลงทุนมีการเข้ามาลงทุนในออยล์ฟิวเจอร์สมากขึ้น สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงกว่า 600%
ด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความคืบหน้าแนวทางการแก้ปัญหาในกรีซ การแก้ปัญหาสภาพคล่องของยุโรปจากนโยบายปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางยุโรป เป็นปัจจัยสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนโลกดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตน้ำท่วม ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติใหม่ในหลายๆ ด้าน
ล่าสุด ดัชนีหุ้นไทยวานนี้(14มี.ค.) ปิดที่1,164.36 จุด เพิ่มขึ้น 10.80 จุด หรือ0.94%มูลค่าการซื้อขาย 34,238.33 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,109.64 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อ 669.26 ล้านบาท นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตามคาดการณ์ โดยระหว่างวันมีการปรับเพิ่มขึ้นแรง เป็นการรีบาวด์ตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับขึ้นตาม โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทั้งแบงก์และกลุ่มสื่อสารรายตัวสนับสนุน ซึ่งปัจจัยหลักเป็นเรื่องที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)แสดงท่าทีที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดก็ออกมาดี ขณะที่ด้านปัญหาหนี้ยุโรปก็คลี่คลายลงแล้ว ส่วนราคาน้ำมันทรงตัว อย่างไรก็ตาม จะต้องระวังวันนี้(15มี.ค.) เพราะมีโอกาสพบแรงขายทำกำไร และมีโอกาสที่ตลาดหุ้นต่างประเทศจะปรับย่อตัวลงเช่นกันจากที่ปรับขึ้นแรง โดยให้แนวรับ 1,155 - 1,150 จุด ส่วนแนวต้าน 1,170 จุด