xs
xsm
sm
md
lg

ตื่นน้ำมันแพง กดหุ้นร่วง11จุด จับตาECBอัดฉีดเงินเข้าระบบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นปิดลบ 11 จุด ตามต่างประเทศ เหตุกังวลปัญหาขัดแย้งอิหร่าน-ยุโรป ราคาน้ำมันที่แพงจะฉุดการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก โบรกฯแนะจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป ชี้หากมูลค่าขอรับเงินกู้สูงกว่า 6 แสนล้านยูโร ระยะสั้นเงินยูโรจะแข็งค่า หุ้น – ทองคำ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้(27ก.พ.) ปรับตัวผันผวน โดยเฉพาะในช่วงบ่ายปรับตัวลงมาอยู่ในแดนลบ ซึ่งปิดที่ระดับ 1,135.04 จุด ลดลง 11.10 จุด หรือ -0.97% มูลค่าการซื้อขาย 28,654.54 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,148.61 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,133.33 จุด

ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ เนื่องจากวิตกสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงจะมากระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงความหวั่นเกรงต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและกลุ่มประเทศในยุโรป ขณะเดียวกันพุธนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางยุโรป ECB ซึ่งมีการเล็งกันว่าจะมีการใช้มาตรการ LTRO(เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ)อีกรอบ ทำให้อาจมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพิ่มขึ้น

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับลูกค้าสถาบัน บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทำให้มีความวิตกกังวลกันว่าจะไปขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งความขัดแย้งที่มีเพิ่มขึ้นระหว่างอิหร่านกับประเทศตะวันตก โดยมีกระแสข่าวออกมาว่าทางสหรัฐฯอาจจะใช้กำลังกับอิหร่าน นอกจากนี้ที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ได้มีการปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จึงมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง

ขณะเดียวกันในวันพุธนี้(29ก.พ.) จะมีการประชุม ธนาคารกลางยุโรป(ECB) ซึ่งมีการมองกันว่าอาจจะมีการใช้มาตรการ LTRO(เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ)อีกรอบ และจะทำให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ

ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(28 ก.พ.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะพักฐานเป็นการชั่วคราวไปก่อน เพราะมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันแพง และสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านกับประเทศตะวันตก โดยให้แนวรับไว้ที่ 1,130 จุด แนวต้าน 1,138 จุด พร้อมมองว่าถ้า ECB อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอีก ตลาดเอเชียจะปรับตัวขึ้นได้ดี

**ทรีนี้คาดผล LTRO IIดันยูโรแข็งค่า
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงประเด็นมาตรการปล่อยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ระยะเวลา 3 ปี แบบไม่จำกัดจำนวนรอบที่ 2 (LTRO II) ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ต้องตามอย่างใกล้ชิดเพราะจะกระทบต่อค่าเงินยูโร ตลาดหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ประเทศยุโรป และทองคำ ว่า บริษัทได้คาดการณ์ผลกระทบไว้ 3 กรณีหลัก คือ กรณีที่ 1มูลค่าการขอรับเงินกู้อยู่ในระดับสูงกว่า 5 แสนล้านยูโรอย่างมีนัยสำคัญ (6 แสนล้านยูโร ขึ้นไป) คาดว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะคล้ายกับช่วงเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คือในระยะสั้นจะเป็นผลดีต่อทั้งค่าเงินยูโร สินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น ตราสารหนี้ประเทศยุโรปโดยเฉพาะกลุ่ม PIIGS และราคาทองคำเนื่องจากปริมาณเงินกู้ที่สูงมากนี้จะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าหาทางเลือกการลงทุนต่างๆ อาทิเช่นพันธบัตรรัฐบาลของประเทศกลุ่ม PIIGS ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ต้นทุนการกู้ยืม ด้วยเหตุนี้เราคาดว่าจะมีแรงผสมจากพอร์ตการลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาแสวงโอกาสการลงทุนเพื่อคาดหวังการปรับตัวขึ้นของราคาพันธบัตรนี้ ทำให้ค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนในระยะกลางนั้นเราคาดว่าค่าเงินยูโรจะกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งหนึ่งหลังจากผลกระทบของการโยกย้ายเม็ดเงินเริ่มหมดลงไป นอกจากนั้นการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของ ECB ย่อมทำให้ปริมาณเงินในระบบ (Money supply) ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งจะทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าไปโดยปริยาย ในส่วนของราคาทองคำนั้นเราคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากปริมาณเงินในระบบที่สูงขึ้น

สำหรับกรณีที่ 2 มูลค่าการขอรับเงินกู้อยู่ในระดับ 5 แสนล้านยูโรหรือใกล้เคียง (4-6 แสนล้าน) คาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในระยะสั้น เนื่องจากเป็นระดับที่ตลาดได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว อย่างไรก็ตามเรามองว่าในช่วงถัดไปหากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของยุโรปยังคงมีอยู่โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาคสถาบันการเงิน อาทิเช่น การปล่อยสินเชื่อที่ยังคงตรึงตัวอยู่ ธนาคารพาณิชย์ยุโรป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ ECBจะต้องออกมาตรการช่วยเหลือหรือดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งเราเล็งไปที่การลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากระดับเดิมที่ 1.0% ซึ่งจะทำให้ค่าเงินยูโรถูกกดดันอีกครั้งหนึ่ง แต่ราคาสินทรัพย์อื่นเช่นหุ้นและตราสารหนี้ยุโรปจะมีโอกาสกลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ ในส่วนของราคาทองคำนั้นในช่วงถัดไปจะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม

“กรณีสุดท้ายมูลค่าการขอรับเงินกู้อยู่ในระดับต่ำกว่า 5 แสนล้านยูโรอย่างมีนัยสำคัญ (ต่ำกว่า 4 แสนล้านยูโร) คาดว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในช่วงแรกคือมีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงรวมไปถึงค่าเงินยูโรและตราสารหนี้ยุโรป ทำให้าคาดว่าในช่วงถัดไป ECB มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมเนื่องจากเม็ดเงินช่วยเหลือครั้งนี้ที่ไม่เพียงพอ โดยผ่านกระบวนการผ่อนคลายนโยบายการเงินก็จะทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าต่อไป แต่ราคาสินทรัพย์อื่นเช่นหุ้นและตราสารหนี้ยุโรปจะมีโอกาสกลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ สำหรับราคาทองคำนั้นเราคาดว่าในช่วงแรกจะโดนแรงขายทำกำไรไปด้วย”
กำลังโหลดความคิดเห็น